เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เขียนอะไรดีChakkrapong Witchayasakul
เมื่อผมดู jojo ล่าข้ามศตวรรษ ภาค 3-4
  • ขอเกรินสักเล็กน้อยว่าผมไม่เคยดูอนิเมะตระกูล jojo ภาค 1-2 มาก่อน ที่ข้ามมาดูภาค 3 เลยเพราะถูกกระหน่ำจากรีวิวต่างๆ ว่ามันสนุกมาก!!! และที่สำคัญเป็นภาคที่มีพลังที่เรียกว่า "สแตนด์" ออกมาต่อสู้กันเป็นภาคแรกยิ่งทำให้มันน่าสนใจเข้าไปอีก ซึ่งจะว่าตามจริงแล้ว jojo ในแต่ละภาคแทบจะมีเรื่องราวของตัวเองเป็นเอกเทศอยู่แล้ว จะมีส่วนที่เชื่อมโยงกันจากตัวละครหรือเหตุการณ์บางอย่างที่ส่งผลต่อกันอยู่บ้าง แต่เอาเข้าจริงก็ยังสามารถข้ามมาดูภาคถัดๆ ไป โดยไปทำความเข้าใจภาคก่อนๆ มานิดหน่อยก็พอจะรู้เรื่องเเล้วละฮะ

    จริงๆ แล้วผมเปิดศักราช ที่ไม่ใช่ศักริน แฮร่ (เสียเวลานะ) ของการ์ตูนตระกูล jojo ตั้งแต่ยังเด็กเลยประมาณช่วงประถม จำได้ว่าช่วงนั้นติดการ์ตูนมังงะ งอมแงม ไปเช่ามาอ่านวันละไม่รู้ตั้งกี่เล่ม จนกระทั่งอ่านการ์ตูนที่กำลังดังตอนนั้นหมดทุกเรื่องถึงเล่มปัจจุบัน(ขณะนั้น)หมดแล้ว ไม่รู้ว่าจะอ่านอะไรดี พอไปเดินๆ ดูตามชั้นก็สะดุดตากับหนังสือการ์ตูนลายเส้นแปลกประหลาดเข้า มันจะเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นก็ไม่ใช่ สไตล์คอมิคตะวันตกก็ไม่เชิง แปลกตั้งแต่ดีไซน์ตัวละครยังฉากการต่อสู้ นั้นก็คือเรื่อง jojo ล่าข้ามศตวรรษ steel run ball (ภาค 7 ) (ซึ่งก็เคยเห็นผ่านๆ ในนิตยสาร BOOM มาก่อนแล้วแต่ก็ไม่สนใจสักเท่าไหร่) บวกกับตอนนั้นผมก็ไม่มีอะไรจะอ่านด้วย ก็เอาวะ สอยมาอ่านฆ่าเวลารอเรื่องอื่นซะหน่อย และด้วยความที่ยังเด็กไม่ได้ศึกษามาก่อนว่าจักรวาล jojo และสไตล์การวาด การเล่าเรื่องของ อ.โรฮิโกะ อารากิ เป็นยังไง ก็มึนสิครับ งงเป็นไก่ตาแตก แม้ว่าภาค 7 ที่ผมหยิบมาอ่านมันจะเป็นภาครีบูทเรื่องราวทั้งหมดของจักรวาล jojo ที่ไม่เชื่อมกับ 6 ภาคก่อนก็เถอะ แต่ด้วยความซับซ้อนของตัวเรื่องและสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของอาจารย์แก ทำให้เด็ก ป.6 ที่เพิ่งหยิบมาอ่านการ์ตูนเรื่องนี้ต้องบอกตรงๆ ว่า "เข้าไม่ถึง" เพราะมันห่างไกลกับการ์ตูนสายหลักของโชวเน็นในยุคนั้นมากๆ (ประมาณพวกนารูโตะ วันพีช ดราก้อนบอล) สุดท้ายก็ บาย ลาก่อน jojo 

    กระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ข่าวว่า jojo ภาค 4 กำลังจะมีหนังออกมาฉาย และบางรายการทางยูทูปที่ผมติดตามอยู่ก็มีพูดถึงเรื่อง jojo หรือแม้แต่พอตแคสที่ฟังประจำก็ยังมีหลุดพูดชื่อเรื่อง jojo ออกมาบ่อยๆ ก็เลยนึกถึงระคนสงสัยว่าจริงๆ แล้ว jojo มันสนุกหรือไม่สนุกกันแน่ สืบไปสืบมาก็พบว่า มันเพิ่งจะทำเป็นอนิเมะตั้งแต่ภาค 1 เมื่อปี 2012 จนตอนนี้จบภาค 4 ที่ 2016 เลยคิดว่าน่าสนุกดีถ้าจะลองมาดูอนิเมะสานต่อความเข้าใจในจักรวาล jojo อีกครั้ง และแล้วเริ่มเลือกดูภาค 3 ที่เขาว่ากันว่าสนุกมาก และต่อด้วยภาค 4 ไปเลย

    ภาค 3 มีชื่อภาคว่า JoJo's Bizarre Adventure Stardust Crusaders หรือไทยคือ ภาค นักรบประกายดาว ภาคนี้จะเป็นเรื่องราวของตัวเอกที่ชื่อ คูโจ โจทาโร่ (นร. ม.ปลาย) ซึ่งเป็นหลานของ โจเซฟ โจสตาร์ (พระเอกภาค 2) ที่ต้องรวมก๊วนกับเพื่อนๆ (บ้างก็เป็นศัตรูกันมาก่อน) เดินทางไปยังอียิปต์ เพื่อปราบตัวร้ายของภาคที่ชื่อว่า ดีโอ บรันโด(เป็นตัวร้ายของภาค 1 ด้วย) ที่ดันไปเอาร่างของโจนาธาร โจสตาร์(พระเอกภาค 1) มาใช้เนื่องจากตัวเองถูกตัดหัวแต่ยังไม่ตายเพราะเป็นผีดิบ(งงอะดิ แต่แรกผมก็งง) จึงทำให้ลูกหลานในตระกูลโจสตาร์ถูกปลุกพลังที่เรียกว่า สแตนด์ ออกมา แต่ทว่าโฮลี่ แม่ของโจทาโร่ และลูกสาวสุดที่รักของโจเชฟ กลับถูกสแตนด์ส่งผลในทางรา้ยทำให้ป่วยและสูบพลังชีวิตเธอไปเรื่อยๆ และอาจต้องตาย ทางเดียวที่จะหยุดเรื่องนี้คือตามล่าและฆ่าดีโอเสีย การดำเนินเรื่องในภาคนี้คือการเดินทางผจญภัยไปยังประเทศต่างๆ เพื่อไปให้ถึงอียิปต์ ระหว่างทางแก๊งของโจทาโร่ก็ถูกตามล่าจากเหล่าสมุนของดีโอที่ถูกส่งมา โดยแน่นอนว่าการต่อสู่ในภาคนี้จะมีการใช้แสตนด์เป็นหลัก 

    จุดเด่นที่ทำให้ jojo ไม่เหมือนการ์ตูนต่อสู้เรื่องอื่นๆ คือการเอาชนะกันด้วยไหวพริบและการใช้ความคิดมากกว่าการปล่อยพลังใส่กันตูมๆ และด้วยพลังสแตนด์ของแต่ละคนมีความสามารถที่แตกต่างกันมันจึงทำให้เรื่องนี้สนุก แสตนด์บางตัวอาจไม่มีความสามารถในการต่อสู้แต่ก็เอามาประยุกต์เพื่อโจมตีได้ ซึ่งในภาค 3 พลังของสแตนด์ยังไม่ซับซ้อนมากนัก และดูเหมือนจะเน้นไปที่การต่อสู้แบบใช้พลังและความเร็วเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะแสตนด์ของพระเอกที่ชื่อว่า สตาร์แพตตินัมมีพลังของความเร็วและความแม่นยำ ท่าประจำคือซัดกำปั้นรัวๆ พร้อมตะโกนว่า โอร่าๆๆๆๆๆๆ หรือแอดวานซ์หน่อยก็เป็น เดอะเวิร์ด ของดีโอ ที่สามารถหยุดเวลาได้ แต่พลังของแตนด์ทุกตัวย่อมมีข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป จุดนี้เองที่ทำให้เกิดการแก้ทางหรือเอาชนะกันโดยไม่ต้องซัดพลังใส่กันอย่างเดียวกลายเป็นความสนุกและเสนห์สำคัญของเรื่อง

    เมื่อผมดูจนจบภาค 3 ผมพบว่า มัน เหนื่อย มาก ! เพราะทุกๆ ตอนจะมีนักฆ่าที่ถูกส่งมากำจัดเหล่าพระเอกเป็นแบบนี้ไปตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่ามีการสอดแทรกมุขตลกบ้างและบางครั้งก็เหมือนจะมีช่วงได้พักแต่สักเดี๋ยวก็จะมีตัวร้ายออกมาป่วนอีกอยู่ดี จึงกลายเป็นว่าทุกตอนจะมีสถานการณ์ตึงเครียดโผล่เข้ามาใส่พวกพระเอกตลอด คนดูอย่างผมก็ต้องลุ้นตามกันเหนื่อยไปสิฮะ เข้าใจว่าการตำเนินเรื่องในภาคนี้ต้องแข่งกับเวลา เพราะหากเกินกำหนดเวลาที่ตั้งไว้โฮลี่อาจจะตายได้ ดังนั้นเราจึงไม่ได้เห็นภาพชิวๆ นอนเล่น ตกปลา อะไรเทือกนี้จากคณะผจญภัยของโจทาโร่เท่าไหร่นัก ยิ่งตอนใกล้จบนี่มากันแบบ non stop กว่าจะไปถึงตัวดีโอก็หอบแล้ว และด้วยภาคนี้เน้นการเดินเรื่องแบบบู๊ลุยแหลกเหมือนเล่นเกมแอคชั่น ที่ต้องสู้ไต่ไปเรื่อยๆ จนเจอบอส(ระหว่างทางมีมินิเกมพาสพัสเซิลบ้าง) ทำให้คาแรกเตอร์โจทาโร่ มันดูพระเอกเอามากๆ เก่งมาก เลือดร้อนมาก แต่นิ่งมีมาดมากเช่นกัน คนอะไรจะคูลตลอดเวลาได้ขนาดนี้ รวมไปถึงตัวละครหลักอื่นๆ ที่เห็นคาแรคเตอร์แล้วให้ความรู้สึกว่ามันแบนๆ ขาดมิติไปหน่อย แต่ด้วยที่พวกเขาต้องอยู่รวมกันแทบตลอดเวลาจึงเป็นเหมือนส่วนเติมเต็มของกันและกัน การเดินทางครั้งนี้เลยสนุกและมีเสน่ห์ในแบบของตัวมันเอง

    และเพื่อไม่ให้ขาดตอนผมจึงหาภาค 4 มาดูต่อทันที ภาคนี้มีชื่อว่า diamond is unbreakable หรือเพชรเเท้ไม่วันสลาย ผมละชอบชื่อภาคนี้จริงๆ มันบ่งบอกถึงธีมหลักของเรื่องและตัวละครได้เป็นอย่างดี โดยภาคนี้จะไม่เดินทางรอบโลกบุกป่าผ่าดงแบบภาคที่แล้วอีกต่อไป การดำเนินเรื่องจะมีอยู่เพียงในเมืองเล็กๆ ที่ชื่อ โมริโอ ส่วนพระเอกของภาคนี้มีชื่อว่า ฮิงาชิคาตะ โจสุเกะ มีสแตนด์ประจำตัวคือ เครซี่ ไดมอนด์ ที่คืนสภาพของได้ทุกอย่าง แม้แต่แผลสาหัดก็ยังรักษาได้ ซึ่งความสัมพันธ์กับตัวละครทในภาคที่แล้วคือเขาเป็นลูกนอกสมรสของ โจเซฟ โจสตาร์ หรือมีศักดิ์เป็นน้าของ โจทาโร่ พระเอกในภาคที่แล้วนั้นเอง แม้ว่าเขาจะอายุน้อยกว่าและเป็นแค่เด็ก ม.ปลาย ก็ตาม ไม่เพียงเท่านี้สองตัวละครที่ได้กล่าวไปก็ได้ปรากฏตัวในภาคนี้ด้วย แต่มาในรูปแบบที่ผมเองก็ไม่คาดคิดเท่าไหร่โดยเฉพาะโจเชฟ จากคุณปู่สุดเห้วในภาคที่แล้วกลายเป็นตาแก่เลอะเลือนในภาคนี้ไปซะอย่างงั้น แต่สิ่งนี้ทำให้ว่าอาจารย์ผู้เขียนเองก็ใส่ใจในรายละเอียดเรื่องความสมจริงอยู่พอสมควร เนื่องด้วยในภาคนี้โจเซฟเองก็อายุราว 70-80 แล้ว จะให้คล่องแคล่วแบบตอนหนุ่มๆ หรือตอนยังสุขภาพดีก็คงไม่ไหว 

    diamond is unbreakable นี่เองที่ทำให้ผมได้สัมผัสถึงพันฒนาการของ อ.อารากิ ทั้งในการเล่าเรื่องที่เปลี่ยนจากดาหน้าลุยมันเข้าไปเอาชนะมันไปเรื่อยๆ กลายเป็นการเดินเรื่องสืบสวน สร้างปมปริษนาให้เหล่าตัวเอกต้องค้นหา โดยที่มีความซับซ้อนในการเล่ามากยิ่งขึ้น รวมไปถึงฝีมือการวาดที่เริ่มออกลายสไตล์อาร์ตจัดจ้านมากขึ้นตามไปด้วย จนแฟนๆ jojo ขนานนามว่าเป็นอารากิสไตล์ที่ไม่เหมือนการ์ตูนเรื่องไหน ยิ่งทำเป็นอนิเมะแล้วยิ่งมีความอาร์ตที่แปลกประหลาดเพิ่มขึ้นด้วยการใช้สี ท้องฟ้าเป็นสีเหลือง พื้นเป็นสีม่วง ต้นไม้บางต้นกลายเป็นสีเทา ซึ่งปกติอนิเมะทั่วไปมักจะไม่ใช้สีแบบนี้ มันจึงทำให้ภาคนี้แตกต่างจากภาคที่แล้วพอสมควร อีกทั้งการสร้างตัวละครในภาคนี้ดูมีมิติมากขึ้นโดยเฉพาะตัวร้าย(บอส)ที่เป็นฆาตกรโรคจิตสุดฉลาดและเก่งกาจมากเสียด้วย มีสแตนด์ที่ชื่อว่าคิลเลอร์ ควีน ความสามารถคือระเบิดทุกอย่างได้อย่างไร้ร่องรอย ดังนั้นการสืบหาตัว คิระ โยชิคาเงะ คนนี้ จึงกลายเป็นเรื่องยากและท้าทายเหล่าตัวเอกเป็นอย่างมาก 

    สิ่งที่เห็นได้ชัดในภาคนี้คือการลดระดับความเทพของพระเอกลง เพื่อให้เป็นธรรมชาติและใกล้เคียงกับเด็ก ม.ปลาย มากที่สุด(แต่สำหรับผมก็รู้สึกว่ามันเทพอยู่ดี) หรือแม้แต่โจทโร่พระเอกในภาคที่แล้วก็ดูมีมิติที่นุ่มนวนขึ้นอาจจะโดยวุฒิภาวะที่เพิ่มขึ้น(ตอนนี้เขาเป็นนักวิจัยระบบนิเวศชายฝั่ง)และไม่ได้มีบทเด่นให้โชว์เทพมากนัก(เพราะมึงไม่ใช่พระเอกแล้วเฟ้ย-โจสุเกะ กล่าว) ผนวกกับสเกลเรื่องที่จำกัดอยู่ในเมืองเพียงเมืองเดียวทำให้การควบคุมเรื่องราวต่างๆ เป็นไปง่ายยิ่งขึ้น เพราะโทนของภาคนี้จะไปในแนวสคูลไลฟ์ การใช้ชีวิตประจำวันของเด็ก ม.ปลาย กับผู้คนในเมืองแห่งนี้ ที่มีการต่อสู้ด้วยสแตนด์และการสืบหาตัวคนร้ายเพิ่มเข้ามา ดังนั้นความตึงเครียดในบางตอนดูเหมือนจะลดลงจากภาคที่แล้ว แต่ความสนุกและความเข้มข้นนั้นมีไม่แพ้กัน เผลอๆ ผมจะชอบภาคนี้มากกว่าเสียด้วย เพราะมันค่อนข้างจะเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของภาค 3 ได้ดีทีเดียว

    หลังจากที่ดูจบไปทั้ง 2 ภาคนี้ ผมรู้สึกว่าได้เจอการ์ตูนสนุกๆ เข้าอีกแล้ว ยิ่งดูยิ่งเห็นความแตกต่างและพัฒนาการของนักเขียนในแต่ละภาค รวมไปถึงความสนุกและเซอร์ไพรซ์ที่ถูกใส่เข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัวยิ่งทำให้อยากติดตามการ์ตูนตระกูล jojo เข้าไปอีก ต่อจากนี้ก็คงรอคอยให้อนิเมะ jojo ภาค 5 ได้ออกฉายสักที จะได้มีการ์ตูนสนุกๆ ให้ติดอีก เพราะก็นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้ติดการ์ตูนเรื่องไหนจริงจังแบบนี้ ส่วนหนังที่กำลังเข้าฉาย ถ้ามีโอกาสก็อยากจะได้ดูเหมือนกันแหะ.






เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in