“ไม่ใช่โทบี้ ฟอล์กเนอร์” พันเอกออกัสต์ โกลเบิร์กรีบย้ำทันทีหลังจากเอ่ยชื่อบุคคลต้องสงสัยของเขาออกมา “โทบี้ไม่มีทักษะด้านการต่อสู้แบบทหาร เขาเป็นหมออย่างแท้จริง ผมไม่เชื่อว่าโอเมก้าอย่างเขาจะฆ่าใครได้ ผมไม่เคยสงสัยว่าเขาเป็นคนลงมือ แต่มีตัวการอีกคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเขา”
“คุณหมายถึงทิโมธี ฟอล์กเนอร์ พี่ชายของ ดร. ฟอล์กเนอร์?”
“พี่น้องฟอล์กเนอร์มีด้วยกันเจ็ดคน ทำไมคุณถึงคิดว่าผมหมายถึงเขาล่ะ สารวัตร” เขามีท่าทีสนใจข้อสันนิษฐานของผมเป็นพิเศษ
“เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ทำงานเกี่ยวข้องกับความมั่นคงและข่าวกรอง” ผมตอบ “เท่าที่รู้ พี่น้องฟอล์กเนอร์ส่วนใหญ่เป็นทนายความ มีคนที่ทำอาชีพอื่นบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองมากเท่ากับทิโมธี ฟอล์กเนอร์”
“เป็นสิ่งที่ผมจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับคนที่ผมคบด้วยส่วนหนึ่ง” ผมบอก “กลับมาเรื่องของเราเถอะ เพราะอะไรคุณถึงคิดว่าทิโมธีอยู่เบื้องหลังการตายของพี่น้องอาร์เชอร์”
พันเอกโกลด์เบิร์กถอนหายใจยาว ก่อนยกขาขึ้นไขว่ห้าง “ผมต้องทำความเข้าใจกับสารวัตรก่อนว่า ผมไม่ได้เกลียดชังหรือไม่พอใจทิม ฟอล์กเนอร์เป็นการส่วนตัว ตรงกันข้าม ผมชอบความแน่วแน่และยึดมั่นในอุดมการณ์เสรีนิยมของเขา เพราะนั่นเป็นคุณสมบัติที่นักการเมืองควรจะมี แต่น่าเสียดายที่ความคิดเห็นของเราเรื่องกิจการในอาฟกานิสถานไม่ตรงกัน”
“เขาต้องการให้ถอนทหารออกจากอาฟกานิสถาน แต่ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องอยู่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย”
“แล้วจากการประเมินของผู้พัน การตายของร้อยโทเซบาสเตียน อาร์เชอร์จะก่อให้เกิดผลในทางไหน”
“ห้าสิบห้าสิบ แต่ผลที่ออกมาคือ เราไม่ได้ถอนทหาร และเพิ่งมีการสับเปลี่ยนกำลังพลในอาฟกานิสถานเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ตอนนี้กำลังพิจารณาว่าอาจเพิ่มกำลังพลลงไปในฐานทัพสหราชอาณาจักรอีก”
เพื่อสงครามที่จะไม่มีใครชนะหรือแพ้ยกเว้นผู้พัฒนาและค้าอาวุธสงครามน่ะเหรอ... ผมคิดในใจ แต่ไม่ได้เอ่ยออกไปให้เสียเรื่อง และไม่อยากทำให้ความเห็นส่วนตัวทำให้เขารู้สึกว่า ความคิดผมเป็นปฏิปักษ์กับความคิดเขา
“ผู้พันมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องที่เอ็ดมันด์ อาร์เชอร์ติดต่อกับ ดร. ฟอล์กเนอร์ให้มาพบโดยใช้ชื่อแทนตัวเองว่า เซบาสเตียน” ผมถามต่อ
“ผมไม่สามารถออกความเห็นในเรื่องนั้นได้” นายทหารประจำหน่วยข่าวกรองบอก “แต่พูดตามตรง เขาทำให้ผมนึกถึงนักบุญเซบาสเตียนที่ถูกทำร้ายจนเจ็บหนัก จักรพรรดิคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่ก็กลับมาอีก เพื่อที่จะถูกฆ่าตายซ้ำอีกรอบหนึ่ง”
“นักบุญเซบาสเตียนถูกฆ่าเพราะประกาศและยืนหยัดในความเชื่อของตัวเอง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด”
“สารวัตรพูดถูก... นั่นก็เป็นอีกสิ่งที่ผมคิด” คู่สนทนาของผมกล่าว “เอ็ดมันด์ถูกฆ่าเพราะต้องการแสวงหาความจริงเกี่ยวกับการตายของเซบาสเตียน การประกาศตัวเป็นเซบาสเตียนที่กลับมาให้โทบี้ ฟอล์กเนอร์รู้ก็ไม่ต่างจากการที่นักบุญเซบาสเตียนกลับโรมไปเผชิญหน้ากับจักรพรรดิไดโอคลีเชียนที่สั่งฆ่าตัวเองไปแล้วหนหนึ่งนั่นละ เพียงแต่คนลงมือไม่ใช่โทบี้”
“แล้วคุณสืบหรือเปล่าว่า ใครรับคำสั่งจากทิม ฟอล์กเนอร์ให้มาเก็บเซบาสเตียน ถ้าไม่ใช่น้องชายเขา”
เขาเงียบ และผมตัดสินใจเปลี่ยนประเด็นคำถาม
“เอ็ดมันด์ได้บอกผู้พันหรือเปล่าว่า เขาได้ค้นพบความจริงอะไรบ้าง”
“ไม่... ผมไม่รู้ว่าเขารู้อะไรถึงได้ติดต่อไปหาโทบี้ ฟอล์กเนอร์” พันเอกโกลด์เบิร์กกล่าว ท่าทางของเขาดูเหมือนอึดอัดและไม่ค่อยสบอารมณ์กับสิ่งที่กลายมาเป็นคำตอบของตัวเอง ปฏิกิริยาของเขาเหมือนของทิม ฟอล์กเนอร์ในเวลาที่ผมถามคำถามเดียวกัน แต่คำตอบและสาเหตุของความไม่สบายใจของพวกเขาต่างกัน
ผมไม่แน่ใจว่า คนตรงหน้าของผมรู้แล้วหรือไม่ว่า เอ็ดมันด์ไม่ใช่คนของเขา
เอ็ดมันด์ อาร์เชอร์เป็นคนของทิโมธี ฟอล์กเนอร์ แต่ไม่ได้ไปหาผู้สั่งการของตัวเองในวันที่เขารู้ว่า ตัวเองอาจต้องตาย แต่กลับเลือกติดต่อหาโทเบียส ฟอล์กเนอร์ที่ยุติบทบาทคนกลางของสายลับอย่างเซบาสเตียนกับทิโมธีแทน
ความไม่สบายใจของทิม ฟอล์กเนอร์ไม่ได้มาจากการที่คนของตนไม่ได้ติดต่อหรือบอกความจริงกับตัวเองโดยตรง แต่เป็นความห่วงใยน้องชายคนเล็กของตัวเองโดยแท้ เขาพยายามจะรักษาสัญญาที่เคยให้เอาไว้กับโทบี้ว่า จะไม่ทำให้อีกฝ่ายต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจการด้านความมั่นคงอีกต่อไปแล้ว แต่ความคับข้องใจของออกัสต์ โกลด์เบิร์กคือ ความไม่พอใจที่เอ็ดมันด์เลือกติดต่อกับคนของฝ่ายตรงข้าม หรืออะไรที่มากกว่านั้น
“แล้วโทบี้ ฟอล์กเนอร์ได้บอกคุณถึงเหตุผลที่เอ็ดมันด์ต้องการติดต่อกับเขาบ้างหรือเปล่า สารวัตร” คู่สนทนาของผมกลายเป็นฝ่ายซักถามบ้าง ความแนบเนียนทำให้ผมคิดว่าเขาแสวงหาโอกาสในการหาข้อมูลได้ดีสมกับที่ทำงานด้านการข่าว
ผมส่ายหน้า “เขาแค่ให้ผมไปเป็นเพื่อนเขาตอนที่ได้รับนัดจากเอ็ดมันด์ในชื่อเซบาสเตียนเท่านั้น นอกนั้น ผมรู้เท่ากับที่คุณรู้หรือน้อยกว่าด้วยซ้ำ เพราะผมเป็นคนนอก”
เขามองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงว่าเข้าใจและไม่ติดใจอะไรในเรื่องนั้น
“ว่าแต่คุณแน่ใจแน่นะว่า เห็นคนของผมทะเลาะกับเอ็ดมันด์”
“บาร์เทิลบี้..” ผมย้ำชื่อของคนที่เขากล่าวถึงอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นคนที่มีลักษณะคล้ายกับเขา ไม่ใช่แค่ทะเลาะกับเอ็ดมันด์ เขายังอยู่ในภาพเฟรมเดียวกับฮันนาห์ วัตกินส์ โอเมก้าหญิงอีกคนหนึ่งที่เป็นผู้ตายในคดีที่ผมรับผิดชอบอยู่ด้วย”
“ขออภัยนะ สารวัตรเฟย์ คุณตั้งใจจะบอกผมว่าอะไร”
“ผมแค่บอกข้อมูลที่ผมได้มาจากการทำคดีของตัวเองให้คุณรับทราบเท่านั้น” ผมชี้แจง “ผมต้องการความเห็นของคุณว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่เขากับผู้หญิงคนนั้นรู้จักกันหรือมีปัญหากับเอ็ดมันด์ด้วยเรื่องของผู้หญิงคนนั้น”
“ไม่มีทางที่แม็กซ์จะรู้จักกันโอเมก้าขายบริการแน่ ๆ” พันเอกโกลด์เบิร์กแย้งขึ้นทันควัน “ไม่มีทางที่อัลฟ่าอย่างเขาจะลดตัวลงไปแย่งโอเมก้าคนเดียว โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นโอเมก้าเหมือนกัน เพราะยังไง โอเมก้ากับโอเมก้าไม่มีวัน...”
“ถ้าอย่างนั้นก็อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด” ผมตัดบท “เพราะพยานที่เป็นอัลฟ่าและโอเมก้าในที่สุดท้ายที่พบผู้ตายบอกว่า คนที่มีลักษณะคล้ายกับร้อยโทบาร์เทิลบี้ไม่ใช่อัลฟ่า แต่เป็นเบต้า เพราะไม่ได้กลิ่นประจำตัวของเขา”
“ก็คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันจริง ๆ นั่นละ” เขาบอก “มีอะไรที่สารวัตรอยากรู้เพิ่มเติมอีกไหม”
“ผมอยากรู้ว่า เมื่อไหร่ร้อยโทบาร์เทิลบี้ถึงจะกลับ”
“อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้ว อาจจะภายใน 2-3 วัน” น้ำเสียงของเขาบ่งบอกความสงสัย “ทำไมสารวัตรถามแบบนี้”
“ผมคิดว่าห้องนี้เป็นของเขาไม่ใช่ของคุณ”
พันเอกโกลด์เบิร์กชะงักกับคำตอบที่เขาไม่ทันตั้งตัวและไม่คาดว่าจะได้ยินข้อสันนิษฐานนี้จากผมที่ระวังการให้ข้อมูลกับเขามาตลอดและเลือกที่จะไม่ด่วนสรุปโดยไม่มีหลักฐาน
“กลิ่นของห้องนี้บอกผม” ผมไม่รอให้เขาสงสัยนานไปกว่านั้น “ห้องนี้มีแค่กลิ่นของคุณ”
“ในเมื่อมันเป็นห้องของผม การมีกลิ่นของผมเพียงคนเดียวมันเป็นเรื่องประหลาดตรงไหน สารวัตร”
“ผมพูดไม่ชัดเจนเอง” ผมบอก “ในห้องนี้ไม่มีกลิ่นของใครอยู่เลย ทั้งที่คุณใช้มันเป็นที่พักของตัวเองมาแล้วระยะหนึ่ง กลิ่นที่ผมสัมผัสได้คือ กลิ่นประจำตัวของคุณ จากตัวของคุณ ไม่ใช่จากห้องนี้หรือที่นอน หรือสิ่งใด ๆ ก็ตามที่อยู่ในห้อง”
“ถ้าคุณเป็นสายลับ คุณก็จะระวังตัวจนติดเป็นนิสัย” เขาหัวเราะ “ผมยอมรับว่าคุณเป็นตำรวจและชิฟเตอร์ที่จมูกไวมากสมกับที่เป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนแถวหน้า แต่บางทีคุณอาจจะคิดมากไป”
“เป็นไปได้” ผมรับไปตามที่เขาพูด “ผมเคยได้ยินเรื่องสเปรย์ที่อัลฟ่าใช้กลบกลิ่นตัวเองเลยอดคิดถึงมันไม่ได้”
พันเอกโกลด์เบิร์กยิ้มและประสานมือเข้าหากัน “ผมก็เคยได้ยิน แต่มันก็เป็นความพยายามทดลองที่ไม่เป็นผล เพราะไม่มีความจำเป็นที่อัลฟ่าอย่างเราจะลดตัวลงไปใช้ของพรรค์นั้นหรอกจริงไหม สารวัตร”
“ถ้าคุณทำเพื่อความปลอดภัยของคนที่คุณแคร์หรือเพื่อประโยชน์ทางการงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก ก็อาจจะคุ้มค่าอยู่นะครับ”
คิ้วของนายทหารยกสูงขึ้นกับประโยคหลังของผม “นี่คุณคิดว่าแม็กซ์ใช้สเปรย์กลบกลิ่นประจำตัวของอัลฟ่าเพื่อให้คนเข้าใจว่า ตัวเขาเป็นเบต้าแล้วไปก่อเหตุงั้นเหรอ”
“ผมแค่พูดถึงความเป็นไปได้ นั่นยังไม่ใช่ข้อสันนิษฐานหรือข้อสรุปว่าใช่เขาหรือไม่ เพราะคนที่ก่อเหตุอาจเป็นเบต้าจริง ๆ ก็ได้ หรืออาจเป็นอัลฟ่าอื่น ๆ ที่สามารถเข้าถึงสเปรย์บล็อกกลิ่นประจำตัวของอัลฟ่าได้ก็เป็นได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเขา” ผมอธิบาย ก่อนลุกขึ้นจากโซฟา แล้วยื่นมือให้นายทหารตรงหน้า “ผมรบกวนผู้พันมามากแล้ว ขอบคุณสำหรับข้อมูลและความคิดเห็น”
พันเอกโกลด์เบิร์กยิ้มและลุกขึ้นจับมือกับผม “ยินดีที่ได้ช่วย หวังว่าสารวัตรจะได้ความจริงเกี่ยวกับการฆาตกรรมโอเมก้าหญิงคนนั้นในเร็ววัน แต่น่าเสียดายที่คุณไม่ได้ทำคดีของเอ็ดมันด์ อาร์เชอร์อีกต่อไปแล้ว ไม่อย่างนั้น เราคงได้ทำงานด้วยกันอีก”
“ผู้พันทราบข่าวเรื่องนี้เร็วดีนะครับ” ผมยิ้มตอบ ก้มศีรษะให้แทนคำลา “ถ้ามีความคืบหน้าเกี่ยวกับคดี และมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับองค์กรของผู้พัน ผมอาจต้องรบกวนอีก”
“ด้วยความยินดี” เขาปล่อยมือที่จับมือของผมเอาไว้ และเดินตามมาส่งผมที่ประตู
ไม่ทันที่มือของผมจะแตะถึงลูกบิด บานประตูของห้องพักก็เปิดผลัวะเข้ามากระแทกใส่ผมเต็มแรงจนกระทั่งเสียหลักเซถอยหลังเกือบล้มลงไปกับพื้น ในขณะที่ผมยังคงเสียการทรงตัวและยืนได้ไม่เต็มเท้านัก ร่างร่างหนึ่งก็โถมเข้าหาผมอย่างรวดเร็ว แขนของผมเจ็บแปลบด้วยฤทธิ์ของคมเขี้ยวที่กัดฝังลงมาเต็มแขนที่ผมยกขึ้นป้องกันตัวโดยสัญชาตญาณ ผมเกร็งแขนและพลิกตัวกลับจากท่าทางที่เสียเปรียบกว่าไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของแมวลิงซ์ขนาดใหญ่ที่ปรากฏตัวขึ้นโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ร่างของมันกระแทกเข้ากับเหลี่ยมประตู ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้มันยอมคายแขนของผมออก
ดวงตาสีเหลืองในร่างสัตว์ป่าตัวนั้นเป็นแววตาของมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย และเป้าหมายของเชพชิฟเตอร์อัลฟ่าคนนี้คือ ผมเพียงผู้เดียวเท่านั้น ไม่ใช่ออกัสต์ โกลด์เบิร์กที่ยืนอยู่ในรัศมีที่เขาอาจถูกโจมตีได้ แต่แมวป่าตัวนั้นไม่มีท่าทีว่าคิดจะแตะต้องเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น มันแสดงออกชัดเจนว่า ผมเป็นศัตรู ในขณะที่ชายอีกคนหนึ่งในห้องเป็นคนที่ตนเองต้องปกป้องคุ้มครอง
แววตาของแมวลิงซ์ตัวนั้นวูบไหว ก่อนที่จะจับจ้องคุมเชิงผมด้วยท่าทีพร้อมจู่โจมอีกครั้ง โดยที่พันเอกโกลด์เบิร์กทำเพียงยืนมองอยู่ ไม่แสดงกิริยาใดเพื่อห้ามปรามอีกฝ่ายไม่ให้ลงมือหรือใจเย็นลงเลย
ผมกุมแขนขวาของตัวเองที่ตอนนี้มีรอยฟันของฝ่ายตรงข้ามที่งับจนจมเขี้ยว เลือดเหนียวข้นไหลซึมออกมาจากบาดแผลเป็นรูทั้งสี่รอย ตำรวจสืบสวนอย่างผมไม่ได้รับอนุญาตให้พกปืนและผมไม่มีอาวุธอื่นเพื่อใช้ในการป้องกันตัวหรือตอบโต้เขาได้เมื่ออยู่ในร่างของมนุษย์ที่แม้จะตัวใหญ่และแข็งแรงพอตัว แต่ก็ยังสู้สัมผัส สัญชาตญาณ และความคล่องตัวของคนในร่างสัตว์ไม่ได้
ผมไม่มีทางเลือกอื่น และเขาไม่ยอมให้ทางเลือกอื่นแก่ผม
ผมสูดลมหายใจเข้าเพื่อตั้งสมาธิและพร้อมรับความเจ็บปวดชั่วขณะจากการเปลี่ยนร่างจากมนุษย์เป็นสัตว์สี่เท้า รับรู้ถึงการเคลื่อนย้ายและการปรับรูปของกระดูกชิ้นต่าง ๆ ภายในร่าง เสี้ยวนาทีที่ยาวนานเอาเรื่อง และเมื่อเรียกสติกลับคืนมาอีกครั้ง มือและเท้าของผมก็กลายเป็นอุ้งเท้าที่สัมผัสกับพื้น ดวงตา โสตประสาท และฆานประสาทยกระดับความสามารถสูงขึ้นกว่าเมื่อครั้งอยู่ในร่างมนุษย์อีกหลายสิบเท่า แต่จากรูปปากและลำคอของผมในเวลานี้ ทำให้ผมไม่สามารถพูดเป็นภาษามนุษย์ได้ ทำได้เพียงแต่ส่งเสียงแบบที่สุนัขขนาดใหญ่และหมาป่าทำกันได้เท่านั้น
การรับรู้ด้านแสง สี รูป กลิ่น เสียงของผมเปลี่ยนไป สัญชาตญาณการล่าแบบสุนัขตื่นฟื้นขึ้น มีสิ่งเดียวที่บ่งบอกว่า ผมเป็นเชปชิฟเตอร์คือสติสัมปชัญญะและความคิดอ่านแบบมนุษย์ที่ยังคงอยู่
ผมคำรามในลำคอ แยกเขี้ยว บาดแผลไม่ใช่เรื่องสำคัญเมื่ออยู่ในร่างนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผม คือ การเอาชีวิตรอด และหยุดเชปชิฟเตอร์ที่กำลังเผชิญหน้ากับผมอยู่ในเวลานี้เอาไว้ให้ได้
To be continued...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in