เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เป็นเรื่องธางฝัน
ร่วงหล่น
  •  
    ย่างเข้าเดือนพฤศจิกายน ลมหนาวก็เริ่มพัดมา



    ต้นไม้ใหญ่ส่ายไหวไปตามแรง เศษใบไม้แห้งปลิววน หยอกล้ออยู่ข้างรองเท้ายามเดินผ่าน นี่เป็นบรรยากาศช่วงรอยต่อระหว่างฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง กลางวันเริ่มสั้นลง ในขณะที่กลางคืนขยายยาวออกไป เป็นช่วงเวลาที่นักศึกษาอย่างพวกผมรู้สึกผ่อนคลายกับการทบทวนบทเรียนและเตรียมตัวสำหรับคลาสถัดไปกันมากขึ้น 

    แสงสลัวจากโคมไฟอ่านหนังสือ เสียงแสกสากของใบไม้ และความเงียบที่เพิ่งได้สัมผัสหลังผ่านฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยกิจกรรมชมรม ซึ่งมักจะมีกลุ่มนักศึกษาส่งเสียงโหวกเหวกด้วยความเมาระหว่างที่พากันเดินไปหาร้านนั่งดื่มต่อ ปาร์ตี้กันราวกับเป็นค่ำคืนที่ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อเทียบกันแล้ว บรรยากาศในช่วงนี้ก็นับว่าสงบและชวนให้รู้สึกสบายใจดี





    เช้าวันนี้ก็มีลมเย็นพัดเอื่อย พาใจให้ล่องลอย ความเย็นที่ตกค้างอยู่ตรงปลายจมูกทำให้รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย





    อากาศดีชะมัด...



    ผมเคยได้ยินใครบางคนเปรียบฤดูร้อนเป็นช่วงวัยอันสดใสของวัยรุ่น 

    ถ้าอย่างนั้น รอยต่อนี้เป็นอะไร? จะเรียกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการเติบโตที่นำเราไปสู่วัยผู้ใหญ่ได้ไหมนะ?



    ผ้าใบคู่ของผมโปรดเหยียบลงไปบนใบไม้สองสามใบที่อยู่หน้าประตูบานเลื่อนขนาดเล็กจนเกิดเสียงดังกรอบแกรบ ก่อนที่ผมจะยื่นหน้าเข้าไปข้างใน ทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส


    “อรุณสวัสดิ์ครับ” 


    “อ้า คุณพาสคาล อรุณสวัสดิ์ ๆ วันนี้มาเช้าจังนะ” หัวหน้าที่กำลังยืนเตรียมวัตถุดิบอยู่หลังเคาน์เตอร์ขนาดประมาณ 2 ฟุตเงยหน้าขึ้นมาทักทาย แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างด้านหลังตัดกับความมืดภายในร้านนั้นเป็นภาพที่เห็นจนชินตา ผมหันกลับไปเลื่อนประตูปิด จากนั้นก็เข้าไปเก็บของเปลี่ยนชุด เตรียมตัวทำงาน


    “เมื่อคืนอ่านหนังสือไม่ดึกน่ะครับ แต่นาฬิกาในร่างกายมันคงจะชินแล้ว เลยตื่นเร็วซะงั้น”


    “ตื่นเช้ามันดีอยู่ก็จริง แต่การพักผ่อนให้เพียงพอน่ะ สำคัญยิ่งกว่านะ” ผมหันไปทันสบตากับเขาพอดี คุณปู่ใจดีคนนี้เป็นเจ้าของร้าน เขาขายข้าวกล่องในราคาที่ถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับคุณค่าทางโภชนาการที่อัดแน่นอยู่ข้างใน มันช่วยประทังชีวิตและกระเป๋าสตางค์ของนักศึกษาในสถาบันใกล้ ๆ นี้ได้ดีมาก และตัวเขาเองก็บริหารร้านนี้ได้ดีพอ ๆ กับกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่มักจะประดับด้วยแววตาอบอุ่นอ่อนโยนและรอยยิ้มจริงใจนั่นเสมอ


    “รับทราบครับ ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง”


    “ยินดี ๆ “ เสียงตอบกลั้วหัวเราะนั่นทำให้ผมนึกถึงครอบครัว มันชวนให้รู้สึกสบายใจได้ทุกครั้ง หัวหน้าหันไปด้านข้างอย่างเชื่องช้า วางถ้วยซุปลงในถาดที่มีชามข้าวอยู่อีกใบหนึ่ง ผมรู้ทันทีว่ามันคืออะไร



    ขอบคุณพระเจ้าที่ผมมัวแต่สนุกอยู่กับใบไม้และลมเย็น ๆ จนลืมแวะซื้อข้าวเช้าก่อนมาทำงาน


    “เอ้านี่ กินซะนะ”


    “ขอบคุณครับ” ผมตอบเสียงสุภาพตามมารยาท แต่ในใจนั้นลิงโลดไปแล้ว ไม่ใช่ว่าผมตะกละหรอกนะ แต่อาหารฝีมือหัวหน้ามันอร่อยมากจริง ๆ ต่างหาก



    “แล้วนี่ก็ชา”



    อ่าฮะ ใช่แล้ว ชาแดงไร้คาเฟอีน ต้มกับเบอร์รี่อบแห้งหอมสดชื่น สูตรเฉพาะของทางร้านที่หัวหน้าจะทำแจกลูกค้าในช่วงเริ่มต้นของฤดูใบไม้ร่วง


    ผมยกถ้วยซุปขึ้นดื่มเป็นการเริ่มมื้ออาหาร หลับตาพริ้มและซึมซับรสชาติที่แผ่ซ่านไปทั่วปากอย่างมีความสุข 


    ผมนี่มัน...โชคดีจริง ๆ 




    [ 11:20 น. ]




    “จะสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว” 



    หัวหน้าบอกเมื่อเวลาผ่านไปพอสมควร น้ำเสียงดูกระตือรือร้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเพราะในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า ร้านของเราก็จะมีทั้งนักศึกษา มนุษย์เงินเดือนและคนที่เป็นลูกค้าประจำแวะมาซื้อข้าวกล่องมื้อกลางวันกันเต็มไปหมด ถึงตอนนั้นเราก็จะวุ่นวายมาก ผมมีหน้าที่รับออเดอร์ คิดเงินและจัดอาหารใส่ถุงให้ลูกค้า ส่วนหัวหน้ากับเพื่อนร่วมงานอีกสองคนจะแสตนด์บายอยู่หลังร้าน คอยทำเมนูที่ต้องทำสด ๆ หรือทำเพิ่ม เราทุกคนต้องทำงานแข่งกับเวลา หัวหน้าบอกว่าเป็นเพราะลูกค้าของเราก็ต้องมีเวลาทานข้าวก่อนจะเร่งกลับไปทำงานของตัวเองต่อเหมือนกัน




    กริ๊ง~




    หืม?



    ผมเงยหน้ามองนาฬิกาที่ยังไม่ทันจะถึงสิบเอ็ดโมงครึ่ง แล้วหันกลับไปมองประตูหน้าร้าน เด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ผมจำเธอได้ทันที


    “เปิดแล้วใช่ไหมคะ?” เธอถาม


    “ใช่ครับ” ผมตอบสบาย ๆ “ยินดีต้อนรับครับ สั่งอาหารได้เลย”


    เธอเดินมาที่เคาน์เตอร์ ไล่สายตาดูเมนูที่กางแผ่อยู่ตรงนั้นอย่างเงียบ ๆ เด็กคนนี้อีกแล้ว...เธอเป็นคนเดียวที่แวะมาเวลานี้ ซื้ออาหาร นั่งกินในร้าน แล้วก็ออกไปก่อนจะถึงเวลาอาหารเที่ยงของคนส่วนใหญ่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ยังไงมันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องเก็บมาคิดอยู่ดี


    “ขออันนี้ หนึ่งค่ะ” 


    “ครับผม อย่างเดียวนะครับ” เธอพยักหน้า “ ห้าร้อยครับ”


    มือเล็ก ๆ หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่าย จากนั้นผมก็บอกเธอว่าต้องรอสักครู่ เธอมองผมนิ่ง ๆ สองสามวินาที ก่อนจะตอบว่า ‘ค่ะ’ แล้วก็เดินไปนั่งรอที่โต๊ะ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นอย่างเงียบ ๆ ตามเคย ส่วนผมก็เดินไปบอกเมนูให้กับเพื่อนร่วมงาน


    “ลูกค้าคนนั้นเหรอ?”


    “อื้อ คนเดิม เมนูเดิม”


    “กินข้าวเวลานี้ตลอดเลยแฮะ”


    “เขาอาจจะตื่นสายหรือเรียนคลาสบ่ายก็ได้”


    “งั้นมั้ง...แต่จะว่าไป วันนี้ก็แต่งตัวน่ารักดีนะ” เพื่อนของผมตั้งข้อสังเกต ทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง 


    จริงด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอใส่เสื้อสีสันสดใสขึ้นมาหน่อย สีส้มอ่อนสลับเหลืองพาสเทล กางเกงยีนส์สีฟ้าอ่อน แล้วก็...รองเท้าผ้าใบคู่เดิม ดูสดใสสมวัยแล้วก็เข้ากับฤดูกาลอย่างที่คนแถบนี้นิยมกันขึ้นมาหน่อย แต่ว่า...


    “ฉันไม่ค่อยชอบตาเขาน่ะ” ผมบอก “มันเหมือนมีอะไรจะพูดอยู่เต็มไปหมด ดูแล้ว...อึดอัด”


    “บอกตรง ๆ นะ ฉันนึกตามไม่ออกว่ะ...อะไรคือตาเหมือนมีอะไรจะพูด ไม่เข้าใจ” ผมยักไหล่ กำลังพยายามนึกคำอธิบาย แต่คุณปู่ใจดีของร้านเราก็กลับแทรกขึ้นมาเสียก่อน น้ำเสียงและสีหน้าดูดุเอาเรื่อง


    “พูดไม่ดีเกี่ยวกับลูกค้า ใช้ไม่ได้นะ”


    “ขอโทษครับ / ขอโทษครับ”




    กริ๊ง~




    เสียงกระดิ่งร้านดังขึ้นอีกครั้ง หัวหน้าเพยิดหน้าบอกผมให้กลับไปรับลูกค้า ผมจึงกลับไปประจำที่หน้าเคาน์เตอร์ พอดีกับที่ลูกค้าคนถัดไปปิดประตูบานเลื่อนเสร็จและหันกลับมาพอดี เธอหันไปมองเด็กผู้หญิงคนนั้นแวบหนึ่ง สบตากันอยู่สักครู่ก่อนจะนึกได้และหันกลับมาหาผม



                                                  ?



  • "อ๊ะ สวัสดีค่ะ" เธอเร่งเดินมาที่เคาน์เตอร์ "เอาเมนูนี้ค่ะ แต่ไม่รับเครื่องเคียงนะคะ"



    "ทานที่นี่หรือเปล่าครับ?" เธอหันกลับไปมองเด็กผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง ยายหนูเหมือนจะกำลังสาละวนอยู่กับการหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าเป้ แต่ดูจากสีหน้าแล้ว อะไรที่ว่านั่นต้องไม่อยู่ในนั้นแน่ ๆ และเหมือนว่าเราจะใจตรงกัน ผมกับผู้หญิงตรงหน้าละสายตามาสบกันพอดี

    "ถ้าไม่รบกวนเกินไป ทานที่นี่ก็แล้วกันค่ะ"

    "ครับ"




    ผมหันกลับไปบอกเมนูกับเพื่อนอีกครั้ง แล้วหันกลับมาดูสถานการณ์ตรงหน้าต่อ ผู้หญิงคนนั้นเดินไปที่โต๊ะกินข้าวโต๊ะเดียวในร้านของเรา ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้วเอ่ยขอนั่งด้วยอย่างสุภาพ เธอตอบว่า ‘ค่ะ’ แล้วก็เลิ่กลั่กหยิบขวดน้ำหลบไปตรงมุมโต๊ะ พยายามจะเพิ่มพื้นที่ว่างให้กับคนตรงหน้า ทีแรกผมคิดว่าทั้งสองคนรู้จักกันแล้วเสียอีก แต่เท่าที่ดูก็เหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้น


    ไม่รู้ทำไม แต่หญิงสูงวัยคนนี้ช่างดึงดูดสายตาของผมเหลือเกิน อาจเป็นเพราะการแต่งตัว ชุดกระโปรงตัวหลวมสีส้มอิฐที่ทำให้ข้อมือและคอของเธอดูสูงโปร่งบอบบาง เสื้อคลุมกันลมสีขาวอมเทาสว่างคล้ายกับผมสีเงินแห้งนั่น และผ้าพันคอสีน้ำตาลแก่ที่พันอยู่รอบผิดขาวซีดของเธอก็ให้ความรู้สึกเบาสบายเหมือนใบไม้ที่แกว่งไกวอย่างช้า ๆ ไปตามสายลม...หรือไม่ก็ใบไม้ที่กองสุมกันอยู่ท่ามกลางหิมะหลงฤดู มีความสดใสแต่ก็แฝงไปด้วยความสงบบางอย่างที่ตัวผมเองก็อธิบายไม่ถูก




    เธอมองเด็กคนนั้นนิ่ง มุมปากค่อย ๆ ยกขึ้นไปตามโหนกแก้มสูง ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
      



    "น่ารักจัง"


    !!!


    เด็กคนนั้นคงคาดไม่ถึงว่าจะมีคนคุยด้วยเลยเบิกตาใหญ่โต เกร็งหน้าเม้มปาก ดูตลกยังไงชอบกล





    "บ้านอยู่แถวนี้เหรอจ๊ะ?"


    "...ค่ะ"


    "วันนี้ไม่มีเรียนเหรอจ๊ะ?"


    "มีค่ะ มีเรียนช่วงบ่ายค่ะ" อีกฝ่ายนิ่งไปนิดหน่อย ก่อนจะออกอุทานด้วยความแปลกใจ


    "คนต่างชาตินี่นา"


    "ค่ะ"


    "มาจากประเทศไหนเหรอจ๊ะ?"





    แล้วทั้งสองคนก็เริ่มคุยกัน ซึ่งเป็นเรื่องแปลกสำหรับผมมาก เพราะตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ค่อยได้เห็นคนแปลกหน้าที่คุยกันอย่างเป็นธรรมชาติได้ขนาดนี้เลย เด็กคนนั้นยังคงพูดน้อย แต่ดูเหมือนจะกระตือรือร้นขึ้น ผมได้ยินเธอบอกว่าที่จริงแล้วฟังออกทุกคำ แต่ตอบไม่ค่อยได้เพราะนึกคำไม่ทัน ส่วนอีกฝ่ายก็เข้าใจและพยายามพูดให้ช้าลงและชัดขึ้น จากนั้นก็พยักหน้าหงึก ๆ เป็นตุ๊กตา ทำให้ผมรู้สึกเหมือนเห็นใบไม้สองใบกำลังหยอกล้อ แกว่งไกวกันอยู่บนต้น เป็นบรรยากาศที่ทำให้ผมนึกถึงครอบครัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก



    รู้ตัวอีกที ทั้งผม เพื่อนร่วมงานอีกสองคนกับหัวหน้าที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ก็พากันอมยิ้มกันหมดแล้ว



    "ผิวสวยแบบนี้ ทานน้ำส้มสายชูเยอะล่ะสิ?" บทสนทนาใหม่เริ่มต้นขึ้น


    "น้ำส้มสายชูเหรอคะ?" ระหว่างที่หญิงชราคนนั้นกำลังอธิบายว่าน้ำส้มสายชูหมักจะช่วยให้ผิวสวยได้ยังไง เพื่อนร่วมงานของผมก็บอกว่าอาหารเสร็จแล้ว ให้ยกไปเสิร์ฟ



    "นายยิ้มอะไร"



    "นายก็เหมือนกัน"



    "น่ารักดีนะ เหมือนป้ากับหลานนั่งคุยกัน แต่จะว่าไป ร้านเราก็ใส่น้ำส้มสายชูเยอะอยู่นะ" เขากระซิบแล้วเราก็หัวเราะ ก่อนที่รุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนร่วมงานอีกคนก็ถามแทรกขึ้นมา "ขอขัดจังหวะหน่อย ใครจะเป็นคนยกไปเสิร์ฟ"





    เงียบ





    "เอ่อ ผมไปเองครับ” ก็มันเป็นหน้าที่ผมนี่นา



    "โอเค ฝากด้วยนะ”



    "ครับ"





    [ 11: 30 น. ]





    "ขอโทษที่ขัดจังหวะครับ อาหารมาเสิร์ฟแล้ว"



    "อ๊ะ ขอบคุณค่ะ / ขอบคุณค่ะ" ทั้งสองคนรับพร้อมกัน เด็กหญิงผงกหัวแล้วก้มค้างไว้ พอเงยหน้าขึ้นมาผมก็ต้องแปลกใจกับดวงตาที่ใสกระจ่าง แววตาที่ดูเหมือนมีอะไรจะพูดมากมายนั้นหายไปแล้ว



    "ส่วนนี่เป็นชาสูตรเฉพาะของทางร้านที่ขอเติมได้ ค่อย ๆ ทานได้เลยนะครับ" ผมบอก แล้วก็ได้รับรอยยิ้มสดใสอบอุ่นกลับมา พวกเราทุกคนก็กลับไปประจำที่กันต่อ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคนคู่สนทนาต่างวัยพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน



    บรรยากาศแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน...





    กริ๊ง~





    "ยินดีต้อนรับครับ"


    ลูกค้ารายถัดไปเป็นหญิงสาวสองคน พวกเธอสวมชุดสูทยูนิฟอร์มสีดำทับบนเสื้อเชิ๊ตสีขาว ดูจากกระเป๋า ทรงผมและการแต่งตัวแล้ว พวกเธอคงเป็นนักศึกษาใกล้จบที่กำลังหางาน วันนี้คงมีสัมภาษณ์ถึงได้เตรียมตัวกันดีขนาดนี้


    "ลมเมื่อกี๊ทำผมหน้าม้ายุ่งหมดเลย"

    "ไม่หรอก ยังดูดีอยู่นะ"


    สองสาวยืนหัวเราะคิกคักอยู่หน้าประตูเล็กน้อย ก่อนที่คนหนึ่งซึ่งรวบผมหางม้าจะหันมาทางผม แล้วพูดเสียงดัง รัวเร็ว ดูเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ


    "อ๊ะ ขอโทษค่ะ" แล้วพวกเธอก็เดินมาดูเมนู "สั่งอะไรดีน้า~ น่ากินไปหมดเลย ดูสิ"

    "กินปลาดีมั้ยนะ?"

    "เมื่อวานเพิ่งกินไปไม่ใช่เหรอ?"

    "ฉันว่าจะไดเอทน่ะ รู้สึกช่วงนี้อวบขึ้นยังไงไม่รู้"

    "เอ๊ะ ไม่จริงน่า อย่างเธอต้องไดเอทด้วยเหรอ?"

    "ใช่สิ เป็นผู้หญิงก็ต้องดูดีใช่มั้ยล่ะ?"


    ผมหันไปมองเพื่อนที่อยู่ข้างหลังอย่างไม่แน่ใจ ประสบการณ์ในงานบริการของผมเคยสอนมาแล้วว่าไม่ควรแทรกบทสนทนาของลูกค้า แต่เพื่อนผมพยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงบอกว่า ลองดูก็ได้ ผมจึงหันกลับมา


    "อ่า ขอโทษที่ขัดจังหวะนะครับ ถ้าคุณผู้หญิงสนใจอาหารแคลอรีต่ำล่ะก็..."

    "ว้าย เมื่อกี๊ได้ยินใช่มั้ยคะเนี่ย?"

    "น่าอายจัง"

    "ไม่หรอกครับ" ผมตอบอย่างสุภาพ "ไม่ว่าใครก็ต้องอยากดูดีเป็นธรรมดา ผมเลยอยากจะขอแนะนำอาหารที่อยู่ด้านล่างของหน้าซ้ายนี้ครับ เพราะเป็นเมนูไร้น้ำมัน แล้วก็มีผักกับโปรตีนถั่วเพิ่มเข้าไปด้วย"

    "น่าสนใจนะคะ"

    "ฉันเอาอันนี้ละกัน"

    "ส่วนฉัน...เอาอันนี้ค่ะ"

    "ครับ ทานในร้านหรือเปล่าครับ?"

    "ค่ะ"

    "ขอบพระคุณครับ" ผมแจกแจงราคาอาหารให้พวกเธอและบอกว่าอีกสักครู่จะยกไปเสิร์ฟ สองสาวรับคำแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้สองตัวสุดท้าย โต๊ะเดียวกับแขกสองคนที่ยังนั่งกินไปคุยกันไปอย่างเชื่องช้า

    "ขอนั่งด้วยได้ไหมคะ?"

    "ได้สิคะ เชิญเลย" หญิงชราตอบ ส่วนเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะหันกลับไปรับกระดาษทิชชู่จากหญิงชราพร้อมกล่าวคำขอบคุณ


    จากนั้นบรรยากาศก็ดูคึกคักขึ้นมาหน่อย ลูกค้าใหม่ดูเป็นคนมีความมั่นใจ เต็มไปด้วยพลังของวัยรุ่น ผมมองแล้วนึกถึงฤดูร้อนที่เพิ่งผ่านพ้นไปอย่างไรชอบกล พวกเธอพูดถึงแฟชั่นที่กำลังอินเทรนด์ เครื่องสำอาง และกระเป๋าคอลเลคชันใหม่


    ผมยกอาหารกับชาออกไปเสิร์ฟ และไม่ลืมที่จะถามหญิงชรากับคู่สนทนาตัวน้อยของเธอว่าอยากเติมชาด้วยไหม ทั้งคู่หันมาขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม เมื่อผมคืนถาดให้เพื่อนและกลับมาประจำหน้าเคาน์เตอร์ หญิงชราคนนั้นก็หันไปทักสองสาวผู้มาใหม่พอดี


    "พวกหนูสวยจังเลยนะ"

    "ขอบคุณนะคะ" สองสาวดูดีใจกับคำชมที่ได้รับ ยิ้มเขิน ๆ พลางยกมือขึ้นปิดปาก

    "วันนี้มีสัมภาษณ์งานเหรอจ๊ะ?"

    "ใช่ค่ะ ใช่เลย"

    "ดีจังเลย" เธอยิ้มให้อย่างอ่อนโยนอีกครั้ง "จะว่าไป พวกหนูเป็นคนที่นี่ใช่ไหมจ๊ะ"

    "ค่ะ"

    "อ้อ ส่วนหนูคนนี้เป็นคนต่างชาติล่ะ" หญิงชราพูด เธอคงพยายามจะแนะนำเด็กผู้หญิงคนนั้นเพื่อให้ร่วมวงสนทนาด้วยกันได้ "น่ารักมาก ๆ เลยนะ ว่าไหม?"

    เด็กคนนั้นส่ายหน้าปฏิเสธอย่างขัดเขิน แต่ก็หันไปยังสองสาวเพื่อยิ้มให้อีกครั้ง




    แต่...




    มุมปากและหางตาที่ยกเป็นรอยยิ้มนั้นค่อย ๆ ตกลงอย่างช้า ๆ เธอหันกลับไปยิ้มให้อาหารในกล่องแทน

    ส่วนหญิงสูงวัยที่ดูราวกับใบไม้ในสายลมของผมก็เลิ่กลั่กมองเด็กหญิงสลับกับสองสาวผู้มาใหม่




    รอยยิ้มนั้นหายไปแล้ว






    เกิดอะไรขึ้น?





    กริ๊ง~


    "อ๊ะ ยินดีต้อนรับครับ" ผมพูดอย่างอัตโนมัติ พลางเหลือบไปมองนาฬิกา



    [ 12:10 น. ]



    กริ๊ง~

    กริ๊ง~

    กริ๊ง~




    "ยินดีต้อนรับครับ"



    นี่เป็นช่วงวุ่นวายของร้านเรา เพราะลูกค้าที่มีทั้งนักศึกษา มนุษย์เงินเดือนและคนที่เป็นลูกค้าประจำแห่มาซื้อข้าวกล่องมื้อกลางวัน เราทุกคนต้องทำงานแข่งกับเวลา เพื่อให้ลูกค้าได้มีเวลากินข้าวก่อนจะเร่งกลับไปทำงานของตัวเองต่อ


    "สองกล่อง หนึ่งพันครับ...คิวต่อไป สั่งได้เลยนะครับ" ผมเพิ่มเสียงบอกผู้ชายชุดสูทที่อยู่หลังลูกค้าตรงหน้า บอกเสร็จก็ได้รับเงินพอดี จากนั้นก็หันไปบอกเมนูถัดไปพร้อมรับกล่องมาใส่ถุง ยื่นให้ลูกค้าพร้อมกล่าวขอบคุณ


    ลูกค้ายังคงเข้ามาเรื่อย ๆ ไม่ขาดสาย เสียงของความวุ่นวายดังกลบความเงียบที่ชวนให้รู้สึกสงบใจเมื่อครู่เสียสนิท ผมไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นที่โต๊ะอาหารเล็ก ๆ ตรงมุมร้านนั่น รู้แต่ว่าทุกครั้งที่เหลือบไปเห็น ทั้งเด็กและผู้หญิงคนนั้นก็ทำหน้าไม่สบายใจหนักขึ้นทุกที


    เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ...



                                             ?  ?



  • "ห้าร้อยครับ" 



    ผมบอกลูกค้าคิวสุดท้าย เมื่อรับเงินมาแล้วก็ยื่นถุงใส่กล่องอาหารให้ พร้อมโค้งขอบคุณให้สวยที่สุดเท่าที่จะทำได้



    "ขอบพระคุณครับ โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ"




    "เหนื่อย" เพื่อนผมครวญ เอามือเท้าโต๊ะ ทำท่าเหมือนเพิ่งจะวิ่งแปดรอบสนามแบบจับเวลามาหมาด ๆ

    "ขอบคุณที่เหนื่อยกันนะ" หัวหน้าบอก "ส่วนข้าวกล่องตรงนี้ กินเป็นมื้อเที่ยงกันได้เลยนะ"

    "ขอบคุณครับ / ขอบคุณคร้าบ / ขอบคุณครับ"




                                               -----



    "พาสคาล ไม่กินเหรอ?"


    เพื่อนผมถาม ขณะที่มือตักอาหารเข้าปากไปด้วย


    "กินสิ..." ผมบอก แต่ยังไม่ละสายตาไปจากโต๊ะที่ผู้หญิงทั้งสี่คนนั่งอยู่

    "มีอะไรรึเปล่า?" เขาถามแล้วเดินมาประกบข้าง มองตามสายตาของผมไป

    "อ้าว ยังอยู่กันอีกเหรอ?"

    "อืม"

    "ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ?"

    ผมกำลังจะตอบว่าไม่รู้ แต่หญิงชราคนนั้นก็พูดขึ้นมาเสียก่อน


    "เห็นพวกหนูแล้ว ฉันนึกถึงหลาน ๆ เหมือนกันนะ"




    เงียบ




    เธอพยายามฝืนยิ้มให้สองสาวผู้ร่วมโต๊ะอีกครั้ง ริมฝีปากนั้นสั่นไหวอย่างชัดเจน ผมที่ยืนอยู่นี้ก็ยังเห็น ส่วนเด็กผู้หญิงคนนั้นก็หันไปมอง จากสายตา ผมคิดว่านั่นคือความเห็นใจ


    เธอสูดหายใจเข้าจนไหล่ยกขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะพยายามยิ้มให้กว้างกว่าเดิม แล้วหันไปทางคนที่มัดผมหางม้า อ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่...


    "นี่ เมื่อคืนได้ดูซีรีส์หรือเปล่า?" หญิงสาวคนนั้นหันขวับไปหาเพื่อนทันที แล้วพูดเสียงดังจนแม้แต่รุ่นพี่ที่อยู่ด้านหลังผมและหัวหน้ายังเยี่ยมหน้าออกมาดู

    "ไม่---ไม่หรอก ฉันต้องนอนเร็วนี่ วันนี้มีสัมภาษณ์ไง"

    "จริงด้วยสินะ ช่วงนี้ยุ่งไปหมดเลย อย่างวันนี้ตอนสัมภาษณ์ก็ต้องคิดคำตอบเยอะแยะ"

    "เหนื่อยแย่เลยนะ"

    "อื้ม เหนื่อยมากเลยแหละ"



    ความรู้สึกบางอย่างปะทุขึ้นที่หลังคอของผม มันค่อย ๆ ลามไปยังไหล่ แผ่นหลัง และแขน อะไรบางอย่างที่เย็นเยียบ คืบคลานเข้าไปในหัวใจ


    เหตุการณ์แบบนั้น ผมเองก็เคยเจอ



    "แกล้งเมินสินะ" เพื่อนผมเอ่ยเสียงแผ่ว "เหลือเชื่อจริง ๆ "



    การเมินเป็นการกลั่นแกล้งรูปแบบหนึ่งที่คุณสามารถเจอได้ที่นี่ โดยเฉพาะเมื่อคุณเป็นคนที่ไม่เหมือนกับคนส่วนใหญ่ คุณอาจจะดูเฉิ่มเกินไป ไม่รู้จักธรรมเนียมกลุ่ม หรือไม่...ก็แค่เพราะคุณเป็นคนต่างชาติ


    ถ้าพวกเขาไม่อยากนับคุณเป็นเพื่อนแล้วล่ะก็ ไม่ว่าคุณจะเป็นมิตร เจตนาดี หรือไร้พิษภัยสักแค่ไหน ก็อาจจะโดนหักหน้าให้อับอายกับมิตรภาพที่หยิบยื่นออกไปได้อยู่ดี



    ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในท้องจนรู้สึกปั่นป่วน ภาพเหตุการณ์หนึ่งเริ่มฉายวนอยู่ในหัว ราวกับมีใครไปกดปุ่มเพลย์ เปิดมันขึ้นมาอีกครั้ง



    ประสบการณ์ในการทำงานของผม

    เหตุผลที่ผมย้ายที่ทำงานพิเศษจนมาเจอร้านเล็ก ๆ ที่แสนอบอุ่นนี้



    ความอึดอัดของการเป็น 'คนนอก' ที่ไม่มีใครอยากเสวนาด้วย เหมือนผีตนหนึ่งที่ลอยไปลอยมา ลองริอ่านจะมีตัวตนขึ้นเมื่อไหร่ก็จะกลายเป็นของเกะกะขัดหูขัดตาขึ้นมาทันที แค่จะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือยังถูกมองอย่างไม่เป็นมิตร ถึงแม้ว่าผมจะมีสิทธิทำได้มากเท่ากับคนอื่น ๆ ก็ตาม

    แล้วก็คำ ๆ นั้น...ศัพท์ภาษาระดับกลางที่พวกเขามักจะคิดว่าผู้เรียนชั้นต้นอย่างผมคงไม่เข้าใจ (ผมเองก็หวังให้เป็นแบบนั้น) เพราะเมื่อรู้ความหมายไปแล้ว มันก็ก่อให้เกิดความรู้สึกอะไรมากมายจนเกินไป



    'น่ารำคาญว่ะ'


    เมื่อเข้าใจก็ย่อมรู้สึก...แต่ผมกลับไม่รู้ ว่าเมื่อรู้สึกแล้วควรจะทำยังไงต่อ ที่ผ่านมาผมไม่เคยตอบสนองอะไรกลับไปได้เลย นอกจากทำหน้าตายเหมือนฟังไม่ออก เหมือนไม่รู้ ไม่เข้าใจ




    "มีอะไรรึเปล่า?" เสียงของหัวหน้าที่เดินเข้ามาสมทบฉุดผมออกจากความทรงจำ ผมเห็นเพื่อนหันไปเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง เมื่อมาถึงเรื่องการเมิน หัวหน้าก็หันมาหาผม ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่าไหวหรือเปล่า เขารู้เรื่องนี้ดี เพราะผมบอกไปตอนสัมภาษณ์งาน ในคำถามที่ว่าทำไมถึงอยากย้ายจากที่ทำงานเก่า


    ผมเงียบอยู่นาน ลังเลว่าควรจะโกหกเพื่อให้ดูดี หรือยอมรับอย่างคนขี้แพ้ แต่อย่างน้อยก็อาจได้สบายใจและได้ระบายมันออกไปบ้าง


    เพียงอาจจะเท่านั้น แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะพูดความจริง


    '...ผมรับความรู้สึกเหล่านั้นไม่ไหวอีกต่อไปแล้วครับ'



    ผมรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอที่มอบความกล้าให้ผมในวันนั้น เพราะตั้งแต่เหตุการณ์ในครั้งนั้น ผมก็รู้ตัวมาตลอดว่าจิตใจผมอ่อนแอเกินกว่าจะยอมรับความจริงในข้อนี้ได้ ผมถูกสอนว่าผู้ชายต้องเข้มแข็ง ต้องสู้ ต้องไม่แพ้ การจะมายอมรับในความไร้ศักยภาพแบบนี้มันทำให้อีโก้ของผมพลุ่งพล่าน รู้สึกเจ็บใจจนแทบจะกัดลิ้นตาย และอับอายเกินกว่าจะกล้าพูดความจริงให้ใครฟัง

    แต่พอถึงจุดหนึ่ง ผมก็เริ่มสงสัย...เป็นผู้ชายแล้วเสียใจไม่ได้หรือ ผู้ชายมีความเป็นคนน้อยกว่า หยดน้ำตามันขมน้อยกว่ากันหรือยังไง

    แต่การที่ได้มารู้จักกับร้านข้าวกล่องนี้ทำให้ผมเปลี่ยนไป หัวหน้าไม่เคยมองว่าความอ่อนแอเป็นเรื่องน่าอาย ตรงกันข้าม...เขาบอกว่ามันเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนถึงความเป็นมนุษย์ในตัวผม เหมือนเงาที่ทอดตัวไปบนพื้นเมื่อโดนแดดส่อง ถึงแม้จะดำทะมึนไม่น่ามองแต่ก็เป็นหลักฐานว่าผมเป็นคน ผมมีตัวตนอยู่จริง ๆ และไม่ได้เป็นภูตผีอย่างที่เคยเปรียบตัวเองให้เขาฟัง

    เพื่อนร่วมงานใจดีที่นี่ค่อย ๆ ดึงผมออกจากกรงในจิตใจทีละน้อย ความรู้สึกผิดจากการเป็น 'คนอื่น' ในทุกที่ที่ผมไป ซึ่งเป็นสิ่งที่แก้ไขอะไรไม่ได้และต้องพยายามทำใจให้ชิน แต่ผมก็ไม่เคยคิดฝันว่าจะต้องมาเป็นพยานรู้เห็นในเหตุการณ์ที่ตัวเองอยากจะหนีไปให้ไกลแบบนี้เลย



    ผมควรจะทำยังไง?



    เหตุการณ์ตรงหน้ายังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ผมคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว ได้แต่ปล่อยให้ดวงตารับภาพเหล่านั้นเข้ามา และรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างในตัวผมถูกฉีกออกไปอย่างช้า ๆ ทีละชิ้น ทีละชิ้น




    ผมควรจะทำยังไง?




    ปล่อยให้มันเกิดขึ้น และจบลงแบบเดียวกับเรื่องราวของผมเหรอ?




    ...ทำอะไรสักอย่างสิพาสคาล ยื่นมือออกไป ทำอะไรสักอย่าง




    "ผม-- " เสียง ๆ หนึ่งลอดออกมาจากปากของผม เบาหวิว ไร้น้ำหนัก และปราศจากการกลั่นกรองจากสมอง

    "ผม-- จะไปเติมชา"



    ผมหันไปหยิบเหยือก แล้วเดินอ้อมเพื่อไปยังประตูกลบานเล็กที่ใช้กั้นบริเวณระหว่างหน้าร้านและหลังร้าน

    ไม่มีใครพูดอะไร ที่หลังร้านนี้มีเพียงเสียงรองเท้าคู่โปรดของผมย่างเหยียบกระทบกับพื้นไม้





    ...กับเสียงหัวใจที่เต้นรัว จนแทบจะระเบิดทะลุคอของผมออกมาอยู่แล้ว


                                        ?   ?   ?
  • "ฉัน...คงต้องไปแล้วล่ะ"



    กึก



    เสียงของหญิงสูงวัยคนนั้นดังขึ้นในที่สุด แหบพร่าไร้ชีวิต ต่างจากคนที่เอ่ยคำสวัสดีตอนที่เดินเข้าร้านมาเมื่อราวหนึ่งชั่วโมงก่อนราวกับคนละคน


    เท้าของผมหยุดอยู่กับที่ ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ในมุมฝั่งตรงข้ามกับเคาน์เตอร์สั่งอาหาร โต๊ะที่เห็นจึงเป็นเป็นคนละมุมไปด้วย


    จากตรงนี้ ผมเห็นเพียงด้านหลังของเธอ จึงไม่อาจรู้ได้ว่าสีหน้าตอนที่พูดนั้นเป็นยังไง


    เด็กผู้หญิงคนนั้นเงยหน้ามองเธอลุกขึ้นยืน หยิบผ้าพันคอออกมาพันใหม่ และจัดเสื้อคลุมให้เข้าที่ แววตาเศร้า ๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกแย่กว่าเดิม



    "ฉันมีนัดตรวจสุขภาพน่ะ คนแก่ก็มีโรคประจำตัวกันเป็นธรรมดา"

    "มันคืออะไรเหรอคะ?" เด็กหญิงถาม เสียงดูไม่มั่นใจ

    "ฉันป่วยน่ะจ้ะ ก็เลยต้องไปหาหมอ" น้ำเสียงที่ดูเหมือนร่าเริงนั่น ฟังดูฝืนเฝื่อนอย่างปิดไม่มิดเลย

    "เดิน...ทางดี ๆ นะคะ"

    "...ขอบคุณนะ"



    แล้วผมก็เห็นเธอหยิบกระเป๋า คว้าถุงใส่กล่องอาหารที่กินเสร็จแล้วเดินไปยังเคาน์เตอร์



    "ขอบคุณสำหรับอาหารนะคะ"

    "ขอบพระคุณครับ โอกาสหน้าแวะมาอีกนะครับ" เสียงนุ่ม ๆ ของเพื่อนผมดังขึ้นที่อีกฟากของตู้ไม้ที่ใช้แทนที่กั้นแบ่งทางเดิน



    ผมยืนอยู่ในตรอกเล็กแคบที่มีเพียงประตูกลบานเล็กตรงกลางขวางกั้น รอจนผู้หญิงคนนั้นเดินออกจากประตูร้านไป และความเงียบทิ้งตัวลงมา ทำให้บรรยากาศในร้านหนาหนักขึ้นอีกครั้ง



    "น่ารำคาญเนอะ"



    เสียงหวานของหนึ่งในสองสาวชุดสูทดังขึ้น ผมตัวชา รู้สึกเหมือนอวัยวะหยุดทำงานไปชั่วขณะ แต่ผมไม่อาจแยกแยะได้ว่ามันคืออะไร ความโกรธ ความกลัว หรือความเสียใจ



    "ชวนคุยอยู่นั่นแหละ ดูไม่ออกรึไงว่าไม่อยากคุยด้วย"

    "เลยกินไม่อร่อยไปด้วยเลย"

    "ขอบคุณที่เหนื่อยนะคะ" พวกเธอหัวเราะคิกคัก



    "แล้วคนนี้ยังกินไม่เสร็จอีกเหรอ?"

    "นั่นสิ แต่เมื่อกี๊คุณป้าคนนั้นก็พยายามจะแนะนำอยู่นี่นะ"

    "มาจากประเทศอะไรนะ?"

    "ฉันไม่ได้ฟังหรอก ทำไมต้องรู้จักด้วยล่ะ"

    "ดูวิธีกินนั่นสิ"



    ผมเห็นพวกเธอเหล่มองเด็กหญิงคนนั้นราวกับมองอะไรสักอย่างที่แปลกประหลาด หัวเราะและวิจารณ์อย่างไม่ปิดบัง ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ พวกเธอจะมองปลาไหลสวนลายจุด ตัวซาลาแมนเดอร์หายาก หรือตุ่นปากเป็ดด้วยสายตาแบบเดียวกันหรือเปล่า


    เด็กหญิงคนนั้นค่อย ๆ เบือนสายตาไปมองทั้งสองคนโดยที่หัวแทบไม่ขยับเลย ทั้งสองคนสะดุ้งเล็กน้อย



    "เธอว่าเขาฟังเราออกมั้ย?"

    "ไม่มั้ง-- ไม่ออกหรอก เมื่อกี๊ยังถามป้าคนนั้นอยู่เลยนี่ว่าโรคประจำตัว 'คืออะไร' "

    "อึดอัดเหมือนกันนะแบบนี้ เฮ้อ นี่ฉันมาทำอะไรที่นี่กันแน่นะ~? "

    "ฮ่า ฮ่า ฮ่า อะไรของเธอเนี่ย~" เด็กสาวผมสั้นในชุดสูทสีดำหัวเราะเสียงดังเมื่อเพื่อนของเธอแกล้งทำหน้าย่นแล้วเอนตัวไปซบไหล่



    "ดูสิ มองอะไรอีกแล้วก็ไม่รู้"

    "นั่นสิ ก็มากินข้าวคนเดียวนี่เนอะ"

    "มีเพื่อนรึเปล่าก็ไม่รู้นะ"



    แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะ พลางมองไปยังเด็กหญิงด้วยสายตาล้อเลียน



    ...มีสิ...



    เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจ



    ...ไม่ว่าเขาจะต่างจากพวกเธอแค่ไหน แต่เขาก็เป็นคนเหมือนกัน เขาจะต้องมีเพื่อน มีคนที่รัก และมีครอบครัวที่รอให้เขากลับไปเหมือนกันแน่ ๆ ...



    แต่ในสถานการณ์แบบนี้ การจะย้ำเตือนตัวเองถึงความจริงในข้อนี้มันยากแค่ไหน ผมเองก็รู้ดี



    "คุณพาสคาล" เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างอ่อนโยน ใบหน้าของหัวหน้าเลื่อนเข้ามาสู่กรอบสายตา

    "ชาหายเย็นหมดแล้วล่ะ" เขากล่าว ริมฝีปากระบายยิ้มอ่อนจาง

    ผมลดสายตาลงมองเหยือกน้ำที่ยกค้างอยู่ในระดับอก น้ำชาสีแดงยังคงมีอยู่ค่อนเหยือกตามเดิม แต่เวลานี้ หยดน้ำสีใสที่เกิดจากการสัมผัสกับอุณหภูมิภายนอกกำลังไหลลงไปตามแรงโน้มถ่วง หยดลงบนพื้นไม้และรองเท้าผ้าใบคู่โปรดของผมช้า ๆ ทีละหยด



                                                                ปุ



                             ปุ



                                              แปะ





    "ผม--"



    "ไปเก็บเถอะนะ พยายามได้ดีแล้วล่ะ"



    "ครับ" เสียงแหบปร่า ฟังประหลาดเหมือนไม่ใช่เสียงของผมเลย




    ที่หลังเคาน์เตอร์ ไม่มีใครพูดอะไรเมื่อผมกลับเข้ามา เพื่อนกับรุ่นพี่ละสายตาจากงานมามองนิดหน่อยแล้วหันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ผมเอาเหยือกกลับไปเก็บในตู้แช่เย็น แล้วเดินไปพักที่เคาน์เตอร์ เท้าแขนทิ้งน้ำหนัก โดยหันหลังให้กับทุกอย่าง



    พาสคาล

    ไอ้คน-- ไอ้ขี้ขลาด...





    "นี่— นี่! ท่าทางเขาจะกลับกันแล้วล่ะ" เสียงของเพื่อนผมดังขึ้น เขาจ้องมา แต่เมื่อเห็นผมมองกลับไปโดยไม่ขยับเขยื้อนและไม่พูดอะไร เขาก็ถอนหายใจ วางมีดที่กำลังซอยกะหล่ำปลีในมือ แล้วเดินไปยืนส่งลูกค้าที่เครื่องเก็บเงินแทน



    "ขอบคุณนะคะ อาหารอร่อยมาก ๆ เลยค่ะ"



    พวกเธอพูดอย่างร่าเริง เสียงถุงพลาสติกดังแสกสากแผ่วเบา



    "ขอบพระคุณมากครับ" เพื่อนผมรับเสียงเข้ม



    จากนั้นก็มีเสียงลมที่พัดเข้ามาเมื่อประตูบานเลื่อนถูกเปิดออก และความเงียบที่ตัดฉับลงมาอีกครั้ง เพื่อนผมเดินกลับไปประจำที่ แต่เปลี่ยนไปหมักเนื้อไก่แทนที่จะซอยกะหล่ำปลีต่อ กลิ่นซอสหอม ๆ เจือด้วยกลิ่นขิงและพริกไทยทำให้ใจของผมสงบลงเล็กน้อย



    กึก


    ฟึ่บ ๆ





    "อ้าว เด็กคนนั้นก็จะกลับแล้วล่ะ" ผมหันไปมองหน้าเขา มองมือที่หุ้มด้วยถุงมือพลาสติกที่กำลังนวดเนื้อไก่หมัก แล้วจึงเดินกลับไปประจำที่หน้าเคาน์เตอร์ของตัวเอง


    เด็กผู้หญิงคนนั้นเดินมาหาผม ยื่นถุงพลาสติกที่ใส่กล่องอาหารมาให้โดยไม่พูดอะไร



    ฟุ่บ~



    ถุงใบนั้นทิ้งน้ำหนักตัวลงตามปริมาณของอาหารที่ยังคงเหลืออยู่ด้านใน ผมเงยหน้าขึ้นมองเธออีกครั้ง


    แววตาที่ดูเหมือนเก็บซ่อนเรื่องราวและความรู้สึกเอาไว้มากมายแต่กลับไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว


    แววตาที่ผมเคยบอกว่าดูแล้วรู้สึกอึดอัด


    สุดท้าย มันก็อาจจะเกิดจากเรื่องราวและความรู้สึกอย่างเดียวกันก็ได้นะพาสคาล




    "อาหารอร่อยมากเลยค่ะ" เธอพูดเสียงเบา ขยับยิ้มออกมาบาง ๆ ถึงแม้ว่าตาจะไม่ได้ยิ้มไปด้วยก็ตาม


    "ขอบพระคุณมากครับ" ผมตอบกลับ "ไว้โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ"




    เธอผงกหัวเบา ๆ เป็นเชิงรับรู้ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากร้านไป และเมื่อลมหอบใหม่พัดมา เศษใบไม้ที่หน้าร้านก็เริ่มขยับปลิวตามไปอีกครั้ง



    “ดูใบไม้พวกนั้นสิ” เสียงทุ้มของหัวหน้าดังขึ้นด้านหลัง ทั้งดังและกังวานผิดปกติเมื่ออยู่ท่ามกลางบรรยากาศหนักอึ้งที่ตกค้างอยู่ในร้าน ผมหันไปมอง เห็นเขายกชาเหยือกใหม่มา เตรียมแช่เย็นสำหรับแจกลูกค้าในรอบถัดไป “ฤดูใบไม้ร่วงยังมาไม่ทันถึงแท้ ๆ “




    “ใบไม้โดนลม ยังไงสักวันก็ต้องร่วงครับ” ผมพูด เริ่มรู้สึกวูบหวิวอย่างประหลาด เหมือนเป็นตัวเอง แต่ก็เหมือนไม่ใช่ในเวลาเดียวกัน "แล้วใบไม้เกะกะ สุดท้ายก็ต้องโดนกวาดทิ้ง"


    เพราะโลกนี้ก็มีลมอยู่ทุกที่ พัดกระแทกใบไม้ให้ปลิดปลิวไปตามใจ โดยไม่สนว่าสุดท้ายใบไม้เหล่านั้นจะตกลงพื้น ถูกเหยียบย่ำ หรือโดนกวาดทิ้งไปอย่างไร


    หัวหน้าเงียบไป เขามองหน้าผมนิ่ง ๆ แล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับไปเอาชาเข้าตู้เย็นต่อ


    "ก็ไม่เสมอไปหรอกคุณพาสคาล"


    "..."


    "บางครั้งใบไม้ที่ร่วงลงมาก็มีความงดงามในแบบของมัน แล้วก็สร้างความรู้สึกดี ๆ ให้กับคนที่พบเห็นได้เหมือนกันนะ"


    "..."


    "อย่าลืมทิ้งขยะด้วยล่ะ" เขาเพยิดหน้ามาที่ถุงในมือผม แล้วเดินกลับเข้าหลังร้านไป



    ผมเปิดถุงพลาสติกออก เตรียมเทอาหารที่เหลือทิ้งแล้วจะได้แยกขยะ



    แซ่ก ๆ



    ด้านในมีกล่องข้าวที่ปิดฝาไว้อย่างเรียบร้อย มีกระดาษโน๊ตแผ่นหนึ่งวางอยู่บนนั้น มุมและขอบมีรอยยับอยู่ประปราย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตัวหนังสือที่เขียนด้วยหมึกสีดำนั้นจางลงเลย






                        - ขอบคุณสำหรับน้ำชาถ้วยนั้นค่ะ -





    น้ำชาถ้วยนั้น...

    หมายถึงชาที่ผมไม่ได้ออกไปเทงั้นเหรอ...

    ความพยายามที่สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยใครหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย...




    เห็นด้วยเหรอ…?




    ผมเดินออกจากเคาน์เตอร์ เดินไปยังโต๊ะกินข้าว ลากเก้าอี้ออกมานั่ง มองกระดาษขอบยับสีเขียวอ่อนที่อยู่ในมือ แล้วมองเลยไปยังตรอกเล็กแคบที่มีไฟสลัวส่องอยู่จาง ๆ หากมีใครสักคนยืนอยู่ตรงนั้น คงดูราวกับผีในหนังสักเรื่อง


    เสียงน้ำหยดดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่ได้หยดลงบนรองเท้าผ้าใบของผม


    และผมก็รู้สึกโชคดี...ที่ไม่ได้มีใครอยู่ด้วยกันตรงนั้น




                                            - จบ -
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in