ในบทนี้
ผู้เขียนขออุทิศให้กับเหล่าคนที่อยากรัก แต่กลับตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน .
.
.
เด็กน้อยของผม
แต่ไหนแต่ไรมา เธอเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยรัก เธอได้รับความรักและมีรักล้นปรี่อยู่เต็มหัวใจ มากมายจนไหลล้นไปถึงคนที่อยู่รอบข้าง เธอสดใสและอบอุ่นอยู่เสมอ
.
.
.
เด็กน้อยของผม
ในวันใดวันหนึ่ง เธอได้ตกหลุมรักใครอีกคนเข้า เขาเป็นคน ๆ หนึ่งที่เธออยากรัก และปรารถนาดี อยากให้เขาได้สัมผัสกับความรักที่ดีงามเช่นเธอ
.
.
.
เด็กน้อยของผม
ผมเองคือคนที่คอยดูอยู่เสมอ และเห็นเธอเต้นรำอยู่กับเงา เจ้าของเงานั้นสนุกและเพลิดเพลินไปกับรักที่เธอมีให้ หากแต่ตัวเขานั้น ไม่พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่แสงตะวันเพื่อมายืนอยู่ข้างเธอ
เขาจึงกล่าวกับเธอว่า…หากเธออยากอยู่กับฉัน จงมาสลับข้างกัน เธอมาอยู่ในที่ของฉัน และให้ฉันไปอยู่ในที่ของเธอ เธอจะได้รู้และเข้าใจ ว่าฉันคิดและรู้สึกเช่นไร มาเถิดนะ เพราะฉันก็อยากรักเธอเช่นกัน และเมื่อถึงวันหนึ่งที่ฉันพร้อม ฉันจะกลับเข้าไปในถ้ำนั้น และไปอยู่ข้างเธอ เราจะได้อยู่ด้วยกัน และฉันจะกอดเธอไว้ กอดให้แน่นและเนิ่นนาน
.
.
.
เด็กน้อยของผม
ผมเองคือคนที่เฝ้ามองเธอหันหลังให้กับแสงตะวัน ลงสู่ถ้ำลึกที่ทั้งมืดมิดและหนาวเย็น เมื่อแรก เธอตื่นเต้นนัก สนุกกับความรู้สึกเยียบเย็นอันแปลกใหม่ และด้วยความอบอุ่นในหัวใจของเธอ เธอก็ได้ก่อกองไฟเล็ก ๆ ไว้ในถ้ำแห่งนั้นเพื่อคลายหนาว เขาที่เห็นดังนั้น ก็ประหลาดใจ ทั้งยังหัวเราะสนุกสนานกับความน่ารักของเธอ เขาอยากเล่นด้วย จึงเริ่มขยับเต้น เกิดเป็นเงาบนกำแพง เด็กน้อยของผมไม่เคยเห็นเงาดำมืดเช่นนี้ มันแปลกใหม่จนชวนให้ยิ้มและหัวเราะออกมา เธอขยับตามไปด้วย เต้นโลด เริงระบำอยู่กับเงาบนผนังถ้ำที่เย็นแสนเย็น เมื่อเธอหนาว เขาที่เธอรักก็โยนเสื้อกันหนาวเข้าไปให้เธอ เมื่อกองไฟเล็กที่เธอก่อขึ้นจะมอดดับ เขาก็โยนฟืนลงไปให้ และเมื่อเธอหิว เขาก็โปรยเศษขนมปังลงไป เพื่อให้เธอรับประทาน
.
.
.
เด็กน้อยของผม
ผมเองคือคนที่เฝ้ามองเธอ และเสียใจนัก กับสิ่งที่เขาทำ
และเมื่อถึงวันหนึ่ง เขาที่เธอรักก็ได้หลงลืมไปว่าเธออยู่ตรงนั้น ในที่ที่เขาเคยอยู่ ในที่ที่เขาขอให้เธอเดินไป และบัดนี้ เขาผู้ขยับตนมาอยู่ในแสงสว่าง และอิ่มเอิบไปด้วยความอบอุ่นแห่งแสงอรุณและความรักแล้วก็ไม่ปรารถนาจะกลับไปอยู่ในที่มืดมิดแห่งนั้นอีก ทั้งยังกลัวตัวเองจะสูญเสียจุดที่ตนยืนอยู่ไปด้วย จึงไม่คิดจะขยับไปไหนหรือทำอะไรอีกเลย
ในวันใดวันหนึ่ง กองไฟน้อยที่อยู่ในถ้ำก็ขาดฟืน และมอดดับไป เด็กน้อยของผมติดอยู่ในความมืดมิดและหนาวเย็น เธอร้องเรียกเขา ถามคำถามมากมาย หากแต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา
.
.
.
เด็กน้อยของผม
ผมเองคือคนที่เฝ้ามองเธอ และเห็นเธอพยายามกอดตัวเองเอาไว้ เสียงกรีดร้องเงียบหายไปแล้วจากลมเย็นที่บาดลึกถึงลำคอในทุก ๆ ครั้งที่เธอเปิดปาก และเมื่อหยดน้ำตาไหลออกจากตาคู่นั้น มันก็เย็นเยียบเสียจนแทบจะกรีดแก้มน้อยทั้งสองข้างออก เพื่อเรียกเลือดสีแดงที่เคยฝาดสวยอยู่ในพวงแก้มนั้นให้หลั่งริน
และบัดนี้ เด็กน้อยของผมก็ตั้งคำถาม
เหตุใดที่แห่งนี้จึงหนาวเย็น เมื่อไหร่เขาจะกลับมา แสงสว่างหายไปไหน เขากอดฉันแล้วหรือยัง ทำไมกอดนี้จึงไม่อบอุ่นเอาเสียเลย
.
.
.
เด็กน้อยของผม
ผมขอถามเธอกลับบ้างได้ไหม?
.
.
.
แต่ไหนแต่ไรมา เขาที่เธอรักนั้นให้เธอแต่เพียงเงา ตัวเขานั้นไปอยู่กับคนอื่นเสียนานแล้ว ร่างเนื้อที่อบอุ่นนั้นอยู่กับคนมากมาย แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่เธอ
แต่ไหนแต่ไรมา เขาที่เธอรักนั้น ยิ้มหัวเราะอย่างร่าเริง มอบสิ่งดีงาม และก้อนขนมปังอวบอ้วนให้กับคนมากมาย แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่เธอ
แต่ไหนแต่ไรมา เขาให้เธอเต้นรำอยู่กับเงาของเขา ท่ามกลางความมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด และกองไฟกองน้อยที่เธอเองเป็นคนก่อมันขึ้นมา
เด็กน้อยของผม
.
.
.
เหตุใดเธอจึงสงสัย ว่าทำไมอ้อมกอดแห่งเงานี้จึงไม่อบอุ่นเอาเสียเลย?
และเด็กน้อยของผม
.
.
.
เธอจะทนกับความหนาวเย็นนี้ไปได้อีกนานเท่าใด?
.
.
.
เธอที่เป็นเพียงเด็กน้อยของผม เป็นเด็กน้อยในสายตาของผม
.
.
.
เมื่อไหร่ที่เธอพร้อม…ก็กลับออกมาเถอะนะ ออกมาหาผม ออกมาสู่แสงตะวัน
.
.
.
ผมสัญญาว่าผมจะกอดคุณไว้
ไม่ให้ต้องรู้สึกหนาวเย็นอย่างนี้อีกเลย
*****
นักเขียนขอเล่า
เนื้อหาในบทนี้แต่งขึ้นภายใต้คอนเซปต์ “ความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน” ที่นำมาประกอบกับแนวคิดปรัชญา “อุปมาเรื่องถ้ำ” (Allegory of The Cave) ของเพลโต ที่เขียนไว้ในหนังสือ The Republic เล่มที่ 7 ค่ะ
”อุปมาเรื่องถ้ำ“ นี้ เป็นคอนเซปต์ที่ชวนให้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นจริง (Reality) ความรู้ (Knowledge) ฯลฯ ของเรา ว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่เรารู้, สิ่งที่เราคิดว่าเรารู้, และสิ่งที่เรายึดถือว่าเป็น “ความจริง” นั้น มัน “จริงแท้“ รึเปล่า
ในอุปมานี้ เพลโตบอกว่า ชีวิตในสังคมของเราทุกวันนี้ ก็เหมือนคนที่ถูกขังเป็นนักโทษในถ้ำมาตั้งแต่เกิดค่ะ เราถูกล่ามไว้กับกำแพงที่หันหน้าเข้าผนังด้านหนึ่งของถ้ำ และบนกำแพงก็มีไฟอยู่กองหนึ่ง ทุกวันจะมีคนถือสิ่งของต่าง ๆ เดินผ่านหลังกองไฟ ทำให้เกิดเงาบนผนังถ้ำที่นักโทษมองอยู่ เงาพวกนี้คือสิ่งเดียวที่นักโทษได้เห็นมาตั้งแต่เกิด เขาไม่มีความรู้อื่น ดังนั้นจึงเชื่อว่านี่เป็น “ของจริง” และเริ่มตั้งชื่อให้กับเงาเหล่านั้น
จนวันหนึ่ง มีนักโทษคนหนึ่งหลุดจากพันธนาการได้ เขาเดินออกไปนอกถ้ำ และได้เห็นแสงอาทิตย์เป็นครั้งแรก แสงนั้นสว่างวาบเสียจนทำให้ดวงตาเจ็บปวดและพร่าเลือน และโลกข้างนอกนั่นก็เป็นโลกที่เขารู้สึกเหมือนมองแทบไม่เห็น บิดเบี้ยว และไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง แต่เมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวได้ เขาก็ค่อย ๆ ชิน และเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างที่มันเป็นจริง ๆ ทำให้เขาได้เห็น ได้รู้ ได้มีความสุข และได้เข้าใจอะไรอีกมากมายค่ะ (ที่จริงมีเล่าต่อด้วยค่ะ ว่าเขาได้กลับเข้าไปในถ้ำ พยายามบอกเพื่อนนักโทษว่าเงาพวกนี้เป็นสิ่งไม่จริง แต่ไม่มีใครเชื่อ และเขาก็โดนต่อว่าและดูถูกเสียเองว่าเขาเสียสติและตาบอดไปแล้ว << แต่นั่นเป็นอีกประเด็นหนึ่งซึ่งผู้เขียนจะขอข้ามไป)
แต่ใด ๆ คือ ผู้เขียนคิดว่า คนที่ติดอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน หรือความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic) ก็อาจจะไม่ต่างจากนักโทษเหล่านี้ค่ะ คือบางที เราก็มีคอนเซปต์ของความรักในแบบของเราเอง แบบที่เราคิดว่าดี คิดว่าใช่ จนเรายอมถูกล่ามอยู่ในจุด ๆ นั้นและไม่ยอมออกมา
แต่หากเราลองปลดพันธนาการในหัวใจเราออก ลองเปิดรับความคิดและมุมมองใหม่ ๆ หรือลองขยายขอบเขตความรู้หรือความเข้าใจในเรื่องความรักความสัมพันธ์ดูสักเล็กน้อย ก็อาจจะทำให้เราเห็นอะไรหลาย ๆ อย่างตามความเป็นจริงมากขึ้น เปิดกว้างมากขึ้น และสุดท้ายก็จะสามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองได้ค่ะ
แต่ผู้เขียนก็หวังว่า คนอ่านที่น่ารักของเราจะไม่โทษตัวเองสำหรับประสบการณ์แย่ ๆ ที่ผ่านมานะคะ เพราะเมื่อเริ่มรัก เราต่างก็เป็นเด็กน้อยกันทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่ผิดจนต้องโทษตัวเองเลย
และสุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้ทุก ๆ คนค่ะ หวังว่าทุกคนจะได้พบกับความรักที่ดี ซื่อสัตย์จริงใจ ชวนให้รู้สึกสบายใจ ปลอดภัย และอบอุ่นเมื่อได้สัมผัสนะคะ :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in