วันแรกที่ผมได้พบแดนไทน่ะเหรอ? ถ้าให้ย้อนความทรงจำไปเมื่อห้าปีที่แล้วมันช่างน่าสมเพชและ น่าอายเสียเหลือเกิน แต่อย่างไรผมก็คงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
ช่วงสายของวันที่ 19
“ครืนนนน ครืนนนนน” เสียงโทรศัพท์ที่ปิดเสียงไว้สั่นอย่างต่อเนื่องผมมองที่จอเห็นเป็นชื่อของแม่ผมโทร.เข้ามา แวบแรกตัดสินใจกดตัดสาย แน่ล่ะ – ผมบอกแล้วว่าการเรียนสำคัญและอาจจะสำคัญกว่าคนที่เป็นบุพการีที่โทร.เข้ามาเสียอีก แม้จะผิดวิสัยของแม่ก็ตามที่จะโทร.มาเวลานี้แต่การตัดใจรับโทรศัพท์ระหว่างเรียนก็เป็นสิ่งที่เขาคิดว่ามันไม่สมควรอยู่ดี
“ครืนนนนน ครืนนนนนนน” แม้จะกดตัดสายไปแต่แม่ก็ยังพยายามโทร.เข้ามาอีก ในที่สุดผมก็ขออนุญาตอาจารย์ออกจากห้องเรียน
“แม่ว่าไง มีอะไรรึเปล่า จีกำลังเรียนอยู่” เสียงห้วนสะบัดใส่แม่หลังจากกดรับ – ใช่ผมรู้ว่าไม่ควรพูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงแบบนี้แต่มันก็กลายเป็นนิสัยไปแล้วที่บ้านของเรา – ใช่ บ้านของเรา ไม่เคยได้พูดจากันดีๆไม่เคยได้ส่งเสียงแทนความรู้สึกดีๆที่มีต่อกัน นอกจากความกราดเกรี้ยว โมโหและน่ารำคาญ ขั้นร้ายแรงสุดก็อาจจะเป็น “ความเกลียดชัง”
“จีลงมาหาแม่หน่อย เร็วๆ!! แม่อยู่ข้างล่างตึกที่ลูกเรียนอยู่” แม่ตอบโต้มาด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักท่าทางเหมือนหวาดผวาอะไรซักอย่าง
“แม่รอแป๊บ เดี๋ยวผมจะลงไปเดี๋ยวนี้เลย!” ทันทีที่กดตัดโทรศัพท์ผมก็รีบวิ่งลงบันไดลางสังหรณ์บอกว่าคงจะมีอะไรม่ดีเกิดขึ้นกับแม่แน่ๆ
ทันทีที่เจอแม่...แม่รีบจูงข้อมือผมไปคุยในซอกข้างตึก
“แม่!!! แม่เป็นอะไร” ผมร้องออกมาเสียงหลงก่อนที่แม่จะเอามือเล็กๆมาปิดปากผมไว้
“จี แม่อยู่ไม่ได้แล้ว แม่ต้องไป” แม่เกาะแขนผมไว้ด้วยอาการสั่นระริกพร้อมๆกับปล่อยโฮออกมา
“มัน...ทำแม่ใช่มั้ย!!!” น้ำเสียงของผมลอดผ่านไรฟันอย่างสั่นสะท้าน
“ทำไมพูดถึงพ่ออย่างนั้นล่ะลูก” แม่ยังมีหน้ามาปกป้องพ่อที่คอยทำร้ายตลอดเวลา ยังจะปกป้องอีก!!
“แม่คงอยู่ต่อไม่ได้แล้ว พ่อของลูกเวลากินเหล้าทีไรกลายเป็นปีศาจทุกที แม่ทนไม่ไหวอีกแล้ว” เสียงแผ่วระคนกับเสียงสะอื้นเล่าเรื่องสั้นๆแต่เป็นเหตุการณ์ที่ผมรู้ลึกและชัดแจ้งอย่างที่สุด ก็พ่อทำกับแม่อย่างนี้มาเป็นสิบกว่าปี
“แม่จะหนี” น้ำเสียงแผ่วเบาของหญิงวัย 38 ที่สมัยวัยรุ่นพลาดท้องผมกับพ่อ --- พ่อที่ไม่เคยทำหน้าที่พ่อเลยสักครั้ง
“แม่จะไปไหน” ผมถามด้วยความเป็นห่วงแม่บอกผมว่าจะไปทำงานที่ไร่ทางภาคเหนือ เพื่อนแม่รู้จัก นายจ้างทางนั้นแม่อธิบายรวบรัดก่อนจะลาไปด้วยประโยคที่ตอกย้ำว่าผมต้องอยู่คนเดียวให้ได้จริงๆ
“จี...ดูแลตัวเองนะลูก แม่ไปก่อน ถ้าพ่อตามหาลูกรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง” คำว่าดูแลตัวเองของแม่น่าจะหมายถึงเรื่องเงินและถ้าเรื่องพ่อแม่ก็น่าจะรู้ว่าถ้าผมเรียก “ไอ้เหี้ย” แทนพ่อได้ ผมก็คงทำไปแล้ว
แม่เดินจากไปทั้งน้ำตาส่วนผมหมดอาลัยตายอยากที่จะกลับขึ้นไปเรียนอีกแล้ว
ชายหนุ่มที่เป็นจักรวาลของคณะนั่นเอง “แดนไท” เดินออกมาพร้อมกับทำหน้ากระอักกระอ่วนใจ ยังไม่ทันจะได้ถามอะไร เขาก็โพล่งออกมาว่า “ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังจริงๆนะ”
เท่าที่จำได้ ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี
“เอ่อ น้องโอเครึเปล่า” แดนไทถามด้วยสีหน้าเครียด
“ครับ” ผมตอบไปเท่านั้นจริงๆ ผมไม่กล้าสบตาเขา...เพราะอายจึงต้องเสมองไปทางอื่น
“งั้นพี่ไปก่อนนะครับ น้อง...” เขาเอ่ยกับผมก่อนจะเดินจากไป แต่ผ่านไปเพียงสามก้าวยาวของคนร่างสูงหนา เขาก็หันกลับมาส่งยิ้มพร้อมกับชูมือที่กำขึ้นอย่างเข้มแข็งและมันก็โคตรเท่ในความรู้สึกผม
“พี่ไม่รู้ว่าน้องเจออะไร แต่ก็...สู้ๆนะ” ยิ้มโชว์ฟันกระต่ายจนตาหยีพร้อมกับกระชับแจ๊กเก็ตสีดำในวันอากาศเย็นสบายแบบนี้ก่อนจะหันหลังเดินไปยังหน้าคณะ
ผมได้แต่อึ้ง... ผมจะเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าสิ่งที่เขาทำมันคือการส่ง “กำลังใจ” ให้กับรุ่นน้องอย่างผมที่ไม่เคยรู้จักไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน แม้ว่าอาจจะเดินสวนกันไปมาอยู่บ้างในคณะเท่าที่โอกาสจะอำนวย
ใจของผมฟูขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ อย่างน้อยวันแย่ๆของผมก็ยังมีรอยยิ้มและคำพูดที่ผมเชื่อว่า “จริงใจ” ออกมาจากเขาคนนั้น
วันแรกพบของเรา....เกิดขึ้นอย่างนั้นเอง ถ้าแดนไทรู้ว่าการที่เขาออกมาหลบมุมสูบบุหรี่ข้างตึกแล้วบังเอิญได้ยินเรื่องของรุ่นน้องคนหนึ่งที่วันหนึ่งจะกลายสถานะมาเป็นส่วนหนึ่งของชะตากรรมกันและกัน
ผมอยากรู้จังว่าถ้าเปลี่ยนอดีตได้เขาจะทำมันไหม....
แน่ล่ะ...ผมเคยถามคำถามนี้กับเจ้าตัวในวันที่ความสัมพันธ์เราแนบแน่น
เขาไม่ตอบผมแบบตรงไปตรงมา แต่กลับยิ้มและบอกว่า
“เราจะเปลี่ยนสิ่งที่เราตั้งใจทำได้ยังไงล่ะจี”
-----------------------------------------------------------------------------
จบตอนที่ 2
Tbc.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in