อะไรจะตื่นเต้นกว่าการไปพม่า !
เรามองตัวเองว่าแปลกในสายตาคนไทยด้วยกัน เพราะแน็ตไม่เคยไปเที่ยวในแถบ AEC เลย (ไม่นับมาเลเซียกับสิงคโปร์เนอะ) แพลนพม่าล่มไป 3 รอบแล้ว ตอนแรกตามตารางออริจินัลแน็ตต้องไปนิวยอร์คค่ะ คนละมูํดเลยเนอะ พอแลกไฟลท์นี้มาได้ก็ตื่นเต้นมากๆ อารมณ์ว่า ฝันเป็นจริง !
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา บินไปหลายสิบไฟลท์ จนหลังจะพัง นับทริปที่ตื่นเต้นได้อยู่ 3 ทริป
และ การไปย่างกุ้งก็คือ 1 ในนั้น
เริ่มจากการเดินเข้าห้องบรีฟแล้วต้องมองหน้าแต่ละคนว่าใครจะพอเป็น companion จอยทริปเราได้ เพราะตอนนั้นคิดไว้ว่าจะซื้อทัวร์เที่ยวรอบๆค่ะ พอลูกเรือชาวพม่าเดินเข้ามาเราก็เริ่มหยิบโพยที่เราเขียนไว้และตั้งหน้าตั้งตาถามคำถามจริงจัง ยังไม่ทันไร มีคนเดินมานั่งข้างๆ แล้วก็บอกกับเราว่า Can I join you? I'm going wherever you go ! อยากอธิบายหน้าตานางว่า นางดูตื่นเต้นกว่าเราอีก หน้าเค้าเอเชียนะ แต่ภาษาอังกฤษสำเนียงไม่ใช่เอเชีย สรุปว่านางก็บอกตอนแนะนำตัวว่า "I am Japanese- Australian." โอเค ถือว่าข้อสงสัยตัดไป การแนะนำตัวก็ดำเนินไปเรื่อยจนถึงลูกเรือฝรั่งผมน้ำตาลคนนึง "I am from the US but Iam Korean-American." เหวออไปอีกกกก เพราะไม่มีความเหมือน ไม่มีความคล้าย (ต้องสังเกตดีๆ) เอมิเรตส์มีเรื่องที่ทำให้เราคิดไม่ถึงตลอดแหละ :)
ทริปนี้เราได้อยู่ย่างกุ้ง 48 ชั่วโมง แต่แยกเป็น วันเว้นวัน งงม่ะ ? อ่านไปก่อน เด๋วจะหายงงเองแหละ
วันที่ 2 สิงหา เราออกจากดูไบด้วยไฟลท์ EK 388 ตั้งแต่ 9:27 น. ไปถึงย่างกุ้งตอน 17:37 น. ใช้เวลาบินโดยประมาณ 5 ชม. 5 นาที ที่ระดับความสูง 39,000 ฟุต (มีความประกาศบนเครื่องไปอีก 55) ก็นั่นแหละค่ะ กว่าจะผ่าน immigration รับกระเป๋าขึ้นรถบัสไปถึงโรงแรมก็ประมาณทุ่มกว่าๆ ด้วยความที่บนบัสลูกเรือมี Wi-Fi (เจ๋งป่ะล่ะ !?) นี่ก็ก้มหน้าก้มตาไลน์คุยกะเพื่อนกะฝูงอย่างเดียว ข้างนอกก็ออกแนวฝนเพิ่งหยุด มืดๆ เลยไม่ได้สนใจมองสองข้างทาง พอมาถึงโรงแรม เพื่อนถึงกะถามว่า You didn't see just now. The traffic is so so badddd. เราก็ really ? สำหรับเรา ถ้ามันจะติดชิบหาย มันต้องแบบสามชั่วโมงแยกอโศกไง
ตอนอยู่บนไฟลท์เราคุยกันว่าเราจะไปดูเจดีย์ชเวดากองตอนกลางคืนกันค่ะ แต่เจดีย์ปิดให้ขึ้นชมตอน 21:00 น. คำนวณเวลากันแล้ว ไม่น่าทัน เราก็เลยเปลี่ยนแพลนออกไปหาไรทานกันค่ะ เป้าหมายเราก็ไม่เอาในห้าง ฝรั่งอยากได้ข้างทางกัน สุดท้ายก็ออกไปกัน 7 คน รวม FO น่ารักด้วย (แต่มีภรรยาแล้ว) แน็ตไม่ได้ถ่ายสถานที่มา ตอนนั่งแท๊กซี่กันออกมา สภาพการจราจรคือ เคลื่อนตัวได้เรื่อยๆ เค้าคิด 3,000 จ๊าด ก็คือ 3 ดอลล่าร์ค่ะ (ค่าเงินที่พม่าเรียกว่า จ๊าด หรือ kyat คิดง่ายมาก คือตัด 0 สามตัวข้างหลังออกจะได้ US dollars) เพราะมันเหมือนฟู๊ดคอร์ทแอร์ธรรมชาติต่างจังหวัดแบบนั้นเลย พื้นเป็นคอนกรีต เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนตอนเด็กๆ ที่พม่าเรียก Tea Shop ไปลองหาในกูเกิ้ลได้ จะมีฝรั่งเขียนรีวิวไว้ว่า street food in myanmar เป็นยังไง เมนูอาหารที่ร้านก็มีตั้งแต่ไทยจีนพม่า ชมภาพค่ะ
ซ้าย: Shan Noodle หรือ ก๋วยเตี๋ยวชาน เป็นอาหารจากทางภาคเหนือของพม่า มันคล้ายๆเส้นเล็กแห้งราดซีอิ๊วดำ แต่ของเค้าไม่ใช่ซีอิ๊วดำ อร่อยดี เส้นหนึบกว่าบ้านเราอีก เทเครื่องเคียงด้านขวาลงไปทานด้วยกันจะอร่อยมากก
ขวา: เดอะเฟมัสกรีนทีสลัด หรือแปลตรงตัวก็สลัดชาเขียว แต่หาใบไม่เจอจริงๆ รสชาดบอกไม่ถูก ก็อร่อยไปอีกแบบ แต่มันจะน้ำมันเยอะหน่อยๆ ตอนกินก็เขี่ยน้ำมันออก แต่ texture คล้ายๆส้มตำ มีถั่วปากอ้า กุ้งแห้ง มะเขือเทศ เศษใบชา หาความชาไม่เจอ ถั่วลิสง แปลกดีค่ะ มีพริกแถมมาข้างๆ ซึ่งแน็ตไม่กิน
คนอื่นๆก็สั่ง Prawn Curry อะไรกันไปซึ่งมันไม่ได้น่าตื่นเต้นจนต้องถ่ายขนาดนั้น 55 แต่ว่า เคอร์รี่บ้านเค้าไม่ใช่น้ำกะทิแบบบ้านเรา เค้ามาเหมือนกุ้งผัดเครื่องแกงราดน้ำมันมากกว่า นึกภาพออกเนอะ
จากนั้นเราก็เดินดูรอบๆสักพัก ก่อนจะกลับโรงแรมค่ะ
**ก่อนจะไปตะลุยย่างกุ้งจริงจัง ขอแนะนำสิ่งของที่ควรพกไปสำหรับทริปนี้ค่ะ เนื่องจากตอนนี้เชื้อ H1N1 ระบาด และเวลาไปวัดต้องถอดรองเท้า จับนั่นจับนี่ พม่ายังไม่สะอาดเท่าบ้านเรา (บ้านเราก็ไม่ได้ถึงกับสะอาดเนอะ) ก็ไม่มีไรมากค่ะ เตรียมไปเลย หน้ากากอนามัย ทิชชู่เปียก กระดาษชำระ ทิชชู่เช็ดหน้า อีกสามอย่างที่ไม่ได้อยู่ในรูปคือ ถุงพลาสติกเอาไว้ใส่รองเท้าเวลาไปวัด ซอฟเฟลสเปรย์กันยุง แล้วก็ sanitizer gel ค่ะ แบงค์เค้าเก่าและสกปรกมาก จับเงินเสร็จก็ควรจะล้างมือไม่ก็ฆ่าเชื่อหน่อยดีกว่า และอีกอย่างคือ ช่วงกลางปี ฝนตกทุกวันค่ะ มีเพื่อนบอกว่าพกร่มเผื่อไว้ก็ดีนะ แต่แน็ตไม่มีเลยเอาหมวกแก๊ปไปแทนค่ะ และแนะนำว่า อย่าใส่ sneakers สวยๆไป เสียดายของ นี่หนีบแตะไปเลยออลเดอะเวย์ค่ะ
การแต่งกายเข้าวัด ที่พม่าเค้ายังคง conservative มากๆเรื่องการแต่งกายให้มิดชิดเวลาไปศาสนสถานค่ะ แน็ตว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรจะเคารพสถานที่และเคารพวัฒนธรรมของบ้านเมืองเค้า ขาสั้นกระโปรงสั้นแขนกุดห้ามเข้า ไม่งั้นต้องมีเสื้อคลุมหรือผ้าคลุมไหล่ กระโปรงยาวต้องเลยเข่า ส่วนยีนส์ขายาว ripped ได้ค่ะ แต่อย่า ripped จนเหมือนเพิ่งออกจากป่ามา วันนั้นใส่ ripped jeans เหมือนกัน แต่ไม่เยอะมาก เด๋วจะโพสรูปไว้ให้ดูเป็นตัวอย่างนะคะ**
วั น ที่ 3 สิ ง ห า เจดีย์ชเวดากอง - ติ่มซำ - เจดีย์โบตาทาวน์ไหว้เทพทันใจ
เราออกกันเช้ามากๆเพราะว่า เราอยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ชเวดากองกันค่ะ และอีกอย่างคือคืนนี้เราต้องทำไฟลท์ไปพนมเปญ ซึ่งไม่ว่าจะยังไงเราต้องกลับมานอนก่อนบินค่ะ
จากที่ตอนแรกเราจะซื้อทัวร์กัน ก็กลายเป็นไม่ซื้อแล้วนั่งแท๊กซี่กันแทนค่ะ แท๊กซี่ที่นี่ต่อรองราคาได้ค่ะ มันไม่มีมิเตอร์ หาไม่ยากด้วย ซึ่งคุ้มกว่าซื้อทัวร์ แน็ตไม่ค่อยชอบความทัวร์ชะโงกซะเท่าไหร่ บางที่เราก็ไม่ได้อยากไปขนาดนั้น แพลนเองไปเองดีกว่า แล้วก็โชคดีที่ว่าลูกเรือพม่าเค้าน่ารักมากให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเที่ยวในย่างกุ้งแบบละเอียดเลยค่ะ มันไม่ได้ลำบากอย่างที่คิดค่ะ ถ้ายิ่งมีเวลาเยอะๆ หลงยังไงก็ได้ นี่เที่ยวเองดีกว่าค่ะ
กลับเข้าเรื่องเนอะ เราออกจากโรงแรมตั้งแต่ ตี 5:30 น. ค่ะ คือแต่ละคนยังไม่ตื่นไม่เต็มที่เลย ไปกัน 5 คน น้องพม่าเค้าก็จะไปสวดมนต์ที่นั่นด้วย ค่าแท๊กซี่ 3,000 จ๊าด หรือ 3 เหรียญ ถูกไปอี๊กกกกก จากที่พักไม่ไกลมากค่ะ ไม่เกิน 20 นาทีถึง
First light at Shewedagon Pagoda
น้องพม่าบอกให้พี่แท๊กเค้าพามาลงตรงประตูที่มีลิฟท์ขึ้นไปด้านบนค่ะ ที่นี่เปิดตั้งแต่ ตี 4 ถ้าจำไม่ผิด แต่ปิด 3 ทุ่มอันนี้ชัวร์ค่ะ
ทองล้วนๆตั้งแต่ด้านหน้าเลย
ที่เห็นเป็นกระจกสองแถวอันนั้นคือลิฟท์ค่ะ
ที่นี่เค้ามีทั้งลิฟท์ บันได บันไดเลื่อน อาม่าอากง อาซิ่ม อาอื้ม เข่าไม่ดี ไม่มีปัญหาค่ะ อยากให้ที่เที่ยวในไทยทำแบบนี้บ้างงงงงง จริงๆนะ
พอเราขึ้นบันไดจากรูปเดินไปถึงปากทางจะมี security checkpoint สแกนกระเป๋า สแกนร่างกายนิดหน่อย ถึงตรงนั้นต้องถอดรองเท้าแล้วค่ะ แพงไม่แพงหิ้วขึ้นไปด้วยค่ะ เพราะชเวดากองมีทางเข้าออกหลายทางมาก เราอาจจะไม่ได้ลงมาทางที่เราขึ้นไปก็ได้
จากนั้นก็ซื้อบัตรเข้าชม ค่าเข้าคนละ 8,000 จ๊าด เราก็จะได้เป็นใบกระดาษอิ๊งเจ๊ท พร้อมสติ๊กเกอร์กลมๆ อารมณ์ทัวร์จีนให้แปะไว้ที่เสื้อคนละ 1 ดวง
ไปดูกันดีกว่า ว่าข้างบนเป็นยังไง
(ทุกรูปถ่ายด้วย iphone 7 และไม่ได้ทำลายน้ำไว้ หวังว่าจะไม่ทำนิสัยขี้ขโมยกันนะคะ :D )เดินจนพระอาทิตย์ขึ้น ขึ้นตอนไหนไม่รู้ สรุปไม่ได้ไปยืนดูพระอาทิตย์ขึ้นกันค่ะ ด้วยความที่ ที่นี่ใหญ่มาก มัวแต่เดินชม ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ขึ้นไปถึงข้างบนเหมือนอยู่อีกโลกนึงเลย รูปที่ถ่ายออกมายังคุยกันอยู่เลยว่ามันเหมือนอยู่ในสตูดิโอถ่ายหนังมากกว่าจะเป็นของจริง มันอร่ามและสงบมากๆ คนพม่าเค้าก็จะขึ้นมาสวดมนต์บนนี้กันค่ะ มีตั้งแต่เด็กตัวน้อยๆใส่ชุดนักเรียน ไปถึงวัยรุ่นและ คนเฒ่าคนแก่ เลยค่ะ
อันนี้เป็น ripped jeans ที่ผ่านเข้ารอบค่ะ 555 เพราะตอนแรกที่โรงแรมเค้าบอกว่าถ้าแบบนี้ไม่ได้ จริงๆมีอีกตัวเป็นสีขาว แต่กลัวฝนตก (จริงๆเข้ากะเสื้อมากกว่าด้วย ฮือ) เลยลองเสี่ยงด้วยตัวนี้ดู ผ่านค่ะ ของเพื่อนๆก็ผ่านนะ
แนะนำว่าไปเวลาเช้าๆ แบบแน็ตไปคือดีมากๆค่ะ ถ่ายรูปไม่มีหัว ไม่มีผู้คนที่เราไม่ต้องการในเฟรม เพื่อนคนนึงเค้าเคยมาเที่ยวแล้วรอบนึง แล้วมาตอนกลางวัน เค้าบอกว่า ไม่แนะนำมากๆ น้องจากจะร้อนทรีนส์แล้วยังถ่ายรูปไม่สวยด้วย
เค้าก็จะปูพื้นเขียวๆกันลื่นตามทาง ตอนแรกก็เหมือนนวดเท้า สักพักเจ็บแบบยอมเดินกระเบื้อง แล้วก็เจ็บไปทั้งวันอ่ะค่ะ ขนาดไปทำไฟลท์อีกวันเพื่อนยังบ่นเจ็บฝ่าเท้าอยู่เลย ตลกดี
มหาเจดีย์ชเวดากอง
อากาศก็ครึ้มๆนิดหน่อยแต่ไม่มีฝนค่ะ โชคดีไปอีกหนึ่งเรื่อง แพลนต่อไปของพวกเราก็คืออาหารเช้าค่ะ เรื่องกินเรื่องใหญ่มากกกก 55 เราก็เลยลองถามน้องพม่าว่า เห็นเค้าพูดกันว่าติ่มซำที่นี่ดี นางเลยบอกว่า "โอ้วเยสเยส อิทส์อินเดอะแพลน ไอแอมเทคกิ้งยูกายส์แดร์เอนี่เวย์" น่ารักเนอะะ รู้ใจสายแดก
นั่งพี่แท๊กไป 5 นาที ก็ถึงร้านค่ะ ร้านชื่อ Oriental House โต๊ะใหญ่ๆเรียงราย พร้อมผู้คนที่พร้อมใจตื่นเช้ามาคีบติ่มซำ จุดเด่นของที่นี่คือ เค้าจะเอาทุกอย่างมาเรียงๆไว้บนโต๊ะ ไม่ต้องเอ่ยปากสั่งเลยค่ะ คิดเงินเฉพาะอันที่กิน ไม่ชอบอันไหน ห้ามแตะค่ะ เพราะถ้าเข่งไหนหายไปชิ้นนึงเค้าคิดตังเลย นอกจากนั้นก็จะมีเมนูพิเศษ พวกซาลาเปา ขนมผักกาด บลาๆๆ นอกเมนู อันนี้ต้องสั่งเพิ่ม บางทีก็มี พนง. เดินมาพร้อมกับถาดก๋วยเตี๋ยวหลอดร้อนๆจากครัว ถ้าเราจะเอาก็เรียกได้เลยค่ะ
ทานแปปเดียว อิ่มมาก แบบแน่น ไม่รู้ทำไม ถ้าถามแน็ต แน็ตว่าโชคดีติ่มซำอร่อยกว่า ขอโทษจริงๆ แต่แน็ตชิลล์นะ ถือว่าลองของใหม่ดู ไม่เสียหายอะไร ถูกดี ถูกมากก จำราคาไม่ได้ แต่ถูกแบบเอออเอาเหอะ
ตอนเดินเข้าร้านก็ยังสลัวๆอยู่ พระอาทิตย์เพิ่งขึ้น พอทานเสร็จออกมานอกร้าน จ้าเลย
ชัดเลยทีีนี้ คือชอบมากกกเพราะเหมือนอยู่ต่างจังหวัดบ้านเรา ไม่พลุกพล่าน ไม่วุ่นวาย (เป็นแอร์ไปนานๆแล้วจะ appreciate ความสโลวไลฟ์มากๆค่ะ) พี่แท๊กซี่ก็แบบในรูปเลยค่ะ จริงๆก็มีหลายแบบแต่ส่วนใหญ่ก็แบบนี้แหละ สีนี้เลย Uber ก็เหมือนจะเห็นแว็บๆ เหมือนเห็นรถที่มีสติ๊กเกอร์เขียนว่า Uber ขับผ่าน ใครอยากรู้ว่ามีไม่มี ไปถึงก็ลองไปเปิดแอพกันเนอะ
หลังจากนั้นก็ถึงช่วงเวลาสำคัญที่สุดในทริปนี้ นั่นคือการไป Bo Tah Tauang หรือ โบตาทาวน์ค่ะ น้องพม่าถึงกับถามว่า หืมมมม ต้องไปแบบ อะมัส เลยหรอ เราก็พยักหน้าแบบ ถ้าไม่ได้ไป กูร้องไห้แน่ๆ แต่รอบนี้จาก 5 คน เหลือ 4 ค่ะ แม่นาง เซ้าท์แอฟริกันของเรานอนไม่พอ นางหนีกลับโรงแรมไปนอนก่อน และจากที่น้องพม่าบอกว่าจะไม่ไป น้องพม่าก็ไปกะเราด้วย เย่ !!! มีคนนำทางแล้วววว
เป้าหมายของทุกคนที่มาที่นี่ก็คงหนีไม่พ้นการมาไหว้ เทพทันใจ นี่แหละค่ะ ทริปนี้ถ้าไม่ได้มาไหว้น่าจะร้องไห้เลย
พอไปถึงก็ต้องไปซื้อตั๋ว ชำระค่าเข้า 6,000 จ๊าดค่ะ เจ้าหน้าที่พูดไทยได้ด้วย รัวไทยใส่เลย เวลาอยู่เมืองนอกแล้วได้พูดไทยกับคนท้องถิ่นคือชอบมาก ไม่รู้ทำไม หลังจากนั้นก็จะได้กระดาษอิ๊งเจ๊ทและสติ๊กเกอร์ทัวร์กลมๆเหมือนที่เจดีย์ชเวดากองเลยค่ะ เราก็ติดแอบไว้เพราะไม่ชอบให้ถ่ายรูปเห็น
ที่นี่แน็ตถ่ายรูปไม่ค่อยเยอะค่ะ เพราะมัวแต่ตื่นเต้น 5555 ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เห็นภาพ แต่เอาเป็นว่า ด้านหน้าของสำนักเทพทันใจจะเป็นบ่อเลี้ยงเต่าค่ะ เต่าเยอะน่ารักมากๆ เค้าเลยสร้างเป็นสะพาน เมื่อก่อนสะพานก็ไม่มีหลังคาไม่มีกระจก เด๋วนี้มีหลังคามีกระจก proper มาก น้องพม่าบอกว่าทุกคนกลับมาสร้างให้หมดเลยค่ะ เพราะขออะไรท่านก็ให้หมดเลย ศักดิ์สิทธิ์เนอะ นี่ก็ไม่รอช้าค่ะ เดินเข้าไปคนแรกเลย พอเข้าไปถึงก็จะมีคนมาถาม เรื่องเซตของไหว้บูชาเทพทันใจ เค้าก็มีเซตไว้ให้เลยค่ะ มีหลายราคา ตั้งแต่ 6,000 จ๊าดเป็นต้นไป ถ้าเพิ่มผ้าพันคอก็อีก 1,000 จ๊าดตังหากค่ะ คือแน็ตไม่ค่อยได้ดูว่าเค้าใส่อะไรมาให้ในพานบ้าง เพราะน้องพม่าเค้าก็จัดการให้หมดเลย ที่เหลือก็เป็นส่วนของการไหว้ค่ะ แน็ตก็หาจากพันทิปไปอ่ะแหละว่าเค้าไหว้กันยังไง ได้ความว่า เราจะต้องนำธนบัตรสกุลไหนก็ได้มากกว่า 2 ใบ (หรือจะมากกว่านั้นก็ได้) มาม้วนเป็นกรวยแล้วนำไปไว้ในมือท่าน จากนั้นยกพาน แล้วเอาหน้าผากไปแตะนิ้วชี้ของท่านแล้วก็อธิษฐานค่ะ จากนั้นก็วางพานแล้วเดินวนท่าน 3 รอบ แล้วแน็ตก็เก็บแบงค์กลับมา 1 ใบมาเก็บไว้เพื่อเป็นสิริมงคลค่ะ แต่ป่านนี้หายไปไหนก็ไม่รู้ ฮือออ หาไม่เจอ
plan successed ! แฮปปี้ขนาดไหน มองหน้าแน็ตเลยค่ะ
ด้านข้างก็มีเจ้าแม่กวนอิมและเทพอีกองค์นะคะ แน็ตก็เดินไปไหว้มาเหมือนกัน เพราะบ้านแน็ตนับถือเจ้าแม่กวนอิมด้วยค่ะ แต่นอกใจเทพทันใจแล้ว เรายังได้มีโอกาสสักการะ พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าด้วยค่ะ ด้านในเจดีย์เป็นทองทั้งหมดค่ะ สวยมากๆ
หลังจากนั้นน้องพม่าก็พาไปฝั่งตรงข้าม บอกว่าจะมาไหว้แล้วต้องไหว้ให้ครบ ตรงนี้แน็ตก็ไม่แน่ใจว่า ใช่เทพกระซิบรึเปล่า แต่ตอนไหว้ไม่ต้องกระซิบค่ะ ฝั่งนี้ไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะเพราะตั้งแต่ทางเข้าก็ต้องตกลงเรื่องของไหว้ พอเข้าไปนั่งก็จะมีคนมาขอชื่อ วันเดินปีเกิด แล้วก็สวดมนต์ให้เราค่ะ คือเค้าสวดเป็นภาษาพม่า แน็ตไม่รู้เหมือนกันว่ามันหมายถึงอะไร ตอนเค้าสวดให้เอามือจับพานไว้ เหมือนจะยกแต่ไม่ต้องยกอ่ะค่ะ เหมือนอารมณ์ว่าเราจะถวายพานนี้ให้ท่าน แล้วพอเค้าสวดจบเค้าจะให้เราเข้าไปถวายผ้าพันคอให้กับท่านด้วยตัวเองค่ะ
แพลนเที่ยวในวันนั้นก็จบแค่นั้นค่ะ เพราะต้องกลับไปนอนเอาแรงทำไฟลท์ไปพนมเปญคืนนั้นต่อ แต่เราไม่ได้ค้างพนมเปญนะคะ เป็นไฟลท์ turnaround กลับมานอนที่ย่างกุ้งเหมือนเดิม
เด๋วตอนต่อไปจะพาไปขึ้นรถไฟเข้าเมืองกันเนอะ แว๊บไปชอปปิ้งที่ Bogyoke Market ด้วย
อย่าเพิ่งหนีไปไหนกันนะคะ :D
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in