(5)
“ให้ตายเถอะ ไมเคิล หมาล่าเนื้อของสก็อตแลนด์ยาร์ดอย่างแกกลับบ้านกับเขาเป็นด้วยเหรอ”
คำถามนั้นเป็นของเบนเน็ตต์ ดาลบี้ ช่างภาพสตูดิโอจากฮาเวิร์ธ เพื่อนอัลฟ่าร่วมถิ่นยอร์กเชียร์ และคนช่วยหารค่าเช่าบ้านของผมลอยมาจากห้องครัว ทันทีที่เห็นผมเปิดประตูเข้ามาในห้องนั่งเล่นของแฟลตสองห้องนอน สองห้องน้ำย่านถนนฟลีตเข้ามา
เขากับผมเกิดปีเดียวกัน แต่เขาดูเด็กกว่าด้วยหน้าตกกระและผมแดงสว่าง นิยมแต่งตัวเหมือนฮิปสเตอร์ตัวพ่อแม้กระทั่งตอนอยู่บ้าน มีฝีปากเหมือนหลุดออกมาจากนิยายของสามสาวพี่น้องบรองเต้ และเจ้าชู้ระดับเจ้าของนิตยสารเพลย์บอย แต่เขาก็เป็นคนน่าคบ และแบ่งบ้านกันอยู่กับผมอย่างสงบมาเป็นสิบปีแล้ว ถ้าไม่นับวันที่เขาพาโอเมก้าสาวหรือเบต้าสาวกลับบ้านมาทำกิจกรรมเข้าจังหวะแบบไม่ซ้ำหน้า
“แกควรถามว่า ฉันเคยกลับบ้านตอนแกยังตื่นอยู่บ้างไหมมากกว่า” ผมว่า ดึงชายเสื้อออกจากกางเกง ถอดเนคไทโยนไปที่โต๊ะรับแขก ปลดกระดุมคอเสื้อออก
เบนเน็ตต์หลบทางให้ผมเข้าครัวไปเปิดตู้เย็น เทน้ำเย็นจากเหยือกกรองน้ำใส่ถ้วยกาแฟ ดูเหมือนเขากำลังอบอาหารอะไรสักอย่างที่มีกลิ่นมะเขือเทศกับพริกหวานอยู่ในเตาอบ น่าแปลกนิดหน่อยที่วันนี้ ในบ้านไม่มีกลิ่นของสาวแปลกหน้าสักคนให้สัมผัส
“ฉันอบพิซซ่าแช่แข็งเป็นอาหารค่ำน่ะ มีเบียร์อยู่อีกหกกระป๋อง แกจะกินด้วยกันไหมล่ะ” เพื่อนสนิทที่ต่างจากผมแทบเป็นคนละขั้วถาม ข้อเสนอของเขาไม่เลว ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องปฏิเสธ เพราะหลายอย่างที่ผมเผชิญมาตั้งแต่วันก่อนจนถึงวันนี้ทำให้ผมแทบหมดแรงจะหาอะไรกินด้วยตัวเองแล้ว
ระหว่างเขาจัดการกับพิซซ่าที่อบเกินเวลานานไปหน่อย ผมหยิบเบียร์สองกระป๋องไปที่ห้องนั่งเล่นกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการกินอย่างจาน ส้อม ซอสมะเขือเทศ และกดรีโมทเปิดทีวีดูข่าวประจำวันที่ช่องบีบีซีสอง รอเขายกอาหารมาสมทบ
เบนเน็ตต์ทำท่าเหมือนอยากเริ่มต้นคุยอะไรสักอย่างระหว่างที่เรากินอาหารค่ำกันแบบไร้บทสนทนา ผมหรี่ตามองเขา เพื่อนผมคนนี้เป็นเชปชิฟเตอร์จิ้งจอกผ่าเหล่าที่ทำตัวเจ้าเล่ห์ได้ไม่แนบเนียนสักเท่าไหร่มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“แกอยากคุยเรื่องอะไรสักอย่างกับฉันใช่ไหม เบนเน็ตต์”
เป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งที่เพื่อนคนนี้ของผมเป็นพวกที่ตัดสินใจฮุบโอกาสที่มีคนหยิบยื่นให้อย่างไม่ลังเล แต่บางทีเขาก็ใช้โอกาสนั้นอย่างตรงไปตรงมาเกินไปหน่อย
“ได้ข่าวมาว่า แกกำลังคบกับโอเมก้าคนนึงอยู่... แถมเป็นโอเมก้าชายซะด้วย”
คำพูดเปิดประเด็นของเบนเน็ตต์ทำให้ผมเกือบทำพิซซ่าหลุดมือ ส่วนประโยคถัดมา ก็ทำให้ผมต้องวางพิซซ่าคืนจานก่อนที่จะหล่นลงไปบนพื้นจริง ๆ
“แกรู้ใช่ไหมว่า โทเบียส ฟอล์กเนอร์ ไม่ได้เป็นโอเมก้าของตระกูลอัลฟ่าธรรมดาทั่วไป”
“แกไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน” ผมยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มตั้งตัวไม่ติด
เบนเน็ตต์ทำงานกับนิตยสารแฟชั่นและไลฟ์สไตล์หลายฉบับ เป็นงานที่อัลฟ่าส่วนใหญ่ไม่คิดจะทำ แต่ผมไม่คิดว่าเขาสนใจเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างคนที่ไม่ชอบเสนอหน้าออกสื่อ โดยเฉพาะคนที่พยายามอยู่ห่างจากการเป็นข่าวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้อย่าง ดร. ฟอล์กเนอร์และผม
“หนังสือพิมพ์แทบลอยด์... ฉันเล่นทวิตเตอร์ กดฟอลโลว์แอคเคานท์ข่าวไปเรื่อย แล้วก็มาเจอแจ็คพ็อต”
เขาวางมือจากการกินชั่วคราว หยิบเอาแท็บเล็ตที่วางไว้ข้างชั้นวางโทรทัศน์ ปลดล็อกหน้าจอ เปิดข่าวที่ว่าส่งให้ผมดู และข่าวที่เห็นทำให้ผมต้องนับหนึ่งถึงสิบก่อนที่จะอ่านต่อได้
ผมคิดว่าผมได้คำตอบแล้วว่า ทำไมสื่อมวลชนบางคนถึงมองผมด้วยสายตาแปลก ๆ เหมือนอยากถามอะไรที่มากไปกว่าคำถามเกี่ยวกับคดีของฮันนาห์ วัตกิ้นส์ โอเมก้าหญิงที่เสียชีวิตที่คูนาร์ดเพลสเมื่อวันก่อนในขณะที่ผมอยู่ร่วมการแถลงข่าวโดยผู้กำกับการของหน่วยสืบสวนพิเศษที่ผมสังกัด และตอบคำถามบางอย่างที่ผมรู้รายละเอียด และต้องยอมแลกเปลี่ยนข้อมูลกับสือบ้างเพื่อยืมมือคนเหล่านั้นนำเสนอข่าวและดึงเอาพยานบุคคล พยานหลักฐานที่อาจเป็นประโยชน์กับคดีกลับมา
ไม่เหมือนกับหนังสือพิมพ์ที่เน้นข่าวสารหรือสำนักข่าวโทรทัศน์ที่เน้นการนำเสนอข่าวของ ‘ผู้ตาย’ ในเหตุการณ์ที่ทะเลสาบของรีเจนท์สพาร์คกับการสืบสวนของตำรวจเป็นหลัก ข่าวของหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ที่ขายฉบับละไม่ถึงปอนด์ที่เบนเน็ตต์เอาให้ผมอ่านเน้นนำเสนอเรื่อง ‘คู่รักอัลฟ่ากับโอเมก้า’ ที่ประสบเหตุแล้วยื่นมือเข้าช่วยชายหนุ่มดวงตกที่พลัดตกน้ำ แต่ช่วยไม่ทันเพราะเสียชีวิตไปก่อนหน้านั้นแล้ว และเอ่ยถึงปากคำพยานในที่เกิดเหตุที่บอกว่า หลังจากช่วยเหลือชายเคราะห์ร้ายคนนั้นแล้ว คนทั้งคู่ก็ต้องรีบออกไปจากที่เกิดเหตุ เพราะฝ่ายโอเมก้าชายเข้าสู่ภาวะฮีท แม้จะไม่ได้ระบุชื่อ แต่การบรรยายลักษณะก็มากเพียงพอให้คนที่รู้จัก ดร. ฟอล์กเนอร์และผมพอจะเดาได้ว่า เราสองคนเป็นใคร
ผมไม่อยากนึกเลยว่า ถ้าหาก ดร. ฟอล์กเนอร์พ้นจากช่วงฮีทแล้ว และรู้เรื่องเฮงซวยพวกนี้เข้า คนที่หวงความเป็นส่วนตัวมากที่สุดอย่างเขาจะรู้สึกอย่างไร แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่างในข่าวที่ว่า และเมฆหมอกของความสงสัยดังกล่าวก็ได้เบนเน็ตต์เป็นคนปัดเป่าออกไปให้ แม้ว่าจะถูกเขามองอย่างสมเพชในความไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเกี่ยวกับเรื่องในแวดวงสังคมเอาเสียเลยของผมก็ตาม
“โอเมก้าชายที่เป็นหมอ โดยเฉพาะที่อยู่ในลอนดอนมีแทบนับหัวได้ พวกนักข่าวสังคมทั้งหลายดมกลิ่นได้อยู่แล้วว่า เป็นใคร โดยเฉพาะคนที่หน้าสวยขนาดคนที่เดินผ่านต้องหันกลับไปมองซ้ำสองนั่น มีไม่กี่คนหรอก หนึ่งในนั้น คือ ดร. ฟอล์กเนอร์ของแกนี่ละ”
ตอนนี้ เพื่อนของผมเลิกสนใจพิซซ่า หันไปจัดการกับเบียร์แทน และเบียร์ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ผมต้องการมากกว่าพิซซ่าด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในเวลานี้
“เรารู้จักกันมานาน ฉันรู้ว่าแกจริงจังกับเขา และการที่คนเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร แถมปฏิเสธการเข้าใกล้อัลฟ่ามาตลอด ยอมให้แกเข้าใกล้ยิ่งกว่าใครทั้งหมด ก็แสดงว่า เขาชอบแกจริง ๆ ซึ่งฉันดีใจด้วย และเชื่อว่าแกมีดีพอที่จะทำให้เขาชอบแกได้ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันเป็นห่วงแก ไมเคิล”
ท่าทีของเบนเน็ตต์จริงจัง เขายินดีกับผมอย่างจริงใจ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความกังวลอยู่ในน้ำเสียงและกิริยาอาการของเขาในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
“ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ ดร. ฟอล์กเนอร์ปรากฏตัวในงานสังคม คือ งานประมูลภาพเขียนยุคบาโรคที่จัดขึ้นที่สโมสรซีแฟเรอร์ที่เซอร์เอ็ดเวิร์ด สแตนตันเป็นผู้ให้การสนับสนุนและเป็นเจ้าของอาคาร หลังจากนั้น ไม่มีข่าวคราว ไม่มีภาพของเขาออกสื่ออีกเลย ทั้งที่ลูกชายคนเล็กของตระกูลฟอล์กเนอร์เป็นโอเมก้าชายที่ตระกูลอัลฟ่าไหน ๆ ก็อยากได้ แถมเซอร์เอ็ดเวิร์ดยังสนใจเขาอย่างออกนอกหน้า และถ้าฉันมีเขาเป็นคู่แข่ง ฉันจะตัดตัวเองออกจากแถวรอจีบโทเบียส ฟอล์กเนอร์ทันที”
นักธุรกิจเจ้าของบริษัทลอจิสติกส์อันดับต้น ๆ ของสหราชอาณาจักรคนนั้นอีกแล้ว เป็นชื่อที่ผมไม่คิดอยากได้ยินอีกด้วยหลาย ๆ เหตุผล และเบนเน็ตต์คงแทบลมจับแน่ ๆ ถ้าเขารู้ว่า ผมเคยเผชิญหน้ากับเอ็ดเวิร์ด สแตนตันมาแล้ว และแน่นอนว่า ความต้องการที่จะปกป้องพวกพ้องและครอบครัวอยู่เหนือกว่าความรู้เรื่องสถานะทางสังคมใด ๆ ของไฮอัลฟ่าอีกคน
“จากประสบการณ์ของฉันนะ เพื่อนรัก” เพื่อนของผมพูดต่อ สีหน้าของเขาดูไม่สบายใจเลยสักนิด “ในยุคที่สมาชิกของวังบัคกิ้งแฮมยังโดนเอารูปไปตัดต่อ คนที่เอาเงินซื้อพื้นที่สื่อให้ตัวเองได้น่ากลัวน้อยกว่าคนที่ปิดปากสื่อได้อย่างหมดจดในสังคมและอนุญาตให้สื่อนำเสนอเฉพาะเรื่องที่ตัวเองต้องการได้หลายเท่า และพวกสแตนตันกับฟอล์กเนอร์อยู่จำพวกหลัง”
“แต่วันดีคืนดี ก็มีข่าวของ ดร. ฟอล์กเนอร์โผล่ขึ้นมาจนได้...”
“ด็อกเตอร์-ฟอล์กเนอร์-กับ-สารวัตร-เฟย์ ต่างหาก” เขาเน้นทีละคำ “ถึงจะเป็นข่าวอาชญากรรม และไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรที่ตำรวจกับแพทย์นิติเวชอย่างพวกแกจะไปโผล่อยู่ที่นั่น แต่คำพูดของพยานในที่เกิดเหตุที่พาดพิงถึงพวกแกนี่แหละ ไมเคิล ทำให้ทีมข่าวสังคมกับคอลัมนิสต์นิตยสารแบบเฮลโลหรือวานิตี้แฟร์ตื่นจากจำศีลและเริ่มหาอาหารกันแล้ว นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้มาจากการไปถ่ายภาพนางแบบให้นิตยสารไลฟ์สไตล์มาวันนี้ และเป็นสิ่งที่แกควรรู้ด้วย เพราะถึงแกจะรับมือกับนักข่าวอาชญากรรมได้ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่แกคุ้นเคยแน่ ๆ”
เห็นได้ชัดว่า นี่คือประเด็นสำคัญที่ทำให้เบนเน็ตต์นึกห่วงสวัสดิภาพของผมขึ้นมาจนต้องหาโอกาสรอคุยด้วย นั่นเป็นวิธีการแสดงน้ำใจในแบบของเขา
“ขอบใจ เบนเน็ตต์” ผมบอก เริ่มดื่มเบียร์ที่เหลืออยู่ไม่ลง และนึกถึงคนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล แต่ผมยังไปหาไม่ได้
มันไม่เหมือนเรื่องบังเอิญ ผมยังไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมเรื่องนี้ถึงกลายเป็นเรื่องยุ่งเหยิง และใครจะทำแบบนี้เพื่ออะไร
และข้อความที่เข้าในโทรศัพท์มือถือก็ทำให้ผมมีเรื่องยุ่งยากใจหนักขึ้นไปอีก
“พรุ่งนี้มาพบผมที่ห้องชันสูตร เก้าโมงเช้า มีเรื่องสำคัญที่ต้องคุย เซบาสเตียน อาร์เชอร์ บัตรประชาชนเป็นอัลฟ่า แต่ลักษณะทางชีวภาพภายนอกมีแนวโน้มจะเป็นโอเมก้า – ดร. เอช. แฮมิลตัน”
To be continued....
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in