5.30 AM Garmin ที่อยู่บนข้อมือซ้ายทั้งสั่นและส่งเสียงร้อง
ฉันลืมตาแล้วดีดตัวลุกขึ้นด้วยความเคยชิน เพราะช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาฉันตื่น 5.00 AM ไปวิ่งที่สวนรถไฟเป็นประจำสัปดาห์ละ3 ครั้ง
เดิมทีเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทริปคิวชูฉันก็ตั้งใจว่าจะไปวิ่งที่สวนสาธารณะท่ามกลางอากาศไม่เกิน 20องศาเซลเซียส แต่ด้วยอาการเจ็บเข่าเลยทำให้ต้องพับโครงการไป
เพราะฉะนั้นในทริปนี้ฉันจึงมุ่งมั่นมาก
ฉันลุกจากเตียงโดยไม่อิดออดเลยแม้แต่น้อย ล้างหน้าแปรงฟัน ดื่มน้ำ แกะเจลพลังงานกินเพราะไม่อยากโหลดคาร์บหรือกินอย่างอื่น โบกกันแดดให้ทั่วตัว แล้วหยิบขวดน้ำขนาดเล็กที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
จังหวะที่ก้มลงใส่ถุงเท้าฉันก็วางขวดน้ำลงบนโต๊ะ และก็ลืมหยิบออกจากห้องไปในที่สุด
แต่ไม่เป็นไร เมื่อวานสำรวจดูแล้วตรงอ่าวมีตู้กดน้ำ ยังไงก็น่าจะไหวอยู่แล้ว
ฉันออกจากโรงแรมแล้วเลี้ยวขวาเพื่อเดินวอร์มก่อนจะเริ่มกดนาฬิกาแล้ววิ่ง จากการสำรวจเมื่อวานที่เห็นว่าถนนเส้นนี้มีไฟแดงค่อนข้างถี่ เลยทำให้ต้องหยุดบ่อยกว่าที่คิด แต่ฉันก็พยายามคิดว่า เราไม่ได้เน้นสถิตินะวันนี้ เราแค่ลองวิ่งหาประสบการณ์
ฉันวิ่งเหยาะ ๆ ไปตามสปีดของตัวเอง ไม่เร่งจนเกินไปนัก เพราะรู้สึกว่าความชื้นในอากาศสูง หายใจค่อนข้างลำบาก ตามพื้นก็ยังเปียก ท่าทางเมื่อคืนฝนจะตกล่ะมั้ง
วิ่งมาเรื่อย ๆจนเริ่มเห็นอ่าววิคตอเรีย ร่างกายเริ่มต้องการน้ำพอดี ฉันเลยวิ่งตรงไปที่ตู้กดน้ำ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมและน้ำหวาน ไม่มีน้ำเปล่า แต่ยังมีเครื่องดื่มประเภทเกลือแร่ให้เลือกแม้ราคาจะสูงกว่ามาก
ฉันหยิบ Octopus ขึ้นมาเตรียมแปะลงบนเครื่องอ่าน มืออีกข้างกดเลือกน้ำแต่ตู้ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆจึงลองกดซ้ำทว่ายังเป็นเช่นเดิม เมื่อลองเพ่งมองดูอีกที เอ๊ะ... มีตัวหนังสือสีแดง หรือคำนี้มันจะแปลว่าหมดนะ
พอดูเครื่องดื่มชนิดอื่น เออ... สงสัยจะหมดจริง ๆ
แต่ไม่เป็นไร ไม่ไกลกันนักยังมีอีกตู้ ฉันเลยวิ่งต่อไปอีกนิด และชะตากรรมของเจ้าตู้นี้ก็ไม่ต่างกัน
มีขายทุกอย่างยกเว้นน้ำเกลือแร่
ฉันยืนเกาหัว เอาไงดีวะเนี่ย เริ่มคอแห้งเพราะกระหายน้ำ ไม่อยากจะฝืนตัวเองมากไป เดี๋ยวเป็นลมขึ้นมาจะยุ่ง เลยวิ่งช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ จนสายตาเหลือบไปเห็น7-11 ฝั่งตรงข้ามถนน
เฮ้ย รอดแล้ว
ฉันวิ่งข้ามสะพานลอยแต่ก็ไม่วายแวะถ่ายรูปรายทาง จนมาถึง 7-11แวบแรกคิดว่าร้านปิดเพราะดูเหมือนประตูปิดเข้ามาครึ่งหนึ่ง แต่พบว่ามันน่าจะเป็นดีไซน์มากกว่า ฉันคว้าน้ำเปล่าเย็นเจี๊ยบขึ้นมา 1ขวดแล้วชำระเงิน ก่อนจะกระดกให้พอชื่นใจแล้วออกวิ่งต่อ
ฉันวิ่งไปตามทางที่ไม่ได้เดินผ่านเมื่อวาน ถนนเส้นนี้ดูจากแผนที่แล้วน่าจะขนานไปกับ Nathan Road แต่ก็ไม่ได้เป็นเส้นตรงเสียทีเดียว ฉันเลยวิ่ง ๆ หยุด ๆ ดูแผนที่ไปด้วยเพราะกลัวหลงไปไกลแล้วไม่มีแรงวิ่งกลับ ระหว่างทางก็เริ่มเห็นพ่อแม่จูงลูกเตรียมไปส่งที่โรงเรียน เห็นเด็กสองคนพี่น้องเดินจูงมือกันข้ามถนน เห็นผู้คนในชุดทำงานเตรียมตัวออกไปเริ่มต้นวันจันทร์
ถ้าฉันอยู่กรุงเทพป่านนี้ก็คงอาบน้ำแต่งตัว เตรียมออกไปทำงานเหมือนคนอื่น ๆ ที่เห็นอยู่ตอนนี้
ในที่สุดฉันก็วิ่งกลับมาเจอNathan Road จึงวิ่งตรงไปเรื่อยๆ จนสายตาเริ่มเห็นป้ายโรงแรม เมื่อพลิกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาพร้อมคำนวณในหัวว่าถ้าข้ามถนนไปตอนนี้เลยน่าจะไม่ครบ5K เลยวิ่งต่ออีกสักหน่อยจนครบ
พอเห็นเลข5 ขึ้นบนหน้าปัดกลม ๆ ก็รู้สึกดีกับตัวเองว่าวันนี้เราทำสำเร็จไปแล้ว 1 อย่าง
ฉันขึ้นลิฟต์กลับมายังชั้น5 แล้วเข้าห้องพัก ดูนาฬิกาอีกทียังไม่ 8โมงเลย Mido Café ที่เล็งเอาไว้ว่าจะไปกินอาหารเช้าก็เปิดตั้ง9 โมง
ฉันเลยอาบน้ำแต่งตัวอย่างเอื่อยเฉื่อย รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ใช้เวลาสิ้นเปลือง แต่ก็ไม่รู้จะรีบไปทำไม ก็เรามาพักผ่อนนี่นา
พอใกล้9 โมง ฉันก็ออกจากห้องพักแล้วเดินทอดน่องไปยังด้านหลังของโรงแรม มองเห็น MidoCafé เปิดประตูรอลูกค้าซึ่งแตกต่างจากเมื่อวาน ฉันเดินตรงขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง มองเห็นลูกค้าที่นั่งอยู่ก่อน 2 โต๊ะ ท่าทางหนึ่งในนั้นจะเป็นกลุ่มคนไทยแต่ก็คุยกันเงียบๆ ตามปกติ ส่วนอีกโต๊ะดูแล้วน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย
NIKON FE + FUJI COLOR 400 JAPAN
ฉันเลือกโต๊ะริมหน้าต่างตรงมุมของร้าน เลือกอาหารเช้าแบบเบสิคสุด ๆคือแซนวิชกับชาร้อน นั่งรออยู่ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ ขนมปังปิ้งกรอบ ๆ ร่วน ๆ หล่นลงเต็มกางเกง ส่วนชาเป็นชานมแบบที่ไม่หวาน ฉันว่าอร่อยดี
แต่ก็มีความรู้สึกว่าไม่ได้อร่อยถึงขนาดที่ว่าห้ามพลาด
NIKON FE + FUJI COLOR 400 JAPAN
ท้องอิ่มแล้ว ฉันก็ลงไปจ่ายเงินชั้นล่าง แต่ก่อนจะลงบันไดก็เห็นชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นสองคนเดินขึ้นมานั่ง นักท่องเที่ยวก็มีมาเรื่อย ๆแต่ก็ไม่ได้มากมายอย่างที่เคยเห็นในรีวิวของคนอื่น
ไม่รู้ว่ายังเช้าเกินไป หรือเพราะสถานการณ์ที่ไม่ปกติกันนะ
ระหว่างทางที่จะเดินกลับไปยังสถานีMTR สายตาพลันเหลือบไปเห็นแมวตัวหนึ่งกำลังพยายามไล่จับลูกโป่งสีเหลืองที่กระดอนไปตามถนน สองขาของฉันจึงเลี้ยวเข้ามาในซอยโดยอัตโนมัติก่อนจะกดชัตเตอร์ถ่ายและพยายามจะคุยกับมัน
ฉันรู้สึกถึงสายตาจากฝั่งตรงข้ามเลยหันไปมอง เห็นหญิงชาวฮ่องกงคนหนึ่งส่งยิ้มมาพร้อมกับชี้ไปทางลูกโป่งสีเหลืองใบนั้น น่าจะพยายามสื่อสารกับฉันว่าเจ้าแมวตัวนี้กำลังไล่จับลูกโป่ง ฉันพยักหน้าแล้วส่งยิ้มตอบพลางหัวเราะที่แม้เราจะคุยกันคนละภาษาแต่ก็สื่อสารกันได้(เพราะแมว!!)
เจ้าแมวตัวนั้นมองตามลูกโป่งแต่ไม่ได้ขยับตัววิ่งตามแต่อย่างใด มันมองอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะเลิกสนใจแล้วเดินมาพันแข้งพันขาก่อนจะเดินตรงไปยังชามอาหารที่วางอยู่หน้าร้านอาหาร
แปลว่าขอข้าวหรือเปล่านะ
แต่ดูจากร่องรอยที่อยู่ในชาม มื้อเช้าของเจ้าแมวน่าจะจบลงแล้วล่ะมั้ง
NIKON FE + FUJI COLOR 400 JAPAN
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in