*****-เราเห็นพล็อตของคุณ @JIAYANsweets แล้วอยากลองแต่งดู ถ้าอยากให้ลบยังไงก็บอกมาได้เลยนะคะ ขอโทษที่ไม่ได้ไปขอโดยตรงนะคะ เราแบบว่า เขิน-
หวังอี้ป๋อเป็นคนรับใช้ของธิดาบุญธรรมของท่านเซียนสวรรค์ ครั้นจะว่าเป็นคนรับใช้ที่ต้อยต่ำไร้ศักดิ์ไร้ศรีก็มิใช่นักเขาเองก็เป็นหนึ่งในลูกของท่านเซียน ผิดไปก็แต่เป็นลูกนอกสมรสที่ไม่ได้รับการยอมรับจึงได้รับแค่ตำแหน่งคนรับใช้ของธิดาบุญธรรม
ด้วยความเอ็นดูและไว้ใจที่มีให้ เขาจึงเป็นดั่งศิษย์น้องคนสนิทคอยดูแลกระต่ายสวรรค์ที่ธิดาบุญธรรมเลี้ยงไว้ แต่ด้วยอาการครั่นเนื้อครั่นตัวในวันนี้จึงขอกลับมาพักผ่อนกายให้หายก่อนยามปกติ
สองมือค่อยๆปลดเปลื้องอาภรณ์สีขาวที่คลุมอยู่จนเหลือเพียงอาภรณ์สีขาวบางๆชั้นในสุดเท่านั้น ก่อนที่ร่างอันเหนื่อยอ่อนจะเอนลงเพื่อพักผ่อนดั่งใจหวัง
โชคร้ายนักแม้จะพักผ่อนไปทั้งคืนอาการกลับไม่ทุเลาลงเสียเท่าไหร่ หลังจากจัดการทำความสะอาดร่างกายแล้วจึงตั้งใจว่าจะไปที่โรงยาเพื่อขอยามาบำรุง
แต่เสียงเคาะเรียกเชิญให้เขาไปพบธิดาบุญธรรมอย่างเร่งด่วนทำให้เขาต้องละความตั้งใจแรกไว้เสียก่อน
สองเท้าเดินตามทางโขดหินด้วยท่าทางสุขุมและสง่าก่อนย่อลงเพื่อเก็บดอกไม้ริมทางที่ธิดาบุญธรรมโปรดอย่างเช่นทุกวันที่เข้าพบ
ยามที่ประตูตำหนักเปิดออกเขาเดินเข้าไปเคารพธิดาบุญธรรมด้วยความนอบน้อม ก่อนจะนำดอกไม้ที่นำมาไปวางในโหลที่เก็บดอกไม้แห้งไว้ แต่กลับถูกขัดเสียก่อนด้วยฝ่ามืออ่อนโยนที่เคยปลอบโอนบัดนี้กลับตบลงแก้มเขาเสียเต็มแรง
เขารีบทรุดเข่าลงเพื่อขอการอภัยและถามถึงสาเหตุที่ไม่ทราบ
“ศิษย์พี่หญิงข้าขอโทษและขอบังอาจถามท่านถึงเหตุ”
สายตาเกรี้ยวกราดของศิษย์พี่หญิงคลอเคล้าไปด้วยน้ำตาและความโกรธ
“เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือ”
“ข้ามอบหน้าที่ให้เจ้าดูแลกระต่ายของข้าหาได้ต้องทำงานหนักเยี่ยงข้ารับใช้คนอื่น”
“เจ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนี้”
อี้ป๋อไม่เข้าใจถึงเหตุที่ศิษย์พี่หญิงแดกดันเขา
“ข้าทำอันใดหรือ”
นิ้วชี้เรียวที่ประดับด้วยเล็บสีแดงสดที่เขามักจะชื่นชมถึงความงามของมันเสมอยกขึ้นชี้หน้าด้วยมันสั่นไปหมดด้วยความโกรธที่ส่งผ่านมา
“เจ้าเอากระต่ายของข้าไปทำยาวิเศษหวังให้ตนมีพลังเพิ่มขึ้น”
“เจ้ากล้าดีอย่างไร!!”
ดวงตาของเขาคลอด้วยน้ำใสที่ปริ่มจะรินไหลเต็มทน ใบหน้าสะบัดปฏิเสธเสียจนเส้นผมเงาขลับไหวไปตามการเคลื่อนไหว
“ข้ามิกล้าข้าไม่ได้ทำจริงๆ”
“เมื่อวานข้าเพียงเข้าไปดูแลกระต่ายอย่างปกติเพียงแต่รู้สึกไม่สบายกาย จึงขอตัวกลับไปพักก่อนเวลา”
“แล้วใครมันช่างกล้า!! หากไม่ใช่เจ้าที่คุ้นเคยกับพวกมันดี และรู้ที่เก็บรักษา”
เสียงประตูของตำหนักถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมนักพรตของตระกูล น้ำเสียงกระซิบกระซาบเบาแผ่วทำให้อี้ป๋อไม่อาจเข้าใจในบทสนทนา แต่ทันทีที่นักพรตผู้นั้นพูดเสร็จธิดาบุญธรรมก็ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความกริ้วอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“พวกเจ้านำมันผู้นี้ไปโยนลงโลกมนุษย์ อย่าให้มันได้ขึ้นมาบนสวรรค์นี้อีกหากข้าพบเห็นแม้แต่ไรผมของมันในสวรรค์นี้อีก พวกเจ้าทั้งหมดจะโดนลงโทษ”
สองแก้มนวลเต็มไปด้วยน้ำตาตารีทั้งสองข้างเบิกขึ้นด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้
เขามิได้ทำการอันใดจริงๆ เหตุใดธิดาบุญธรรมไม่ฟังความเขาเลยสักนิด
ริมฝีปากสั่นเครือก่อนจะเอื้อนเอ่ยคำด้วยความเคารพที่มีอยู่ท่วมล้น
“ข้ามิอาจแก้ตัวด้วยคำใดอีกหากศิษย์พ-“
“ข้ามิใช่ศิษย์พี่ของเจ้า!!”
ได้เพียงแต่กล้ำกลืน “หากธิดาบุญธรรมเห็นควรว่าข้าควรโดนลงโทษสถานนี้ข้าก็ขอกล่าวลาท่าน และขอให้ท่านอภัยข้าอีกครั้ง”
“ขอท่านจงรักษาตัวด้วย”
ศีรษะก้มลงเคารพเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินตามนักพรตออกไปด้วยใจที่เจ็บปวด
อา
ดูท่าเขาจะสลบไปด้วยความเหนื่อยล้า
เสียงลำธารที่ไหลทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจนเผลอหลับใต้ต้นไม้ไป เมื่อลองสังเกตท้องฟ้าก็พบว่าจวนจะมืดแล้ว อี้ป๋อกัดริมฝีปากด้วยความกังวล
เขาอยู่บนสวรรค์หาได้มีโอกาสลงมาโลกมนุษย์บ่อยไม่และหาได้มีครั้งไหนที่ต้องมาอาศัยอยู่กลางดงป่าไพรเช่นนี้ การก่อไฟเองจึงเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถ แต่ค่ำคืนนี้ต้องหนาวเย็นเป็นแน่เขาตัดสินใจเดินตามลำธารไปเรื่อยๆอีกครั้ง หวังเพียงจะมีชาวบ้านมาปักหลักอยู่ข้างริมธาร
ดั่งโชคเข้าข้าง
หลังจากเดินมาจนสองขาเหนื่อยล้าเต็มทนก็พบเข้ากับกระโจมของคณะล่าสัตว์สองเท้าเดินเข้าไปหาทหารที่ประจำเฝ้ายามด้วยท่าทีสุขุม
“ข้าขอรบกวนพวกท่านสักนิดได้หรือไม่”
ทหารทั้งสองหันมองหน้ากันด้วยท่าทีครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้าแล้วเข้าคุมตัวเขาด้วยความรวดเร็ว
“ฟังข้าก่อน”
เขาพยายามเอ่ยห้ามแต่กลับไม่มีผู้ใดฟัง
เขาโดนลากมาก่อนจะโดนผลักให้ทรุดเข่าลงและกดหัวเอาไว้
“พวกเจ้าพาใครมากัน”
“พวกข้าสองคนเห็นท่านผู้นี้เดินลับๆล่อๆจึงคุมตัวเข้ามาให้ท่านอ๋องพิจารณา”
“ข้ามิได้ทำตัว-“
“เงียบซะ!”
“เลิกไร้มารยาทต่อท่านผู้นี้เสียที”
“เนื้อตัวถึงจะมอมไปบ้าง แต่ก็ยังดูสะอาดสะอ้าน เสื้อผ้าดูมีราคาและสง่าเยี่ยงนี้ ดูไม่เหมาะมาเดินในพงป่าอันตรายคนเดียว”
ภายใต้ใบหน้าที่ยังถูกกดให้ก้มอยู่ปรากฎรองเท้าหนึ่งคู่มาหยุดต่อหน้า ก่อนที่ร่างของท่านอ๋องจะทรุดตัวลงเสมอเขาใบหน้างามของอี้ป๋อถูกเชยขึ้นให้สบตากับท่านอ๋อง พลันตาสบกัน แม้เพียงชั่ววิแต่เขามั่นใจว่าสายตาของท่านอ๋องเบิกขึ้นเล็กน้อย
“ข้า ข้าโดนลงโทษ”
“ข้ามิได้มีเจตนาร้ายใดๆเพียงแค่หวังขออาหารสักมื้อแล้วจะขอตัวทันที”
“ลงโทษ?”
“ร้ายแรงขนาดใดหรือ”
ดวงตาของเขาสั่นไหวยามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าตรู่
“ข้าโดนไล่ให้มาอยู่ที่นี่”
“โดนไล่ออกจากตระกูลอย่างนั้นสินะ”
แม้จะมีรอยยิ้มอ่อนโยนมอบให้แต่คำพูดกลับบาดใจเขาในเมื่อเป็นความจริง เขาก็ทำได้แต่พยักหน้ายอมรับ
“คืนนี้ท่านพักกับเราก่อนเดินทางในป่าตอนกลางคืนนั้นอันตราย”
ท่านอ๋องประคองตัวเขาก่อนดึงข้อมือให้เขาเดินตาม แม้จะพยายามเอ่ยปฏิเสธแต่ดูท่าท่านอ๋องผู้นี้จะไม่ฟังคำใดๆเลยสักนิด
“หากท่านให้ข้าพักในกระโจมนี้แล้วเจ้าของกระโจมนี้เล่าจะพักที่ใด”
“ท่านไม่ต้องห่วงสิ่งใดนี่กระโจมของข้าเอง”
“และ”
“ข้าก็จะพักกระโจมนี้เช่นกัน”
สายตากวาดรอบกระโจมด้วยความฉงนเขาตั้งคำถามอีกครั้ง
“งั้นข้านอนที่พื้นแล้-“
ยังไม่ทันที่จะเอ่ยเสร็จเสียงหัวเราะของท่านอ๋องก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“เตียงนั่นใหญ่พอที่ทั้งข้าและท่านจะนอนด้วยกันแน่นอนว่าหากท่านไม่รังเกียจ”
“ข้ามิบังอาจท่านเสียมากกว—“
อีกครั้งที่เขาถูกขัดจังหวะหาทางเอาตัวรอด
“ข้าไม่รังเกียจ”
สอบมือของท่านอ๋องปลดอาภรณ์ที่คลุมอยู่ออกก่อนจะเหลือเพียงอาภรณ์สีดำ
เขากัดปากด้วยความลังเลก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงบนเบาะรองนั่นที่ตั้งอยู่พร้อมกับโต๊ะตรงกลางของกระโจม
“ข้าไม่อยากรบกวนท่านขอพักผ่อนตรงนี้ เชิญท่านตามสบาย”
“อาตามแต่ใจท่านปราถนาเถิด”
แม้จะไม่ได้หันไปมองหน้า แต่เขาก็พอเดาได้จากน้ำเสียงปนขำนั่นว่าท่านอ๋องผู้นี้กำลังแกล้งให้เขาขุ่นใจ
“ท่านตื่นแล้วหรือ”
“ข้าได้ยินจากทหารว่าเมื่อคืนมีคุณชายหลงทางในป่า”
อี้ป๋อพยักหน้ารับด้วยใบหน้าเรียบเฉยอย่างปกติ แต่ในใจกลับอดสงสัยไม่ได้ว่าคุณชายผู้นี้คือใคร ดูท่าทางเยาว์วัยและดูมีชาติตระกูล
“ทหารเล่าว่าท่านเนื้อตัวมอมแมม ข้าว่าทหารของข้าดูท่าทางจะเลอะเลือนแล้วนี่”
“ทหารของท่านไม่ได้เลอะเลือนข้าเดินในป่าทั้งวันเนื้อตัวย่อมมอมเป็นธรรมดา”
“ใครว่าใบหน้าของท่านไร้ซึ่งดินเปื้อนสักเม็ด”
หืม
เขายกมือขึ้นลูบแก้มของตนเองที่เคยรู้สึกได้ว่าเปื้อนดินโคลนบัดนี้กลับรู้สึกสบายหน้า
“ข้าขอถามท่านสักคำถามได้หรือไม่”
“จะกี่คำถามท่านก็ถามมาเถอะถ้าข้าตอบได้ก็จะตอบ”
“เสื้อคลุมนี่ของใครกันข้าตื่นมาพร้อมกับเสื้อคลุมนี้คลุมกายอยู่”
แม้เมื่อคืนจะพยายามฝืนตัวไม่ให้เผลอหลับ แต่เพราะอาการไข้ที่ยังไม่หายดีทบกับความเหนื่อยล้าจากการเดินสุดท้ายจึงเผลอเอนตัวลงหลับกับโต๊ะไป ตื่นมาก็พบกับเสื้อคลุมสีดำคลุมไหล่ไว้บรรเทาความหนาว ทั้งยังที่คุณชายผู้นี้ทักว่าใบหน้าของเขาไร้คราบเปื้อนอีก
“อา น่าจะของพี่จ้าน”
“พี่จ้าน?”
“ข้าขออภัยแต่ข้าไม่ทรา—“
“ข้ารู้สึกน้อยใจนักอุตส่าห์ให้ที่พักพิง แต่ท่านกลับไม่รู้จักชื่อข้า”
เขาหันไปมองตามเสียงใบหน้าเปื้อนยิ้มทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งพูดเล่นหาได้ใส่ใจ
“ข้าต้องขอโทษท่านอ๋องด้วย”
“ไหนๆข้าก็พบท่านแล้วข้าขอตัวลาก่อน”
“ท่านจะรีบไปไหนเมื่อคืนท่านยังไม่ได้ทานอาหารตามที่หวังเลย ท่านรอสักพักก่อนเถอะ”
แม้จะอยากขัดความตั้งใจแต่ก็พอรู้ขีดจำกัดตนว่าหากไม่ได้รับสารอาหารคงได้ล้มป้วยจริงๆแน่
“ขอบคุณท่านอ๋อง”
“เจ้าสองคนนำทางคุณชายท่านนี้ไป”
“พี่ถูกใจคุณชายผู้นั้น”
“อืม”
“แม้จะตะขิดตะขวงใจที่คุณชายคนนี้โดนไล่ออกจากตระกูลแต่กลับดูท่าไม่มีพิษภัยอันใด”
“แต่ข้าถูกใจคุณชายคนนี้”
“ตามแต่ใจท่านพี่เถอะ”
“ข้าเองก็ไม่คิดว่าคุณชายคนนี้จะมีพิษภัยอันใดเพียงแต่.. ผ้าคาดหน้าผากนั่น”
“อืม”
หลังจากเวลาผ่านไปอาหารที่ถูกนำมาให้ก็ถูกเขาทานจนหมด แม้จะหิวแค่ไหนแต่ท่าทางของเขาก็ยังคงไว้ซึ่งความสง่าดั่งที่เคยสอนมา เขานั่งพักเพียงไม่นานท่านอ๋องก็เดินมาหาพร้อมกับเชิญให้เขาเดินไปสถานที่หนึ่งพร้อมกันแม้จะกลัวและระแวงใจ แต่เขาก็ยอมเดินตามไปตามคำเชิญ
“ม้า...”
“ท่านอ๋องคงไม่ได้จะยกม้าให้ข้า”
“เปล่า”
“เพียงแต่..”
ท่านอ๋องเหยียบขึ้นไปนั่งบนอานม้าก่อนจะส่งสัญญาณให้ทหารที่เดินตามมาจัดการอุ้มคุณชายขึ้นหลังม้า ก่อนที่สองข้างเขาจะจัดการกักตัวคุณชายไว้ในอ้อมกอดเพียงแต่ทำเป็นจับเชือกม้าแทนการประคองเอว
“ท่านทำอะไร”
ดวงตารีหันมองเขาด้วยอารมณ์กรุ่น
“ข้าต้องขออภัยท่านด้วย”
เขากระตุกเชือกส่งสัญญาณให้ม้าค่อยๆเคลื่อน
“แต่ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ท่านคงปฏิเสธหัวชนฝาไม่กลับไปกับข้า”
“ระหว่างทางนี้หากท่านหาเหตุผลให้ข้าปล่อยท่านไปได้ ข้าก็จะปล่อย แต่ถ้าหากไม่..”
ท่านอ๋องเพียงยิ้มให้แทนการจบประโยค
“ท่าน! ปล่อยเราลงเดี๋ยวนี้”
“เราจะลง!”
อยากจะตบปากตัวเองที่เผลอหลุดสรรพนามที่มักจะใช้ยามศิษย์พี่หญิงแกล้ง
‘เจ้าพูดว่าเราอย่างนู่นเราอย่างนี้เช่นนี้ไง พี่ถึงได้ชอบแกล้งเจ้า’
ดูท่าทางท่านอ๋องก็ถูกใจกับการแกล้งเขาไม่ต่างจากศิษย์พี่หญิง
“เจ้าจะลงงั้นหรือ”
“แต่พี่ไม่อยากให้เจ้าลงเลย”
“เรา เรา!”
“ท่านมิได้สนิทชิดเชื่อกับเราและเราก็ไม่ได้สนิทชิดเชื่อกับท่าน เหตุใดจึงคิดพาเรากลับไปกับท่าน”
“ท่านพี่”
เขามองหน้าของท่านอ๋องด้วยความฉงน ท่านอ๋องดูจะสามารถรับรู้ถึงความสงสัยที่มีถึงได้ละสายตาจากทางข้างหน้าก้มลงมองเขาที่อยู่ในอ้อมแขน
“เจ้าเรียกพี่ว่าท่านพี่สิ”
“พี่อาจจะใจอ่อนหากเจ้าอ้อนพี่”
เขาอ้าปากอย่างเสียอาการขยับพะงาบหวังหาคำมาบรรยาย
“ข้าไม่อ้อนใครทั้งนั้น”
“เจ้าดูนั่น”
เขาหันไปมองดังที่ท่านอ๋องบอกก่อนจะสบกับตากลมโตของเจ้ากวางตัวใหญ่ เขาเผยรอยยิ้มออกมาด้วยความไม่รู้ตัวก่อนจะชะงักไปเมื่อโดนทัก
“รอยยิ้มเจ้าช่างงาม”
“ยิ้มบ่อยๆเถอะ”
ท่านเซียนบนสวรรค์กลั่นแกล้งเขาหรืออย่างไรกัน
บรรยากาศของรอบข้างยังเต็มไปด้วยป่าไพรเพียงแต่เริ่มสามารถเห็นบ้านของนายพรานได้ประปราย แสดงสัญญาณว่าเริ่มไกลจากกลางป่าออกมาเรื่อยๆ เขานั่งเงียบมาตั้งแต่เจอกับกวางตัวนั้นพยายามหาข้อแก้ตัวหนีสถานการณ์นี้แต่จะให้พูดปดก็ไม่อาจ ด้วยตัวเขาไม่เคยโกหกใคร
“ข้าโดนไล่ลงมาโลกมนุษย์”
“อืม”
เสียงตอบรับในลำคอดูท่าไม่ได้ตกใจอันใด
“ท่านรู้”
“แน่นอนคุณชายรูปงามสวมอาภรณ์สีขาวสง่า และผ้าคาดหน้าผากประดับด้วยหยกแกะสลักนั่น”
ลดใบหน้ามองเข้าในตาของเขา
“เจ้าต้องมาจากสวรรค์แน่นอน”
“แล้วเหตุใดท่านถึงไม่ถามถึงสาเหตุ”
“ในเมื่อเจ้าอยากให้ถามพี่ก็จะถาม”
“เหตุใดบุรุษรูปงามจากสวรรค์เยี่ยงเจ้าจึงถูกไล่ลงมาอยู่บนดินเล่า”
“ข้าทำเรื่องผิดมหันต์”
“เรื่องที่ไม่ดีมากๆ”
“ทีนี้ ท่านก็ทราบแล้วท่านจะปล่อยเราได้หรือยัง”
“หึ”
“ไหนกันที่ทำให้พี่ทราบเจ้ายังไม่ได้เอ่ยอะไรเลย”
เขากัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิดหากบอกไปว่าเขาโดนไล่ลงมาด้วยว่าดูแลกระต่ายสวรรค์ของธิดาบุญธรรมไม่ดีก็คงไม่อาจทำให้เขาหลุดพ้นไปได้อยู่ดี
ทำไมท่านอ๋องผู้นี้ถึงได้หน้าด้านอย่างนี้นะ
“ข้า ข้า..”
“เจ้าโกหกไม่เป็นสินะ”
“ข้า!”
ได้แค่จิ๊ปากอย่างเสียอารมณ์
“อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะถึงแล้วรีบคิดเสียเถอะ”
เสียงเจื้อยแจ้วดังแว่วมาหากให้เขาลองคาดการณ์ แถวนี้คงใกล้กับตลาดของเมือง
ถึงแม้จะคิดมาตลอดทางแต่ก็ไม่สามารถหาเหตุมาทำให้เขาหลุดพ้นไปได้ไม่ว่าจะหยิบยกเหตุใดมาท่านอ๋องก็ดูจะไม่สะเทือน ทั้งยังยิ้มเยาะกลับมาอีก
“ภรรยาท่านไม่ว่าหรือ ประพฤติเช่นนี้”
“เช่นไรหรือ”
มือหนึ่งเลื่อนมาโอบเอวเขาส่วนอีกมือยังคงคุมม้าอย่างคล่องแคล่ว
“ท่าน!”
“พี่เองๆ”
“เฮ้อแล้วคุณชายอีกคนเล่า ทหารของท่านอีก”
“เดี๋ยวจั๋วเฉิงก็ตามมา”
“เจ้าถูกชะตากับเขาหรือ”
เขาไม่ได้ตอบอะไรและที่ถามก็เป็นเพราะอยากเปลี่ยนเรื่องก็เพียงเท่านั้นดูท่าท่านอ๋องจะแพรวพราวไม่เบาเขาพยายามจะลองถามถึงเรื่องส่วนตัวอย่างแนบเนียนยามเอ่ยพูดด้วย แต่ก็โดนเบี่ยงตลอด
แล้วใครคือจั๋วเฉิงกัน
คงจะเป็นคุณชายท่านนั้นกระมัง
“ว่าอย่างไร”
“เจ้าถูกชะตากับเขาหรือ”
“มากกว่าท่าน”
ท่านอ๋องหัวเราะลั่นออกมาเสียจนเขาหันไปมองค้อนใส่ แม้อีกคนจะไม่ได้มองหน้าเขาอยู่แต่หวังว่าอารมณ์คุกรุ่นนี้จะส่งไปถึง
“ถึงเมืองข้าแล้ว”
ท่านอ๋องคุมม้าผ่านตลาดของเมืองไป ไม่วายโดนสายตาสงสัยคอยสอดส่องมองมาอี้ป๋อทำได้เพียงก้มหน้าเล็กน้อยด้วยไม่อยากสบตากับใครเข้า
เพียงไม่กี่อึดใจท่านอ๋องก็มาหยุดลงที่หน้าจวนหนึ่ง ก่อนจะลงจากม้าแล้วยื่นมือมารับเขาที่พยายามลงจากม้าด้วยท่าทีที่ไม่เชี่ยวชาญนัก
“อาจ้าน”
“เจ้าพาใครมาด้วย”
เขาหันไปมองตามเสียงหวานของหญิงสาวเธอมีรูปร่างหน้าตาที่สละสลวย กิริยาดูงาม ยิ้มนั้นหวานไม่ต่างจากเสียงของเธอ
“ข้าว่าเราเข้าไปข้างในก่อนดีกว่า”
เขาจำใจเดินตามทั้งสองคนไปแม้ว่าใจจะอยากเดินหนีไปก็ตาม แต่ดูท่าแม้เขาจะลองวิ่งหนีดู คนในเมืองก็คงจับเขากลับมาให้ท่านอ๋องเป็นแน่
เขาเดินตามไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดหน้าเรือนหนึ่งด้วยความไม่กล้าเข้าไปก่อนได้รับอนุญาต
“เหตุใดท่านไม่เข้ามาเล่า”
แม่หญิงหันมาถาม
“ข้าไม่อยากบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของพวกท่าน”
“ขอรอข้างนอกนี้”
แม่หญิงหันไปมองท่านอ๋องที่กำลังยิ้มให้เขาอยู่ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ข้าคิดไว้แล้วว่าคนอย่างเจ้าต้องพาคนที่พิเศษมากๆมา”
“เชิญท่านมาดื่มน้ำชากับเราเถอะ”
“ข้าไม่อาจรบกวน”
“หรือท่านอยากจะชำระร่างกายก่อน”
“เจ้าสองคนนำทางคุณชายไปที่เรือนเล็ก จัดเสื้อผ้าให้คุณชาย”
“ท่านไม่—“
“พี่ว่าเจ้าอย่าขัดนางเลยอีกอย่าง เราเดินทางมาค่อนวันเจ้าเองก็คงอยากจะชำระร่างกาย”
ในเมื่อไม่อาจหาคำมาต่อรองได้ เขาจึงได้แต่เดินตามสาวรับใช้ไปเรือนเล็กอย่างที่แม่หญิงสั่ง
แม้จะชื่อเรือนเล็กแต่ก็ไม่ได้เล็กดังชื่อเสียเท่าไหร่ ภายในสะอาดสะอ้านตกแต่งด้วยของประดับเรือนสีขาวสะอาดร่วมกับสีฟ้าอ่อนทำให้ย้อนนึกถึงห้องของเขาที่เรือนรับใช้บนสวรรค์
“เชิญคุณชาย”
สาวรับใช้ยื่นชุดสีฟ้าอ่อนมาให้เขาพร้อมกับผายมือไปที่อ่างน้ำ
“ขอบคุณท่านทั้งสองมาก”
สาวรับใช้ก้มโค้งก่อนจะเดินออกจากเรือนไปรอที่หน้าประตูแทน
เขาถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเปลื้องชุดของตนออก รัดเกล้าอันน้อยที่ประดับบนหัวถูกถอดวางอย่างบรรจงก่อนจะหย่อนร่างลงในอ่าง น้ำอุ่นและกลิ่นเทียนหอมชวนให้ร่างกายผ่อนคลายเหลือเกิน
แต่ถึงกระนั้นเขาก็หาได้เพลิดเพลินกับมันด้วยความกังวลที่ผุดมา หากท่านอ๋องผู้นี้มิใช่คนดีเล่า เขาจะทำเยี่ยงไรจะส่งสัญญาณหาสวรรค์ให้ใครช่วยก็คงไม่มีทาง แม้จะฝึกปรนวิชาบ้างแต่ก็มิได้เก่งกล้าขนาดไปต่อสู้กับใครได้
เมื่อเสร็จสิ้นเขาตัดสวมชุดสีฟ้าเข้าทับร่างอีกครั้ง ตรวจดูโดยรอบว่าเรียบร้อยดีแล้วจึงหยิบเอาชุดที่ถูกวางพับไว้เดินไปที่ประตูก่อนจะเปิดออกเพื่อให้สาวรับใช้รู้ว่าเขาเสร็จกิจแล้ว
“แม่หญิงเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหารเย็น”
สาวรับใช้บอกเขาพร้อมกับเดินเข้ามารับเสื้อผ้าของเขาไปโค้งให้อีกครั้ง ก่อนจะหายไปพร้อมกับทิ้งหน้าที่นำทางให้สาวใช้อีกคน
“คุณชายมาแล้วหรือ”
“เชิญท่านนั่งก่อน”
“ขอบคุณแม่หญิง”
“เจ้าขอบคุณนาง แต่ไม่แม้จะเอ่ยขอบคุณพี่สักคำ”
“มันน่าน้อยใจนัก”
เขาหันไปมองค้อน
“เหตุใดเราจำเป็นต้องขอบคุณท่านที่ลักพาตัวเรามา”
“ลักพาตัว?”
“เอาล่ะๆ อาจ้าน คุณชาย”
“ทานอาหารก่อนเถอะ เรื่องประลองฝีปากไว้คอยภายหลัง”
เขาก้มหัวเป็นการขออภัยเล็กน้อยก่อนจะลงมือทานอาหารบนโต๊ะ ด้วยรสที่จัดจ้านไปสักหน่อยเขาจึงไม่เจริญอาหารเท่าไหร่นักดีเสียหน่อยตรงที่ยังมีซุปให้ได้ทานบ้างจึงยังทำให้อิ่มอยู่
“เจ้าไม่โปรดอาหารรสเผ็ด”
“ข้าเปล่า”
เขารีบปฏิเสธทันควัน
“หรือท่านทำอาหารไม่ถูกปาก”
ท่านอ๋องหันไปคุยกับแม่หญิงด้วยยิ้มเจ้าเล่ห์
“อาหารพวกนี้อร่อยเพียงแต่ข้าไม่สามารถทนความเผ็—“
เขารีบหุบปากทันทีที่รู้ว่าเผลอเผยความจริงออกมา
“เจ้าโกหกไม่เป็นจริงๆเสียด้วย”
“ขออภัยแม่หญิงที่ข้าเสียมารยาท”
เขาเตรียมลุกเพื่อโค้งขออภัยเพียงแต่มือทั้งสองข้างของแม่หญิงยั้งแขนไว้เสียก่อน
“ข้าไม่ได้ถือสาอันใดคุณชายโปรดวางใจ”
“หากท่านไม่โปรดอาหารรสจัด วันหลังข้าจะทำอาหารอย่างอื่นไว้ให้ท่าน”
“แม่หญิงไม่จำเป็นต้องลำบากอีกอย่าง ข้าไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่—“
“อาจ้าน!!”
เขาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อจู่ๆแม่หญิงก็หันไปตีแขนท่านอ๋องเสียเต็มแรง ท่านอ๋องเมื่อถูกตีก็ได้แต่ทำหน้ามุ่ยเป็นเด็กแล้วลูบแขนปอยๆ
“ท่านพี่หญิง เหตุใดท่านต้องดุข้า”
“เจ้านี่มันจริงๆเลย”
“เจ้าพาคุณชายมาแบบนี้ ทั้งยังไม่อธิบายอันใดอีก”
“คุณชาย หากท่านไม่อยู่ที่นี่แล้วท่านจะไปอยู่ที่ใด”
เขาหลุบตาต่ำ
“คงจะร่อนเร่ไปเสียก่อน”
“ดังนั้นท่านยังไม่มีที่ไปหากไม่รังเกียจก็อยู่ที่นี่เถอะ ทั้งข้าและอาจ้านอยู่กันสองพี่น้องบ้านหลังนี้กว้างขวางนัก ท่านสามารถอยู่ที่นี่ได้สบายๆ”
“ข้าไม่อยากรบกวนพวกท่านจริงๆ”
“แม้จะร่อนเร่แต่ตัวข้าก็ไม่หวาดหวั่นหรอกแม่หญิง”
“พี่ไม่ได้พาเจ้ามาเพื่อให้เจ้าคิดว่าเป็นภาระ”
ท่านอ๋องส่ายหน้าไปมาพร้อมทำหน้าเหนื่อยใจ
“เอาล่ะ ท่านพี่หญิงข้าต้องไปตรวจดูงานที่คั่งค้าง เชิญท่านพี่หญิงกับ..”
ยิ้มอ่อนโยน
“ข้ายังไม่ได้ถามชื่อแซ่เจ้าเลย”
“ข้า..”
“หวัง อี้ป๋อ”
“หวัง อี้ป๋อ”
“พี่ขออภัยเช่นกัน พี่เซียวจ้าน”
“ข้าขอตัวก่อนเชิญพี่หญิงและน้องอี้ตามสบาย”
ว่าไว้เพียงนั้นก่อนเดินหายไปทิ้งไว้เพียงแม่หญิงและหวัง อี้ป๋อที่ใจสั่นไหวดังไม่เคยเป็นมาก่อน
หลังจากแม่หญิง
เขาเดินตามสาวรับใช้กลับมาที่เรือนเล็กอีกครั้งครั้นลับสายตาก็ทรุดลงกับเก้าอี้กลางเรือนด้วยใจเหนื่อยอ่อน สองวันมานี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นชวนให้งุนงงนัก จากโดนใส่ร้ายให้ลงมาโลกมนุษย์จนมาตอนนี้ได้เจอท่านอ๋อง รู้หน้าหาได้รู้ใจ เขาได้แต่หวังว่าท่านทั้งสองจะเป็นคนดี และมีใจเมตตาอย่างตาเห็น
หลายวันผ่านไปจนกลายเป็นเดือนทั้งท่านอ๋องและแม่หญิงต่างเป็นดั่งครอบครัวใหม่ของเขาคุณชายจั๋วเฉิงที่อยู่จวนไม่ห่างไกลนักก็มักจะแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเขานำของฝากเล็กน้อยมาติดมือจนเขาที่ตอนอยู่สวรรค์มีเพื่อนเพียงหยิบมือรู้สึกอุ่นใจ
“พี่หญิง”
เขายิ้มให้พี่หญิงที่กำลังนั่งปักผ้าอยู่ศาลากลางสระบัวพลันเห็นยิ้มสดใสที่ส่งมาพี่หญิงก็รีบยิ้มรับและกวักมือเรียกทันที
“ท่านปักผ้านี้ไปให้ใครกัน”
“ผ้าขาวสะอาด ด้ายฟ้าสวยงามลวดลายดูทั้งสดใสและสุขุม”
พี่หญิงยิ้มขำให้เขาเสียจนอี้ป๋อทำหน้ายู่ใส่
“เจ้าคิดว่าเยี่ยงไรเล่าผ้าขาวสะอาด ด้ายฟ้าสวยงาม ลวดลายสดใสและสุขุม”
“คล้ายผู้ใดกัน”
“ข้าไม่อาจทราบได้ ข้ามิได้รู้จักสหายของพี่หญิง”
“เจ้า”
“เจ้าที่บริสุทธิ์ดังผ้าขาว สวยงามดังด้ายฟ้า สดใสและสุขุมดังลวดลายนี้”
แก้มนวลขึ้นสีแดงปรั่งเมื่อได้ยินคำชม
“ข้าเปล่าเป็นดังท่านว่าเสียหน่อย”
“ใครว่ากัน”
เขาหันไปข้างหลังก่อนจะพบจั้วเฉิงที่เดินกอดคอหยอกล้อมากับท่านอ๋อง
“พี่หญิง ไหนขอข้าดูผ้าที่ท่านปัก”
“โห อี้ป๋อนี่ช่างเหมาะกับเจ้านัก”
“อืม งดงามสมน้องอี้”
“ข้าเป็นบุรุษไม่เหมาะกับคำว่างดงาม”
“งั้นหรือแล้วน้องอี้เห็นว่าคำใดเหมาะ”
จั๋วเฉิงส่ายหัวไปมาอย่างเบื่อหน่าย
“เอาอีกแล้วพี่จ้าน”
“ดูแก้มของอี้ป๋อสิเห่อแดงไปหมดแล้ว”
“ข้าเปล่า!”
“พี่หญิง ข้าขอตัว”
แว่วเสียงดุเตือนของพี่หญิงให้ได้ยินได้หลัง
สองเท้าของอี้ป๋อเดินผ่านเรือนต่างๆจนมาถึงส่วนบริเวณเก็บสัตว์เลี้ยงต่างๆของจวน เอ่ยทักทายเหล้าข้าใช้ดังเช่นทุกวัน ก่อนจะแปลกใจเมื่อเนินกอไผ่ที่ปกติไร้ซึ่งสิ่งใดกลับมีกลุ่มขนขาวปุยกระโดดเล่นไปมาอยู่นับสิบตัว
กระต่ายน้อย
แม้จะชวนให้นึกถึงความทรงจำอันขมขื่น แต่ด้วยความรักต่อเจ้ากระต่ายน้อยที่มีอยู่จึงหักห้ามใจไม่ให้ไปทิ้งตัวลงกลางหมู่ขนปุยแล้วอุ้มขึ้นมาเล่นดูไม่ได้
กระต่ายน้อยสีขาวดวงตากลมสีแดงนั่นช่างน่าเอ็นดูไปหมด เขาอุ้มขึ้นในอ้อมแขนจับชายผ้าเพื่อประคองเจ้ากระต่ายน้อยอย่างมั่นคง แม้นขนปุกปุยนี่จะไม่นุ่มและทอแสงดังกระต่ายสวรรค์แต่พวกมันก็ช่างน่ารักน่าเอ็นดูในแบบของพวกมัน
เหมือนเขาจะเล่นกับพวกมันเพลินไปเสียจนอาเฟยที่ถูกรับหน้าที่ให้รับใช้เขาเรียกหา
“คุณชายหวังท่านอยู่นี่เอง”
“ข้าตามหาท่านไปเสียท่ัวจวน”
เขายิ้มบางๆให้
“ข้าขอโทษ”
“เอ๊ะ กระต่ายพวกนี้”
“คุณชายดูจะชอบพวกมันมาก”
อาเฟยยิ้มให้เขาก่อนยื่นมือมาลูบหูกระต่ายในอ้อมแขนของเขา
“อืม”
“เจ้าว่า..หากข้านำกลับไปที่เรือน ท่านอ๋องจะว่าหรือไม่”
อาเฟยปิดปากขำเขาราวกลับคำถามนั่นเป็นมุกตลก
“ท่านอ๋องหรือจะว่าท่าน”
“อาเฟย..”
เขาก้มหน้าซบลงกับเจ้ากระต่ายหวังปิดแก้มปรั่งที่ขึ้นสี
“หากท่านประสงค์จะเอามันไปเล่นที่เรือนก็เอาไปเถอะ แต่ตอนนี้ใกล้มืดแล้ว เราควรกลับที่เรือนได้แล้วนะคุณชาย”
เขาพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นจากโขดหินอันน้อย
“ข้าคงทำชุดเปื้อนอีกแล้วยายของเจ้าต้องบ่นอีกแน่”
อาเฟยยิ้มออกมาเมื่อเอ่ยถึงยายของตนที่ทำหน้าที่ซักล้างภายในจวน ก่อนจะส่ายหน้าไปมาเบาๆ เป็นการปฏิเสธ
หลังรับประทานอาหารเย็นกับพี่หญิงเสร็จอี้ป๋อก็กลับมาเรือน หวังว่าจะได้พักผ่อนเพียงแต่ว่าคืนนี้ดูท่าแล้วความนึกคิดในหัวจะทำให้เขานอนไม่หลับเสียเท่าไหร่จึงลุกขึ้นมาเล่นกับเจ้ากระต่ายน้อยแทน
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงอาเฟยที่เรียกขออนุญาต
“คุณชาย เฟยขออนุญาต”
อาเฟยเปิดประตูเข้ามา
“ท่านอ๋องเรียกท่านไปพบ”
ท่านอ๋อง
ในยามวิกาลเช่นนี้ท่านอ๋องเรียกเขาไปพบด้วยเหตุอันใดกัน
ประตูเรือนของท่านอ๋องเปิดออกเผยให้เห็นร่างของชายชาตรีที่กำลังก้มหน้าดูเอกสารต่างๆบนโต๊ะอย่างตั้งใจ
“เจ้ามาแล้วหรือ”
“มานี่มา”
มือข้างที่ไร้พู่กันกวักเชิญให้เขาเข้าไปใกล้ ก่อนจะตบลงที่เบาะข้างๆโต๊ะทำงานเขาเดินเข้าไปนั่งด้วยความฉงน
“ท่านเรียกข้ามาด้วยเหตุใด”
“หวังว่าข้าจะไม่ได้รบกวนเจ้า”
เขาส่ายหน้าก่อนจะปรายตามองกองกระดาษบนโต๊ะ
“แลดูช่วงนี้ท่านมีงานล้นมือเมื่อเย็นก็มิได้มาทานอาหารร่วมกัน”
“อืม”
“เจ้าถามข้าว่าเรียกเจ้ามาด้วยเหตุใด”
“หากพี่ตอบว่า พี่เหงา เจ้าจะยอมอยู่หรือไม่”
ตารีหันไปสบเข้ากับตาท่านอ๋องก่อนจะรีบหลบในพลัน
“ท่านมีอะไรให้ข้าช่วย”
ท่านอ๋องหัวเราะในลำคอเบาๆ
“เจ้าช่วยฝนหมึกให้พี่ที”
มือเรียวลงมือทำอย่างขะมักเขม้นพวกเขานั่งเงียบๆไร้ซึ่งบทสนทนามีเพียงเสียงกระดาษเสียดกันยามท่านอ๋องค้นหาเอกสารในกองเขาหันไปมองอีกฝั่งข้างท่านอ๋องก่อนจะพบกับกองกระดาษวางระเกะระกะ
“ให้ข้าจัดกระดาษให้ท่านดีไหม”
“อา”
“อืม ก็ดีนะ เจ้าช่วยแบ่งพวกที่เร่งด่วนออกมาวางให้พี่ด้วยก็ดี”
เขาลุกจากเบาะไปยังกองกระดาษยกขึ้นพิจารณาทีละแผ่นก่อนจะแบ่งออกมาดังที่ท่านอ๋องสั่ง พลันเมื่อเขาจัดเสร็จเสียงฝนกระทบพื้นก็ดังให้ได้ยิน
“แย่แล้ว”
“ดูท่าฝนจะไม่อยากให้เจ้ากลับเรือนเสียเท่าไหร่”
“อีกสักพักคงซาลง”
“พี่ไม่อยากให้เจ้าโดนละอองฝน”
“อีกอย่างงานวันนี้ก็เสร็จแล้ว”
“พี่จะดับเทียนนอนแล้ว”
“ข้าไม่อยากรบกวนท่าน”
อี้ป๋อปฏิเสธจากใจจริงแม้ท่านอ๋องจะบอกเสมอว่าไม่มีอะไรต้องเกรงใจ แต่เขาก็ไม่วายคิดมากอยู่ดี
“น้องอี้”
“นอนกับพี่ที่นี่เถอะ”
เขาผ่อนหายใจมองไปยังหน้าต่างที่เห็นเงาฝนที่ยังโปรยปรายอยู่ไม่มีทีท่าจะเบาลงจึงทำได้แค่พยักหน้า
ท่านอ๋องจับมือเขาประคองลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเคียงกันไปที่เตียงนอนละมือออกจากเขาท่านอ๋องจัดการถอดเสื้อคลุมสีม่วงของตนเองออกก่อนจะเดินไปทิ้งตัวที่เตียง
ยามที่เขาหันหลังเพื่อปลดปมเชือกเสื้อคลุมตัวนอกออกสายตาท่านอ๋องก็ยังคงจับจ้องเขาอยู่เสียจนเขาที่แม้ไม่ได้มองก็รู้สึกได้ พลันหันมาก็สบเข้ากับตาสีดำมืดของท่านอ๋อง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนแก้มด้วยความเคอะเขิน
“มาเถอะ”
"ข้าคิดถึงร่างกายเจ้าที่นอนเคียงข้างพี่เหลือเกิน"
“อี้ป๋อครับ”
“อี้ป๋อ”
แม้ว่าจะเปิดม่านเพื่อรับแสงเข้ามาในห้องแต่ดูท่าแล้วมันจะไม่ส่งผลต่ออี้ป๋อที่นอนขดอยู่บนเตียงเสียเท่าไหร่นัก แต่เสียงทุ้มของใครอีกคนกำลังรบกวนกานอนของเขาเขาส่งเสียงในลำคอพร้อมพยักหน้าเหมือนตอบรับว่ารับรู้แล้วว่าถึงเวลาที่ตื่น แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะลืมตาตื่นจริงๆ
“ลุกขึ้นมาได้แล้ว”
“จ้านเกอ
เขาร้องแหวออกมาทันทีที่อีกคนจัดการอุ้มเขาจากกองผ้าห่มที่พันอยู่รอบตัว
“ปล่อย จะนอน”
“จะเที่ยงอยู่แล้วไปกินข้าวได้แล้ว”
ไม่ว่าเปล่าเซียวจ้านที่อุ้มเขาก่อนหน้าจัดการเอาตัวเขาพาดบ่าห้อยหัวต่องแต่งเดินออกจากห้องนอนไปที่ห้องครัวของคอนโดทันที
“ไม่อร่อยหรอ”
“อร่อย”
เขาตอบ
“เมื่อกี้นี้ฝันด้วย เหมือนจริงมากๆเลย”
“ฝัน?”
เขาพยักหน้ารับแต่ไม่ได้เอ่ยอธิบายเพิ่มเติมใดๆก็ไอ้ที่ฝันมันดูหวานเลี่ยนอย่างกับละครซีรีส์อย่างไงอย่างงั้น ขืนบอกไปจ้านเกอคงล้อแย่
“เมื่อคืนก็หลับคาโทรศัพท์อีกแล้วนี่”
จ้านเกอทำเสียงดุ
“ไม่ต้องบ่นเลยนะ”
เขาทำหน้ามู่ออกมาด้วยความเคยชินก่อนจะเลือกหาเรื่องอื่นมาคุยแทน
ทิ้งความฝันไว้ในนิทรา
talk เธองงป้ะ ว่าเอ๊ะ ทำไมจบแบบนี้ อ๋อ เราคิดไม่ออกอ่าา จริงๆก็มีอ่ะ แต่แบบเอ๊ะ อธิบายยังไงดีหว่า ถ้าส่วนไหนมีคำแปลกๆก็คือไม่ต้องสงสัยนะคะ ไม่เคยแต่งไรแบบนี้จริงๆ คำเรียกบางอันก็อาจจะไม่ถูก คือแบบ นะ มีความสามารถเท่านี้แล บายจ้า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in