เสียงของหญิงสูงวัยคนนั้นดังขึ้นในที่สุด แหบพร่าไร้ชีวิต ต่างจากคนที่เอ่ยคำสวัสดีตอนที่เดินเข้าร้านมาเมื่อราวหนึ่งชั่วโมงก่อนราวกับคนละคน
เท้าของผมหยุดอยู่กับที่ ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ในมุมฝั่งตรงข้ามกับเคาน์เตอร์สั่งอาหาร โต๊ะที่เห็นจึงเป็นเป็นคนละมุมไปด้วย
จากตรงนี้ ผมเห็นเพียงด้านหลังของเธอ จึงไม่อาจรู้ได้ว่าสีหน้าตอนที่พูดนั้นเป็นยังไง
เด็กผู้หญิงคนนั้นเงยหน้ามองเธอลุกขึ้นยืน หยิบผ้าพันคอออกมาพันใหม่ และจัดเสื้อคลุมให้เข้าที่ แววตาเศร้า ๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกแย่กว่าเดิม
"ฉันมีนัดตรวจสุขภาพน่ะ คนแก่ก็มีโรคประจำตัวกันเป็นธรรมดา"
"มันคืออะไรเหรอคะ?" เด็กหญิงถาม เสียงดูไม่มั่นใจ
"ฉันป่วยน่ะจ้ะ ก็เลยต้องไปหาหมอ" น้ำเสียงที่ดูเหมือนร่าเริงนั่น ฟังดูฝืนเฝื่อนอย่างปิดไม่มิดเลย
"เดิน...ทางดี ๆ นะคะ"
"...ขอบคุณนะ"
แล้วผมก็เห็นเธอหยิบกระเป๋า คว้าถุงใส่กล่องอาหารที่กินเสร็จแล้วเดินไปยังเคาน์เตอร์
"ขอบคุณสำหรับอาหารนะคะ"
"ขอบพระคุณครับ โอกาสหน้าแวะมาอีกนะครับ" เสียงนุ่ม ๆ ของเพื่อนผมดังขึ้นที่อีกฟากของตู้ไม้ที่ใช้แทนที่กั้นแบ่งทางเดิน
ผมยืนอยู่ในตรอกเล็กแคบที่มีเพียงประตูกลบานเล็กตรงกลางขวางกั้น รอจนผู้หญิงคนนั้นเดินออกจากประตูร้านไป และความเงียบทิ้งตัวลงมา ทำให้บรรยากาศในร้านหนาหนักขึ้นอีกครั้ง
"
น่ารำคาญเนอะ"
เสียงหวานของหนึ่งในสองสาวชุดสูทดังขึ้น ผมตัวชา รู้สึกเหมือนอวัยวะหยุดทำงานไปชั่วขณะ แต่ผมไม่อาจแยกแยะได้ว่ามันคืออะไร ความโกรธ ความกลัว หรือความเสียใจ
"ชวนคุยอยู่นั่นแหละ ดูไม่ออกรึไงว่าไม่อยากคุยด้วย"
"เลยกินไม่อร่อยไปด้วยเลย"
"ขอบคุณที่เหนื่อยนะคะ" พวกเธอหัวเราะคิกคัก
"แล้วคนนี้ยังกินไม่เสร็จอีกเหรอ?"
"นั่นสิ แต่เมื่อกี๊คุณป้าคนนั้นก็พยายามจะแนะนำอยู่นี่นะ"
"มาจากประเทศอะไรนะ?"
"ฉันไม่ได้ฟังหรอก ทำไมต้องรู้จักด้วยล่ะ"
"ดูวิธีกินนั่นสิ"
ผมเห็นพวกเธอเหล่มองเด็กหญิงคนนั้นราวกับมองอะไรสักอย่างที่แปลกประหลาด หัวเราะและวิจารณ์อย่างไม่ปิดบัง ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ พวกเธอจะมองปลาไหลสวนลายจุด ตัวซาลาแมนเดอร์หายาก หรือตุ่นปากเป็ดด้วยสายตาแบบเดียวกันหรือเปล่า
เด็กหญิงคนนั้นค่อย ๆ เบือนสายตาไปมองทั้งสองคนโดยที่หัวแทบไม่ขยับเลย ทั้งสองคนสะดุ้งเล็กน้อย
"เธอว่าเขาฟังเราออกมั้ย?"
"ไม่มั้ง-- ไม่ออกหรอก เมื่อกี๊ยังถามป้าคนนั้นอยู่เลยนี่ว่าโรคประจำตัว 'คืออะไร' "
"อึดอัดเหมือนกันนะแบบนี้ เฮ้อ นี่ฉันมาทำอะไรที่นี่กันแน่นะ~? "
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า อะไรของเธอเนี่ย~" เด็กสาวผมสั้นในชุดสูทสีดำหัวเราะเสียงดังเมื่อเพื่อนของเธอแกล้งทำหน้าย่นแล้วเอนตัวไปซบไหล่
"ดูสิ มองอะไรอีกแล้วก็ไม่รู้"
"นั่นสิ ก็มากินข้าวคนเดียวนี่เนอะ"
"มีเพื่อนรึเปล่าก็ไม่รู้นะ"
แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะ พลางมองไปยังเด็กหญิงด้วยสายตาล้อเลียน
...มีสิ...เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจ
...ไม่ว่าเขาจะต่างจากพวกเธอแค่ไหน แต่เขาก็เป็นคนเหมือนกัน เขาจะต้องมีเพื่อน มีคนที่รัก และมีครอบครัวที่รอให้เขากลับไปเหมือนกันแน่ ๆ ...แต่ในสถานการณ์แบบนี้ การจะย้ำเตือนตัวเองถึงความจริงในข้อนี้มันยากแค่ไหน ผมเองก็รู้ดี
"คุณพาสคาล" เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างอ่อนโยน ใบหน้าของหัวหน้าเลื่อนเข้ามาสู่กรอบสายตา
"ชาหายเย็นหมดแล้วล่ะ" เขากล่าว ริมฝีปากระบายยิ้มอ่อนจาง
ผมลดสายตาลงมองเหยือกน้ำที่ยกค้างอยู่ในระดับอก น้ำชาสีแดงยังคงมีอยู่ค่อนเหยือกตามเดิม แต่เวลานี้ หยดน้ำสีใสที่เกิดจากการสัมผัสกับอุณหภูมิภายนอกกำลังไหลลงไปตามแรงโน้มถ่วง หยดลงบนพื้นไม้และรองเท้าผ้าใบคู่โปรดของผมช้า ๆ ทีละหยด
ปุ
ปุ
แปะ"
ผม--"
"ไปเก็บเถอะนะ พยายามได้ดีแล้วล่ะ"
"
ครับ" เสียงแหบปร่า ฟังประหลาดเหมือนไม่ใช่เสียงของผมเลย
ที่หลังเคาน์เตอร์ ไม่มีใครพูดอะไรเมื่อผมกลับเข้ามา เพื่อนกับรุ่นพี่ละสายตาจากงานมามองนิดหน่อยแล้วหันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ผมเอาเหยือกกลับไปเก็บในตู้แช่เย็น แล้วเดินไปพักที่เคาน์เตอร์ เท้าแขนทิ้งน้ำหนัก โดยหันหลังให้กับทุกอย่าง
พาสคาล
ไอ้คน-- ไอ้ขี้ขลาด..."นี่— นี่! ท่าทางเขาจะกลับกันแล้วล่ะ" เสียงของเพื่อนผมดังขึ้น เขาจ้องมา แต่เมื่อเห็นผมมองกลับไปโดยไม่ขยับเขยื้อนและไม่พูดอะไร เขาก็ถอนหายใจ วางมีดที่กำลังซอยกะหล่ำปลีในมือ แล้วเดินไปยืนส่งลูกค้าที่เครื่องเก็บเงินแทน
"ขอบคุณนะคะ อาหารอร่อยมาก ๆ เลยค่ะ"
พวกเธอพูดอย่างร่าเริง เสียงถุงพลาสติกดังแสกสากแผ่วเบา
"ขอบพระคุณมากครับ" เพื่อนผมรับเสียงเข้ม
จากนั้นก็มีเสียงลมที่พัดเข้ามาเมื่อประตูบานเลื่อนถูกเปิดออก และความเงียบที่ตัดฉับลงมาอีกครั้ง เพื่อนผมเดินกลับไปประจำที่ แต่เปลี่ยนไปหมักเนื้อไก่แทนที่จะซอยกะหล่ำปลีต่อ กลิ่นซอสหอม ๆ เจือด้วยกลิ่นขิงและพริกไทยทำให้ใจของผมสงบลงเล็กน้อย
กึก
ฟึ่บ ๆ "อ้าว เด็กคนนั้นก็จะกลับแล้วล่ะ" ผมหันไปมองหน้าเขา มองมือที่หุ้มด้วยถุงมือพลาสติกที่กำลังนวดเนื้อไก่หมัก แล้วจึงเดินกลับไปประจำที่หน้าเคาน์เตอร์ของตัวเอง
เด็กผู้หญิงคนนั้นเดินมาหาผม ยื่นถุงพลาสติกที่ใส่กล่องอาหารมาให้โดยไม่พูดอะไร
ฟุ่บ~ถุงใบนั้นทิ้งน้ำหนักตัวลงตามปริมาณของอาหารที่ยังคงเหลืออยู่ด้านใน ผมเงยหน้าขึ้นมองเธออีกครั้ง
แววตาที่ดูเหมือนเก็บซ่อนเรื่องราวและความรู้สึกเอาไว้มากมายแต่กลับไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
แววตาที่ผมเคยบอกว่าดูแล้วรู้สึกอึดอัด
สุดท้าย มันก็อาจจะเกิดจากเรื่องราวและความรู้สึกอย่างเดียวกันก็ได้นะพาสคาล
"อาหารอร่อยมากเลยค่ะ" เธอพูดเสียงเบา ขยับยิ้มออกมาบาง ๆ ถึงแม้ว่าตาจะไม่ได้ยิ้มไปด้วยก็ตาม
"ขอบพระคุณมากครับ" ผมตอบกลับ "ไว้โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ"
เธอผงกหัวเบา ๆ เป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากร้านไป และเมื่อลมหอบใหม่พัดมา เศษใบไม้ที่หน้าร้านก็เริ่มขยับปลิวตามไปอีกครั้ง
“ดูใบไม้พวกนั้นสิ” เสียงทุ้มของหัวหน้าดังขึ้นด้านหลัง ทั้งดังและกังวานผิดปกติเมื่ออยู่ท่ามกลางบรรยากาศหนักอึ้งที่ตกค้างอยู่ในร้าน ผมหันไปมอง เห็นเขายกชาเหยือกใหม่มา เตรียมแช่เย็นสำหรับแจกลูกค้าในรอบถัดไป “ฤดูใบไม้ร่วงยังมาไม่ทันถึงแท้ ๆ “
“ใบไม้โดนลม ยังไงสักวันก็ต้องร่วงครับ” ผมพูด เริ่มรู้สึกวูบหวิวอย่างประหลาด เหมือนเป็นตัวเอง แต่ก็เหมือนไม่ใช่ในเวลาเดียวกัน "แล้วใบไม้เกะกะ สุดท้ายก็ต้องโดนกวาดทิ้ง"
เพราะโลกนี้ก็มีลมอยู่ทุกที่ พัดกระแทกใบไม้ให้ปลิดปลิวไปตามใจ โดยไม่สนว่าสุดท้ายใบไม้เหล่านั้นจะตกลงพื้น ถูกเหยียบย่ำ หรือโดนกวาดทิ้งไปอย่างไร
หัวหน้าเงียบไป เขามองหน้าผมนิ่ง ๆ แล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปเอาชาเข้าตู้เย็นต่อ
"ก็ไม่เสมอไปหรอกคุณพาสคาล"
"..."
"บางครั้งใบไม้ที่ร่วงลงมาก็มีความงดงามในแบบของมัน แล้วก็สร้างความรู้สึกดี ๆ ให้กับคนที่พบเห็นได้เหมือนกันนะ"
"..."
"อย่าลืมทิ้งขยะด้วยล่ะ" เขาเพยิดหน้ามาที่ถุงในมือผม แล้วเดินกลับเข้าหลังร้านไป
ผมเปิดถุงพลาสติกออก เตรียมเทอาหารที่เหลือทิ้งแล้วจะได้แยกขยะ
แซ่ก ๆ ด้านในมีกล่องข้าวที่ปิดฝาไว้อย่างเรียบร้อย มีกระดาษโน๊ตแผ่นหนึ่งวางอยู่บนนั้น มุมและขอบมีรอยยับอยู่ประปราย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตัวหนังสือที่เขียนด้วยหมึกสีดำนั้นจางลงเลย
- ขอบคุณสำหรับน้ำชาถ้วยนั้นค่ะ -น้ำชาถ้วยนั้น...
หมายถึงชาที่ผมไม่ได้ออกไปเทงั้นเหรอ...
ความพยายามที่สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยใครหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย...
เห็นด้วยเหรอ…?ผมเดินออกจากเคาน์เตอร์ เดินไปยังโต๊ะกินข้าว ลากเก้าอี้ออกมานั่ง มองกระดาษขอบยับสีเขียวอ่อนที่อยู่ในมือ แล้วมองเลยไปยังตรอกเล็กแคบที่มีไฟสลัวส่องอยู่จาง ๆ หากมีใครสักคนยืนอยู่ตรงนั้น คงดูราวกับผีในหนังสักเรื่อง
เสียงน้ำหยดดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ได้หยดลงบนรองเท้าผ้าใบของผม
และผมก็รู้สึกโชคดี...ที่ไม่ได้มีใครอยู่ด้วยกันตรงนั้น
- จบ -
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in