นวนิยายเรื่อง ก่อนตะวันรอน
ตอนที่ 19 ความเหมือนที่แตกต่าง
สิบสามปีผ่านไปหลังจากที่เดอลาและเพื่อนเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่หกที่หมู่บ้านดอนผักหวาน หลายคนเลือกที่จะเรียนต่อระดับชั้นมัธยมศึกษา ด้วยฐานะการเงินทางบ้านขัดสนหลายคนจึงเลือกที่จะไปหาเงินเพื่อมาจุนเจือครอบครัว สาวน้อยเดอลาและผองเพื่อนเติบโตจนกลายเป็นผู้ใหญ่ในสังคม ต่างคนก็มีอาชีพหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวตามสายงานที่สั่งประสบการณ์มา นาน ๆ ครั้งจึงจะมีโอกาสได้แวะเวียนมาเจอกันเช่นเทศกาลปีใหม่หรือสงกรานต์
ในช่วงสงกรานต์ของทุกปีชาวบ้านดอนผักหวานนอกจากจะมีพิธีสรงน้ำพระรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่เพื่อขอพรเหมือนกับทุกพื้นที่ของประเทศไทย และ หมู่บ้านแห่งนี้ยังมีพิธีที่สำคัญอีกพิธีหนึ่งที่ลูกหลานชาวดอนผักหวานอายุย่างเข้าสู่วัยเบญจเพสต้องเข้าร่วมนั่นก็คือ “พิธีฝั้นสายสิญจน์”
ซึ่งลูกหลานชาวดอนผักหวานทุกคนจะต้องมาสวดมนต์จำศีลภาวนาและทำการฝั้นสายสิญจน์ด้วยตัวเอง เพื่อใช้ในพิธีกรรมเอิ้นขวัญตัวเองและเพื่อน ๆ ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
พิธีกรรมนี้ใช้เวลาสามวันสองคืน โดยวันแรกจะมีการเตรียมตัว วันที่สองเริ่มฝั้นด้ายสายสิญจน์ ส่วนวันสุดท้ายพวกเขาจะทำพิธีรดน้ำดำหัวเพื่อขอขมาและขอพรผู้เฒ่าผู้แก่ของหมู่บ้าน และนำสายสิญจน์ที่ตัวเองฝั้นให้ผู้เฒ่าผู้แก่ผูกแขนให้ก็เป็นอันเสร็จพิธี “ฝั้นสายสิญจน์”
สำหรับพิธีนี้นอกจากจะเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้ลูกหลานที่อายุย่างเข้าสู่วัยเบญจเพสแล้ว ยังเป็นกุศโลบายให้พวกเขาได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ได้พูดคุยปรึกษาหารือและให้คำแนะนำกันและกัน ตลอดจนการขอขมาลาโทษซึ่งกันและกันอีกด้วย เพราะพวกเขาคือกำลังสำคัญที่จะเป็นเสาหลักในการพัฒนาหมู่บ้านดอนผักหวานให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
พิธีฝั้นสายสิญจน์มีทุกปีแต่ก็ใช่ว่าเดอลาและเพื่อน ๆ จะมีโอกาสได้เห็นบ่อย ๆ เพราะตั้งแต่เรียนจบมาก็ทำงานตลอด เวลาหยุดในช่วงเทศกาลก็นับวันได้ ด้วยสายงานที่เธอทำบางครั้งแทบไม่ได้หยุดเลย แต่ปีนี้เธอและเพื่อน ๆ อายุย่างเข้าเบญจเพสแล้ว พวกเธอต้องกลับไปเข้าพิธีฝั้นสายสิญจน์กับเพื่อนคนอื่น ๆ ตามประเพณีที่สืบทอดกันมายาวนาน
ตื๊ด! ตื๊ด! ตื๊ด!
“ใครโทรมาตอนนี้เนี่ย! วู้ยย! รมณ์เสีย” กรีนนี่ที่กำลังง่วนกับการเก็บรายละเอียดชุดเจ้าสาวให้ลูกค้าคนสำคัญ ท่าทางไม่สบอารมณ์เอามาก ๆ กับเสียงโทรศัพท์ที่ดังมารบกวนในเวลางาน
“เดอลา? ฮะโหล! ว่าไงจ๊ะเพื่อนสาว รู้ใช่ไหมว่าเพื่อนไม่รับโทรศัพท์ช่วงนี้” กรีนนี่จีบปากจีบคอบ่น
“อ้าวไม่รับแล้วรับทำไมล่ะจ๊ะคนสวย” คนที่อยู่ปลายสายหัวเราะคิกคักหลังจากได้แซวเพื่อน
“เออพูดจาดีแบบนี้เพื่อนชอบ อิอิ แกมีไรรีบพูดมาฉันกำลังเร่งงานให้ลูกค้าเนี่ย แก้รอบที่ร้อยแล้วมั้งฉันละเซ็ง”
“แกกลับบ้านวันไหน? ”
“ยังไม่รู้แกฉันยังเคลียร์งานไม่เสร็จเลย”
“ได้ไงแก! ปีนี้ไม่กลับไม่ได้นะโว้ยพวกเราต้องเข้าพิธีฝั้นสายสิญจน์แกลืมแล้วเหรอ? ”
“อ้าว! จริงดิเขาให้คนเบญจเพสเข้าพิธีไม่ใช่เหรอ? ”
“หอย! นี่แกคิดว่าแกอายุยี่สิบ? ”
“เปล่า! สิบแปด” กรีนนี่หัวเราะพอใจที่ได้แกล้งเพื่อน
“เอาดี ๆ แกจะกลับวันไหนฉันจะได้กลับด้วย นี่ก็ว่าจะชวนไอ้แสงด้วยไม่รู้มันจะว่ายังไง”
“เดี๋ยวก่อน! ฉันบอกแกรึยังว่าฉันจะกลับ”
“ยัง”
“รถก็รถฉันแล้วยังจะชวนไอ้แสงหน้าหม้อนั่นกลับด้วยตื่นค่ะตื่น!”
“เอาหน่ะรถแกคันใหญ่ไปกันได้หลายคนเดี๋ยวพวกฉันช่วยแกขับเอง”
“เกลียดชะนี!” กรีนนี่แสร้งทำเสียงสะบัดใส่เพื่อนรัก
“โว๊ะ! แรงเกลียดแกสั่นสะเทือนถึงเมกาแล้วแก”
เดอลายังแกล้งกรีนนี่ไม่หยุด
“พูดถึงเมกาแกได้ยินข่าวไอ้นกแก้วบ้างไหมหญิง”
กรีนนี่ยังนึกถึงสมัยวิ่งเล่นกับแก๊งสาวส่าได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะกับนกแก้วเพราะชอบขัดคอกันที่สุดแล้วในกลุ่ม แต่หลังจากเรียนจบมัธยมปลายต่างคนก็ต่างแยกย้ายไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย กลับบ้านก็ไม่เคยกลับพร้อมกัน ได้ยินเพียงข่าวคราวล่าสุดว่าไปทำงานร้านอาหารที่ต่างประเทศ
“ไม่ได้ข่าวเหมือนกันแก เออเอางีัดิเย็นนี้นัดไอ้แสงมากินข้าวแล้วค่อยถามมันเผื่อมันรู้อะไร เราจะได้คุยเรื่องกลับบ้านกันด้วย”
“แหมเข้าทางเชียวนะหล่อน! กินเสร็จพวกแกมาทำงานช่วยฉันเลยนะวันหยุดพวกแกหนิพรุ่งนี้”
“เออ ๆ สองทุ่มเจอกันที่ร้านเดิมนะเดี๋ยวฉันโทรหาไอ้แสงก่อน” เดอลารีบวางสายทันทีก่อนที่กรีนนี่จะเปลี่ยนใจ
ที่ร้านลาบเป็ดอุดรริมแม่น้ำเจ้าพระยา
“สวัสดีครับป้าหมวยไม่เจอกันแป๊บเดียวสวยขึ้นเป็นกองเลยนะครับ”
“อู้ย! ปากหวานไม่เปลี่ยนนะพ่อแสงมาชมอะไรคนแก่ ๆ อย่างป้า โน่น! ไปชมสาว ๆ โน่นเขามารอตั้งนานแล้ว” ป้าหมวยเจ้าของร้านลาบอุดรสวมเสื้อม่อฮ่อมตามคอนเซ็ปต์ร้านทักทายหนุ่มแสง ก่อนที่จะพยักพเยิดหน้าให้กับเดอลาและกรีนนี่ นัยจะบอกว่าสมาชิกที่ทั้งสองคนรอคอยมาถึงแล้ว
แสงรีบเดินอ้อมบ่อน้ำพุที่ถูกตกแต่งด้วยไหดินเผาเขียนลายน้อยใหญ่สวยงามตามแบบฉบับของไหลายบ้านเชียง ถึงแม้จะเป็นเวลากลางคืนแต่ความสวยของบ่อน้ำพุหน้าร้านลาบเป็ดอุดรของป้าหมวยก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย เพราะไฟที่ป้าหมวยให้ทีมช่างใส่ไว้ในไหดินเผาได้สาดแสงมายังบ่อน้ำพุพอดี ทำให้บรรยากาศในตอนกลางคืนสวยแปลกตาไปอีกแบบ
“ไอ้แสงทางนี้แก” เดอลาลุกขึ้นยืนกวักมือเรียกแสง ก่อนที่จะขยับเก้าอี้ไม้ไผ่ของตัวเองออกไปทางกรีนนี่ที่นั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์รอเฉ่งแสงอย่างเต็มที่
“ไม่มาเดือนหน้าเลยหล่ะมึงไอ้แสง”
“ก็แหม …รถมันติดแกก็รู้ นี่กูรีบสุด ๆ แล้วนะเว้ย”
“นี่ถ้าไม่ใช่ว่ายัยนี่ลากฉันมานะ แกอย่าหวังว่าจะได้เจอหน้าสวย ๆ ของฉันเบื่อนักพวกไม่ตรงเวลา”
“เอาเถอะหน่ะอย่าบ่นนักเลย นี่ตีนกาขึ้นเต็มแล้วเนี่ย” เดอลาแกล้งทำเป็นชี้นิ้วบอกตำแหน่งตีนกาให้เพื่อนกังวลเล่น
“พวกแกสั่งอะไรกันยัง? หิวหว่ะวันนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลยแก” หนุ่มแสงลูบท้องไปมาทำหน้าตาหิวโซ ก่อนที่จะยื่นมือไปควานหาขวดเหล้าเพื่อมาชงดื่ม
“พวกแกไม่ได้สั่งเหล้าเหรอวะ? ”
“เหล้าอะไรของแกกินน้ำเพื่อสุขภาพนี่ แล้วกินเสร็จพวกแกต้องไปทำงานช่วยฉันด้วย”
“โห! อะไรวะพรุ่งนี้วันหยุดทั้งทีตั้งใจจะดริ๊งแดร๊งดรั๊งสักหน่อยรมณ์เสียหว่ะ”
“เอาหน่ะแกไปช่วยมันหน่อย นี่พวกเราต้องอาศัยรถมันกลับบ้านสงกรานต์นี้นะโว้ย” เดอลาตบไหล่แสง หลังจากผิดหวังที่เพื่อน ๆ ไม่สั่งเหล้ามาให้ดื่ม
“ลาบเป็ดอร่อย ๆ สูตรต้นตำรับเมืองอุดรมาแล้วจ้า” เสียงป้าหมวยดังมาแต่ไกลพร้อมกับเดินถือลาบเป็ดตรงมายังซุ้มไม้ไผ่ที่เดอลาและเพื่อน ๆ นั่งอยู่
“โห! ป้าหมวยให้เกียรติมาเสิร์ฟเองขนาดนี้ต้องอร่อยเป็นพิเศษแน่ ๆ เลยค่ะ” เดอลายื่นมือไปรับจานลาบเป็ดพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้กับเจ้าของร้านลาบอุดร
ทุกครั้งที่ทั้งสามคนมากินข้าวที่ร้านลาบเป็ดอุดรของป้าหมวยไม่เคยผิดหวังเลย เพราะพ่อครัวแม่ครัวที่ทำอาหารร้านนี้ล้วนแต่เป็นคนอีสาน รสชาติจึงแซ่บถูกอกถูกใจทุกคน แถมซุ้มไม้ไผ่ในแต่ละซุ้มที่มีไว้ต้อนรับลูกค้านั้นยังดูเป็นส่วนตัวด้วย เพราะมีแผงบังตาที่ทำจากไม้ไผ่สานนั่นเอง
“นี่ไอ้แสงแกกินให้มันช้า ๆ หน่อยได้ไหมห๊ะ แกไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อเช้านี้ หรือตั้งแต่ชาติที่แล้ววะ” เดอลาเบรกก่อนที่จะเห็นเพื่อนสำลักลาบเป็ดป้าหมวย
“ก็มันอร่อยหนิ เนี่ยกินลาบฝีมือป้าหมวยแล้วคิดถึงฝีมืออ้ายเขื่อนเลยหว่ะ ว่าแต่เรียกกูมาวันนี้มีอะไรไหมนอกจากจะขอแรงไปช่วยงานสไตลิสต์คิวทองเนี่ย”
“มี! เอาไว้กินข้าวเสร็จแล้วเดี๋ยวไปคุยกันต่อที่บ้านกรีนนี่”
หลังจากที่ทั้งสามกินข้าวเสร็จก็กลับมาบ้านของกรีนนี่เพื่อช่วยทำงานส่งลูกค้าตามคำสัญญา ในระหว่างทางแสงไฟจากถนนหนทางและตามอาคารบ้านเรือนส่องสว่างสุดลูกหูลูกตา กรุงเทพมหานครอีกหนึ่งเมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหล
กรีนนี่ใช้เวลาขับรถจากร้านลาบอุดรของป้าหมวยจนถึงถนนหน้าหมู่บ้านใช้เวลาราว ๆ สี่สิบนาทีเพราะเธอเลือกใช้เส้นทางลัดจึงถึงบ้านเร็วกว่าที่เดอลาและแสงคาดการณ์ไว้นั่นคือ 1 ชั่วโมง เมื่อรถฮอนด้าสตรีมสีขาวของกรีนนี่เลี้ยวเข้าซอยบ้าน แสงผู้มีฉายาหนุ่มหน้าหม้อที่นั่งอยู่เบาะหลังก็เริ่มทำงานทันที
“แกน้องหญิงที่อยู่บ้านเช่าข้าง ๆ บ้านแกเขายังอยู่ไหมวะ”
“ทำไมแกจะไปอยู่กับเขารึไง? ถามสามีเขาก่อนนะ”
“อ้าว! อดเลย”
“เมื่อไหร่แกจะมีแฟนจริง ๆ จัง ๆ สักทีวะแสง พวกฉันปั้นหน้าไม่ถูกแล้วนะเวลาเจอแฟนเก่าของแกแต่ละคนเนี่ย”
“รึแกรอไอ้นกแก้ว? ”
“รอเรออะไรวะแกเพื่อนกัน” แสงเฉไฉกลัวเพื่อน ๆ จับไต๋ได้ ทำทีเข้าไปช่วยกรีนนี่ขนของลงจากรถ
“พูดถึงไอ้นกแก้วแกได้ข่าวมันบ้างไหมวะไอ้แสง? ”
“ก็คุย ๆ กันอยู่เห็นบอกว่าสงกรานต์นี้จะกลับจากเมกาแล้ว เออปรกติแกรู้ข่าวไวจะตายกรีนนี่ทำไมมาถามฉันวะ? ”
“ฉันก็อยากรู้จากปากแกไหมวะไอ้แสง ข่าวไวยังไงมันก็สู้ข่าวกรองไม่ได้ ใช่ไหมหญิง”
“เออจริง! ไหนอัปเดตข่าวไอ้นกแก้วให้พวกฉันฟังบ้างสิ? ” เดอลารบเร้าอีกแรง
“ฉันก็รู้ว่านกแก้วทำงานร้านอาหารกับคนรู้จักที่เมกาก็รู้แค่นี้ อ้อแล้วก็รู้ว่าจะกลับมาบ้านช่วงสงกรานต์”
“แค่นี้? ” กรีนนี่ท่าทางหมดอารมณ์กับข้อมูลอันน้อยนิดที่แสงมี เธออุตส่าห์เปิดบ้านให้มานอนค้างคืนด้วยถึงจะมาช่วยงานก็เถอะ
“แล้วเรื่องของแกจะเอายังไง ฉันได้ยินแม่เล่าให้ฟังว่าตาคำก้อนแก่ลงไปเยอะแล้วนะ ตาแกเขาก็หวังให้แกกลับไปบริหารวงให้” เดอลาถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง ใจลึก ๆ ก็นึกเสียดายวงหมอลำของตาคำก้อน เพราะวงหมอลำที่ทำให้พี่น้องชาวดอนผักหวานหลายคนได้มีอาชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
“เครียดว่ะเพื่อน พวกแกก็รู้ว่าฉันไม่เคยชอบตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พ่อฉันก็โทรมารบเร้าทุกวันถามเมื่อไหร่จะกลับ เห็นเบอร์พ่อเบอร์ลุงทีไรฉันหลอนเลย” แสงทำหน้าเซ็ง ๆ
“เออ ๆ แล้วเดี๋ยวค่อยว่ากันตอนนี้พวกแกมาช่วยฉันทำงานเลย หญิงเห็นกล่องไม้ไผ่บนชั้นนั่นไหมไปหยิบมาสิ แล้วมาช่วยฉันปักเลื่อมชุดเจ้าสาวให้เสร็จ”
“แล้วฉันทำอะไร ให้ไปปักล่มปักเลื่อมไม่เอาด้วยนะ ถ้าให้ถอดก็ว่าไปอย่าง ฮ่า ฮ่า”
“ไอ้นี่! หน้าหม้อแล้วยังชีกออีก โน่น! ไปห้องเก็บของข้างครัวโน่น ฉันเตรียมของไว้ใช้งานฝั้นสายสิญจน์อยู่ในกล่องสี่ใบโน้น แกไปขนเอามาไว้ข้างประตูนี่ถึงวันจะได้ยกไปขึ้นรถเลย” ้
“ครับ ๆ ใช้ใหญ่เลยนะครับ” แสงแกล้งประชดแต่ก็เต็มใจช่วยอย่างเต็มที่ เพราะเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่มาจากหมู่บ้านดอนผักหวานมาอยู่กรุงเทพฯ เจอกันบ่อยสุดและคุยกันรู้เรื่องก็มีแต่กรีนนี่และเดอลานี่แหละ
และแล้ววันแรกของพิธีฝั้นสายสิญจน์ก็เริ่มต้นขึ้น ลูกหลานชาวดอนผักหวานที่อายุก้าวเข้าสู่วัยเบญจเพสก็เริ่มทยอยกันกลับมาบ้าน บางคนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านก่อนที่วันงานจะเริ่มต้นขึ้น บางคนก็มาถึงในวันเริ่มงานเลย สำคัญว่าทุกคนต้องเข้ามาทันร่วมพิธีในเวลาหกโมงเย็นโดยสวมชุดนุ่งขาวห่มขาว พร้อมสวดมนต์และรักษาศีลแปด
ส่วนกรีนนี่เดอลาและแสงเดินทางมาถึงหมู่บ้านเป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่า ๆ ของวันงาน เพราะต้องรอให้กรีนนี่เสร็จภารกิจดูแลชุดเจ้าสาวให้เรียบร้อยก่อน แถมยังต้องฝ่าฟันกับรถติดอีก โชคดีที่ทั้งสามคนผลัดเปลี่ยนกับขับรถไม่อย่างนั้นกรีนนี่คงไม่ไหวแน่ ๆ
ปิ๊น! ปิ๊น! ปิ๊น!
“ไอ้แสงแกจะบีบแตรอะไรกันนักกันหนาวะตกใจหมดเลย” เดอลาและกรีนนี่สะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกันเพราะเสียงแตรรถที่แสงบีบเสียงดังและนานถึงสามครั้งด้วยกัน
“ผ่านศาลปู่ตาทางเข้าบ้านแล้วเนี่ย พวกแกนอนอะไรกันนักกันหนา นี่ปล่อยให้ฉันขับลากยาวมาตั้งแต่โคราชประตูอีสานเลย” แสงบ่นให้เพื่อน ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ ลดความเร็วของรถลง เพราะในหมู่บ้านเริ่มมีรถราขับสวนกันไปมาเยอะแล้ว โดยเฉพาะรถมอเตอร์ไซต์ ซึ่งไม่เหมือนเมื่อก่อนในสมัยที่พวกเขาเป็นเด็กอย่าว่ามอเตอร์ไซค์เลยแม้แต่จักรยานก็นับคันได้
“เฮ้ย! พวกแกนั่นบ้านไอ้กบใช่ไหมโคตรใหญ่เลยหว่ะ ปีก่อนโน้นยังดูซอมซ่ออยู่เลยมันไปรวยมาจากไหนวะ”
“ขายยาค้าของเถื่อน” แสงพึมพำ
“แกจะบ้าเหรอไอ้แสงเห็นบ้านเขาใหญ่โตก็ว่าเขาขายยาซะงั้น ไอ้กบมันเพื่อนสนิทแกไม่ใช่เหรอ” เดอลาทำเสียงดุ
“เมื่อก่อนหน่ะใช่แต่ตอนนี้ไม่ละ ถ้าพวกแกอยากรู้ก็ถามมันเองดิเดี๋ยวเย็นนี้ก็เจอกันหนิ” แสงทำหน้าเซ็ง ๆ เมื่อต้องเจอกับกบอดีตเพื่อนรัก
“แกไปบ้านแกก่อนก็ได้นะแสง จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา นี่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้เวลาเข้าพิธีกันแล้ว ส่วนของพวกนี้เดี๋ยวฉันกับเดอลาแวะเอาไปไว้ที่ศาลาวัดเลย”
“ยังไม่อยากเข้าบ้านเลยหว่ะ”
“แกมีเวลาไปที่อื่นอีกไหมวะนี่มันก็บ่ายสามโมงละ”
แสงทำหน้าเซ็ง ๆ สายตามองไปยังพ่อแม่และตาคำก้อนในชุดม่อฮ่อมประจำคณะหมอลำยืนยิ้มแป้นรออยู่ประตูรั้วหน้าบ้านแล้ว
“โอเค ถ้างั้นก็เจอกันที่ศาลาวัดนะเพื่อนขอบใจพวกแกมากนะ”กรีนนี่และเดอลาลงจากรถเพื่อมาสวัสดีพ่อแม่และตาคำก้อนลุงของแสงด้วย ก่อนที่ทั้งคู่จะเอาของไปไว้ที่วัด
เมื่อเข้าใกล้เขตวัดทั้งคู่ก็ได้ยินเสียง
ดนตรีและรู้ได้ทันทีว่าเป็นดนตรีสำหรับใช้ในพิธีเอิ้นขวัญ
“ป่านนี้คนคงเต็มศาลากันแล้วแกว่ามะหญิง”
“เออรีบขับไปเถอะเราจะได้กลับบ้านไปเตรียมตัวกัน นี่แกต้องแวะไปส่งฉันก่อนนะ”เดอลาสีหน้าตื่นไม่แพ้กรีนนี่เลย
เมื่อกรีนนี่เลี้ยวรถเข้าไปภายในบริเวณวัดภาพที่เห็นกลับไม่เป็นเหมือนที่คิด ทั้งสองนึกว่าจะมีชาวบ้านช่วยกันเตรียมงานกันคึกคักแล้ว เพื่อน ๆ ที่จะเข้าร่วมพิธีฝั้นสายสิญจน์คงจะมากันเกือบครบที่ไหนได้มีเพียงพระสงฆ์หนึ่งรูปและสามเณรน้อยสองรูปที่กำลังกวาดลานวัดอยู่
“นมัสการจ้าหลวงตา ไทบ้านไปไสเหมิดจ้าคือบ่มีคน” เดอลาและกรีนนี่เข้าไปกราบนมัสการเจ้าอาวาสวัดด้วยภาษาถิ่นอีสานบ้านเกิด
“โอ๊ย คะเจ้าบ่มาง่ายดอกอีหล่า ใกล้ฮอดยามพุ้นหล่ะ เขาเอาของมาไว้ให้จัดงานกะดีหลายแล้ว”
“ลางเทือหลวงตาเพิ่นกะได้จกถุงย่ามเพิ่นใส่เด้อ”
“แมน ๆ ไคตั้วเทือนี้งานลูกหลานคะเจ้า กะเลยพากันเอาปัจจัยเอาของมาสมทบ”
กรีนนี่และเดอลาได้ฟังหลวงตาและเณรน้อยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชาวบ้านให้ฟังแล้วก็ตกใจและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านดอนผักหวานบ้านเกิดของพวกเธอ
“ของเอามากะเอาขึ้นไปให้แม่ชีเทิงศาลาเลยเด้อหล่า” กรีนนี่และเดอลากราบหลวงตาก่อนที่จะไปยกกล่องเดินขึ้นเอาไปให้เม่ชีตามคำแนะนำของหลวงตา บนศาลาไม้มีแม่ชีและแม่ขาวห้าคนกำลังช่วยกันทำบายศรีสู่ขวัญอยู่บนกลางศาลา
“หญิงใช่เพื่อนเราไหมแก” กรีนนี่ใช้ศอกดันแขนเดอลาเพื่อถามให้แน่ใจระหว่างถือกล่องเดินเข้าไปหาแม่ชีและแม่ขาว ตาก็จ้องไปที่หนึ่งในแม่ขาวตาไม่กะพริบ
“ฉันว่าใช่นะแก” เดอลาตอบกรีนนี่ขณะที่ก้มลงเพื่อวางกล่องลงข้าง ๆ บายศรีที่แม่ชีและแม่ขาวได้พากันเตรียมไว้ก่อนหน้านี้
“จำกันบ่ได้บ่น้อ? ”แม่ขาวม่านฟ้ายิ้มให้กับเดอลาและกรีนนี่เพื่อให้ทั้งสองมั่นใจว่าแม่ขาวที่พวกเธอพูดถึงคือเธอนั่นแหละ
“หญิงฟ้า! โอ๊ยคิดฮอด นึกว่าสิบ่ได้พ่อกันแล้ว” เดอลารีบเข้าไปสวมกอดเพื่อนด้วยความดีอกดีใจที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งหลังจากที่แยกย้ายกันไปตอนเรียนจบชั้นประถมหก
“ผู้ชายอย่าเข้ามาใกล้แม่ชีแม่ขาวหลายเด้อหล่า” แม่ชีรีบปรามเพราะเห็นท่าทางของกรีนนี่ก็ดีใจไม่น้อยกว่าเดอลาเลย ด้วยความดีใจกำลังจะยื่นมือเข้าไปจับแขนแม่ขาวม่านฟ้า นี่ถ้าไม่ได้แม่ชีปรามไว้กรีนนี่คงเข้าไปทักทายม่านฟ้าแบบใกล้ชิดกว่านี้แน่นอน
“พวกโตพากันไปเปลี่ยนผ้าเปลี่ยนแพรกันก่อนดีกว่า ถ้าบ่เมื่อยคักกะมาช่อยกันเด้อถ้าไทบ้านคือสิอีกโดนยู คะเจ้ามาเปิดแตเครื่องเสียงไว้ซื่อ ๆ ” แม่ขาวม่านฟ้ามองดูสิ่งของบริเวณรอบ ๆ แล้วหันหน้ามาสบตาเพื่อน ๆ อย่างเหนื่อยอ่อน
“ได้ ๆ เดี๋ยวพวกเฮาฟ่าวกลับมาซ่อย” ว่าแล้วกรีนนี่และเดอลาก็รีบลงศาลาไป
กรีนนี่แวะมาส่งเธอที่บ้านก่อนตามที่เพื่อนขอร้อง
บริเวณหน้าบ้านของเดอลามีรั้วรอบขอบชิดเหมือนกับเพื่้อนบ้านหลาย ๆ บ้านตามสมัยนิยม ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนใครจะเดินเข้าเดินออกในเขตบ้านไหนก็สามารถทำได้ไม่มีใครว่า เพราะอยู่กันอย่างญาติมิตร ถึงแม้ว่าไม่มีรั้วบ้านสิ่งของตามบ้านเรือนก็ไม่เคยหาย ผิดจากสมัยนี้ถึงแม้แทบทุกบ้านจะมีรั้วกั้นไว้ก็ตาม ข่าวลักเล็กขโมยน้อยก็มีมาให้ได้ยินอยู่บ่อย ๆ
“แม่เอื้อยหล่ามาแล้ว!”
สิ้นเสียงของต้นน้องชายคนเดียวของเดอลา ทุกคนก็ออกมายืนรอเธอที่หน้าบ้านด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น โดยเฉพาะพ่อสีกับแม่นางของเดอลา ปีนี้ทั้งสองคนดูแก่ตัวลงไปมากแล้ว
นั่นก็เพราะว่ากรำงานหนักกันทั้งคู่ ถึงแม้ว่าครอบครัวของเดอลาจะมีพออยู่พอกิน แต่พ่อแม่ของเธอก็ยังคงทำงานหนักตลอด เคยทำไร่ทำนาอย่างไรก็ยังคงทำอย่างนั้นอยู่
แม่นางให้คำตอบกับเดอลาทุกครั้งที่เธอถาม “เมื่อไหร่จะเลิกทำนาเลิกเลี้ยงควาย” และคำตอบที่แม่นางตอบเธอก็เหมือนกันทุกครั้งนั่นก็คือ “ถ้าแม่ไม่ทำนาไม่เลี้ยงควาย แม่ก็ไม่รู้จะทำอะไรเพราะแม่ทำอย่างอื่นไม่เป็น”
หลังจากที่กรีนนี่ลงจากรถไปสวัสดีและถามสารทุกข์สุกดิบญาติ ๆ ของเดอลาเรียบร้อยแล้ว กรีนนี่ก็ขอตัวกลับบ้านเพื่อไปเตรียมตัวสำหรับพิธีฝั้นสายสิญจน์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้
จบตอนที่ 19
ด้วยฮัก งามดอกบัว ผู้แต่ง
แล้วพบกันใหม่นะคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in