เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Spring and Summer : ฤดูนั้น...ฉันคิดถึงเธอfebturday
EP. 02 : วันแรกที่ได้พบ
  • วันแรกที่ผมได้พบแดนไทน่ะเหรอ?   ถ้าให้ย้อนความทรงจำไปเมื่อห้าปีที่แล้วมันช่างน่าสมเพชและ      น่าอายเสียเหลือเกิน แต่อย่างไรผมก็คงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว  นึกย้อนไปย้อนมา ผมก็ค้นพบว่าเพราะเหตุการณ์สั้นๆที่แดนไทได้เจอในวันนั้นจึงทำให้เขาเป็นคนหนึ่งที่น่าจะเข้าใจชีวิตผมได้มากกว่าเพื่อนบางคนเสียอีก 

    ช่วงสายของวันที่ 19 มกราคม 2013 ขณะที่ผมกำลังตั้งใจเรียนอย่างขะมักเขม้น – ใช่ ผมพูดไม่ผิดหรอกทุกประสาทสัมผัสของผมกำลังตื่นตัวพร้อมรับข้อมูลที่ออกมาจากอาจารย์วัยใกล้เกษียณ การเรียนเป็นสิ่งเดียวที่จะชุบชโลมจิตใจผมให้มีความสุขได้  การได้นั่งเรียนในห้องเรียนชั้นดีที่มีแอร์คอนดิชั่นเนอร์คำรามเบาๆปล่อยอุณหภูมิอันเยือกเย็นออกมา และอุปกรณ์ฉายสไลด์ที่ทันสมัยทำให้ผมมีความสุข   ที่นี่เสมือนเป็น “เซฟโซน” สำหรับหนุ่มน้อยวัย 20 ปีอย่างผม

    “ครืนนนน ครืนนนนน” เสียงโทรศัพท์ที่ปิดเสียงไว้สั่นอย่างต่อเนื่องผมมองที่จอเห็นเป็นชื่อของแม่ผมโทร.เข้ามา แวบแรกตัดสินใจกดตัดสาย  แน่ล่ะ ผมบอกแล้วว่าการเรียนสำคัญและอาจจะสำคัญกว่าคนที่เป็นบุพการีที่โทร.เข้ามาเสียอีก แม้จะผิดวิสัยของแม่ก็ตามที่จะโทร.มาเวลานี้แต่การตัดใจรับโทรศัพท์ระหว่างเรียนก็เป็นสิ่งที่เขาคิดว่ามันไม่สมควรอยู่ดี 

    “ครืนนนนน ครืนนนนนนน” แม้จะกดตัดสายไปแต่แม่ก็ยังพยายามโทร.เข้ามาอีก ในที่สุดผมก็ขออนุญาตอาจารย์ออกจากห้องเรียน  ท่าทางแม่น่าจะมีธุระด่วนแน่ๆถึงได้กระหน่ำโทร.ขนาดนี้

    “แม่ว่าไง มีอะไรรึเปล่า จีกำลังเรียนอยู่”  เสียงห้วนสะบัดใส่แม่หลังจากกดรับ ใช่ผมรู้ว่าไม่ควรพูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงแบบนี้แต่มันก็กลายเป็นนิสัยไปแล้วที่บ้านของเรา ใช่ บ้านของเรา ไม่เคยได้พูดจากันดีๆไม่เคยได้ส่งเสียงแทนความรู้สึกดีๆที่มีต่อกัน นอกจากความกราดเกรี้ยว โมโหและน่ารำคาญ         ขั้นร้ายแรงสุดก็อาจจะเป็น “ความเกลียดชัง”

    “จีลงมาหาแม่หน่อย เร็วๆ!! แม่อยู่ข้างล่างตึกที่ลูกเรียนอยู่”  แม่ตอบโต้มาด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักท่าทางเหมือนหวาดผวาอะไรซักอย่าง

    “แม่รอแป๊บ เดี๋ยวผมจะลงไปเดี๋ยวนี้เลย!   ทันทีที่กดตัดโทรศัพท์ผมก็รีบวิ่งลงบันไดลางสังหรณ์บอกว่าคงจะมีอะไรม่ดีเกิดขึ้นกับแม่แน่ๆ

    ทันทีที่เจอแม่...แม่รีบจูงข้อมือผมไปคุยในซอกข้างตึก  วันนี้แม่ดูแปลกตาไปทั้งการแต่งตัวที่ดูมิดชิดปิดแขนปิดขากระทั่งแว่นตาดำแม่ก็ใส่ทั้งๆที่เช้าวันนี้อากาศออกจะอึมครึม    ผมแทบสิ้นสติเมื่อแม่ถอดแว่นกันแดดและผ้าคลุมหัวออก ใบหน้าของแม่มีรอยช้ำเหมือนผ่านการโดนทำร้ายมาอย่างสาหัส

    “แม่!!! แม่เป็นอะไร” ผมร้องออกมาเสียงหลงก่อนที่แม่จะเอามือเล็กๆมาปิดปากผมไว้

    “จี แม่อยู่ไม่ได้แล้ว แม่ต้องไป”  แม่เกาะแขนผมไว้ด้วยอาการสั่นระริกพร้อมๆกับปล่อยโฮออกมา

    “มัน...ทำแม่ใช่มั้ย!!!  น้ำเสียงของผมลอดผ่านไรฟันอย่างสั่นสะท้าน

    “ทำไมพูดถึงพ่ออย่างนั้นล่ะลูก” แม่ยังมีหน้ามาปกป้องพ่อที่คอยทำร้ายตลอดเวลา ยังจะปกป้องอีก!!

    “แม่คงอยู่ต่อไม่ได้แล้ว พ่อของลูกเวลากินเหล้าทีไรกลายเป็นปีศาจทุกที แม่ทนไม่ไหวอีกแล้ว”  เสียงแผ่วระคนกับเสียงสะอื้นเล่าเรื่องสั้นๆแต่เป็นเหตุการณ์ที่ผมรู้ลึกและชัดแจ้งอย่างที่สุด  ก็พ่อทำกับแม่อย่างนี้มาเป็นสิบกว่าปี    น่าแปลกมากกว่าว่าแม่ทนอยู่ได้ยังไงกันนะ

     “แม่จะหนี”  น้ำเสียงแผ่วเบาของหญิงวัย 38 ที่สมัยวัยรุ่นพลาดท้องผมกับพ่อ --- พ่อที่ไม่เคยทำหน้าที่พ่อเลยสักครั้ง เปล่งออกมาอย่างกับคนที่หมดแรงที่จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

    “แม่จะไปไหน” ผมถามด้วยความเป็นห่วงแม่บอกผมว่าจะไปทำงานที่ไร่ทางภาคเหนือ เพื่อนแม่รู้จัก  นายจ้างทางนั้นแม่อธิบายรวบรัดก่อนจะลาไปด้วยประโยคที่ตอกย้ำว่าผมต้องอยู่คนเดียวให้ได้จริงๆ

    “จี...ดูแลตัวเองนะลูก แม่ไปก่อน ถ้าพ่อตามหาลูกรู้ใช่ไหมว่าต้องทำยังไง” คำว่าดูแลตัวเองของแม่น่าจะหมายถึงเรื่องเงินและถ้าเรื่องพ่อแม่ก็น่าจะรู้ว่าถ้าผมเรียก “ไอ้เหี้ย” แทนพ่อได้ ผมก็คงทำไปแล้ว

    แม่เดินจากไปทั้งน้ำตาส่วนผมหมดอาลัยตายอยากที่จะกลับขึ้นไปเรียนอีกแล้ว ผมยืนนิ่งกำมืออยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้....จนกระทั่งได้ยินเสียงลากเท้าแกรกๆผ่านพงหญ้าที่อยู่ข้างตึก

    ชายหนุ่มที่เป็นจักรวาลของคณะนั่นเอง “แดนไท” เดินออกมาพร้อมกับทำหน้ากระอักกระอ่วนใจ           ยังไม่ทันจะได้ถามอะไร เขาก็โพล่งออกมาว่า “ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังจริงๆนะ”

    เท่าที่จำได้ ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี

    “เอ่อ น้องโอเครึเปล่า” แดนไทถามด้วยสีหน้าเครียด ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องทำท่าทางเครียดขนาดนั้นด้วย เครียดเพราะต้องมาได้ยินเรื่องบ้าๆของครอบครัวผมเพราะมันอาจจะไปทำลายบรรยากาศดีๆของเขาก็เป็นได้

    “ครับ” ผมตอบไปเท่านั้นจริงๆ ผมไม่กล้าสบตาเขา...เพราะอายจึงต้องเสมองไปทางอื่น

    “งั้นพี่ไปก่อนนะครับ น้อง...” เขาเอ่ยกับผมก่อนจะเดินจากไป แต่ผ่านไปเพียงสามก้าวยาวของคนร่างสูงหนา  เขาก็หันกลับมาส่งยิ้มพร้อมกับชูมือที่กำขึ้นอย่างเข้มแข็งและมันก็โคตรเท่ในความรู้สึกผม

    “พี่ไม่รู้ว่าน้องเจออะไร แต่ก็...สู้ๆนะ”   ยิ้มโชว์ฟันกระต่ายจนตาหยีพร้อมกับกระชับแจ๊กเก็ตสีดำในวันอากาศเย็นสบายแบบนี้ก่อนจะหันหลังเดินไปยังหน้าคณะ

    ผมได้แต่อึ้ง... ผมจะเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าสิ่งที่เขาทำมันคือการส่ง “กำลังใจ” ให้กับรุ่นน้องอย่างผมที่ไม่เคยรู้จักไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน แม้ว่าอาจจะเดินสวนกันไปมาอยู่บ้างในคณะเท่าที่โอกาสจะอำนวย

    ใจของผมฟูขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ   อย่างน้อยวันแย่ๆของผมก็ยังมีรอยยิ้มและคำพูดที่ผมเชื่อว่า “จริงใจ” ออกมาจากเขาคนนั้น  

    วันแรกพบของเรา....เกิดขึ้นอย่างนั้นเอง     ถ้าแดนไทรู้ว่าการที่เขาออกมาหลบมุมสูบบุหรี่ข้างตึกแล้วบังเอิญได้ยินเรื่องของรุ่นน้องคนหนึ่งที่วันหนึ่งจะกลายสถานะมาเป็นส่วนหนึ่งของชะตากรรมกันและกัน

     

    ผมอยากรู้จังว่าถ้าเปลี่ยนอดีตได้เขาจะทำมันไหม....

    แน่ล่ะ...ผมเคยถามคำถามนี้กับเจ้าตัวในวันที่ความสัมพันธ์เราแนบแน่น 

    เขาไม่ตอบผมแบบตรงไปตรงมา แต่กลับยิ้มและบอกว่า

    “เราจะเปลี่ยนสิ่งที่เราตั้งใจทำได้ยังไงล่ะจี”

     

    -----------------------------------------------------------------------------

    จบตอนที่ 2

    Tbc.

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in