ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขียนไปเขียนมาก็เป็นรีวิวสุดท้ายของชีวิตมหาลัยแล้ว สี่ปีผ่านไปไวแค่พริบตามากๆ แต่ความรู้สึกยังไม่ต่างจากตอนเป็นเด็กปีหนึ่ง เหมือนเพิ่งเข้ารั้วมหาลัย เหมือนยังมีอะไรต้องเรียนรู้อีกมาก (ซึ่งจริง) และเหมือนยังไม่พร้อมจะออกไปไหนจากอักษรเลย แต่ก็ย้ำว่าขอจบเถอะค่ะ T___T ขอไม่อยู่เรียนต่อแล้ว ปล่อยหนูป๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย
จบซีนอารมณ์แล้วก็ขอพูดถึงเทอมนี้บ้าง เป็นเทอมที่จริงๆ ต้องหนักหน่วงมากเพราะภาควิชาอังกฤษเล่นตลกอะไรกับนิสิตไม่รู้ เดี๋ยวปิดวิชานั้น เดี๋ยวย้ายวันสอบวิชานี้ เดี๋ยวรับนิสิตน้อยลง สุดท้ายคือวันสอบวิชาเอกชนกันระนาว ของเราคือวิชาทรานส์ชนกับลิทฟิล์ม ต้องสอบ 6 ชมติดไม่มีพักจุกๆ ซึ่งน่าจะใช้ชีวิตไม่ถึงเรียนจบถ้าเป็นแบบนั้น ในความโชคร้ายของการต้องเปลี่ยนไปเรียนออนไลน์เพราะโควิดก็ยังมีความโชคดีคือตารางเรียนที่ชิลขึ้น ดังนั้นรีวิวนี้จะเชื่อถือได้เพียงช่วงต้นเทอมเท่านั้น แต่ถ้าตัดเรื่องเรียนหนักเหมือนทุกๆ เทอมไปแล้ว เทอมนี้มีแต่วิชาที่โอเค เอนจอย และปิดท้ายชีวิตมหาลัย (hopefully) ได้อย่างน่าพอใจประมาณนึงเลย ไม่มีวิชาไหนในนี้ที่ไม่แนะนำนะคะ! เสียใจแต่ว่าโควิดทำให้ชีวิตการเรียนสบายขึ้นจริงแต่สนุกน้อยลงมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกทั้งที่หลายวิชาแสนจะ promising และบันเทิงตอนเรียนสดๆ กับเพื่อนกับอาจารย์
เริ่มรีวิวจากวิชาที่ชอบน้อย
ที่สุด ไล่เรื่อยๆ ไปจนถึงวิชาที่ชอบมาก
ที่สุด เทอมนี้เรียน 5 ตัว (finally!) วิชาเอกสายสกิล 1 วิชาเอกสายลิท 2 วิชาโท 2
*คำเตือน: รีวิวเป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล และ "...คนที่อ่านรีวิวพึงตระหนักที่ส่วนนี้ แล้วถ้าเชื่อตามนั้นแล้วผลไม่ตรง อย่าโวยวาย ปัจจัยเยอะแยะที่จะทำให้ผลออกมาไม่เหมือนกัน รีวิวจะให้ผลซ้ำได้ใกล้เคียงสุดก็ต้องทำให้ทุกอย่างแทบจะเหมือนกัน...อย่าลืมว่าการใช้รีวิวเป็น inductive reasoning เท่านั้น" (อ.วศิน, 2017)
* รายละเอียดวิชาอาจแตกต่างไปตามปีที่เรียนและอาจารย์ที่สอน
1. Writ Film (เขียนบทหนัง)
เนื้อหาและรายละเอียดคร่าวๆ
✎ Plot และ Treatment บท 1 เรื่อง
✎ เรียนเกี่ยวกับการเขียนบทภาพยนตร์ เน้นที่โครงสร้าง การแบ่งองก์ การดำเนินเรื่องให้น่าติดตาม
การเรียนการสอน
เรียนกับอาจารย์พิเศษที่เชิญมาจากข้างนอก อาจารย์เป็นผู้กำกับและนักเขียนบทมืออาชีพที่ใจดีมากๆ และคอยช่วยเหลือตลอดทั้งเทอม ให้ฟีดแบ็กได้อ่อนโยน (แต่คะแนนไม่อ่อนโยน) แล้วก็ใจกว้าง ให้เขียนบทแบบไหนก็ได้เลย จะเปลี่ยนอีกกี่พล็อตก็ได้ จะส่งวันไหนยังอะลุ่มอล่วยให้อีก วิธีการสอนคืออาจารย์จะให้ลิสต์หนังไปดูแล้วแต่ละคาบมาแยกองค์ประกอบกัน ซึ่งล้วนเป็นหนังดีทั้งนั้นต้องยอมรับ จากนั้นอาจารย์ก็จะเล่าประสบการณ์ ให้แต่ละคนเสนอพล็อต แล้วฟังคำแนะนำกับฟีดแบ็กจากตัวอาจารย์และเพื่อนๆ ที่จะช่วยชี้จุดบกพร่องหรือบางทีก็ตั้งคำถามเพื่อพัฒนาบทตัวเอง
จริงๆ วิชานี้ชิลมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ไม่เคยเรียนวิชาภาคละครที่งานน้อยเบอร์นี้ คือส่งแค่พล็อต จากนั้นก็พัฒนาไปเรื่อยๆ ตามฟีดแบ็ก ส่งอีก พัฒนาอีก ส่งอีก แล้วช่วงท้ายเทอมก็เขียน treatment ที่ไม่ได้แยกเป็นซีนละเอียดด้วยซ้ำ แค่ต้องเขียนพล็อตแบบบรรยายฉากต่างๆ ประมาณ 6-10 หน้า แล้วก็มี assignment ให้ดูหนังเรื่องอะไรก็ได้แล้วมาแยกองค์ประกอบเองให้เพื่อนๆ ฟังครั้งเดียว ซึ่งไม่น่าจะเก็บคะแนน ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
แต่ปรากฏว่าเกรดออกมาแบบจ้อจี้มาก ก็คิดว่าเรียนไปมีพัฒนาการไปนะ แต่ทำไมอาจารย์ทำร้ายกันแบบนี้ y w y งงกันครึ่งค่อนคลาส เหมือนอาจารย์จะมีเกณฑ์ส่วนตัวที่เราไม่รู้ ทำให้คาดเดาไม่ได้เลยว่างานที่ส่งไปตกลงมันโอเครึยัง เพราะส่วนตัวว่าอาจารย์คอมเม้นไม่ได้ละเอียดมากเทียบกับอาจารย์สอนเขียนบทคนอื่นๆ แก้ตามแล้วก็ยังดีไม่พอ
ความคิดเห็นส่วนตัว
❥ ความยาก
แล้วแต่คนและบทที่ตัวเองถนัด เคยคิดว่าเป็นตัวที่ชิลสุดในบรรดาเขียนบททั้งหมด เพราะ process ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย แค่เปลี่ยนจากโครงสร้างบทละครมาเป็นหนังที่ต้องกระชับและมีจุดปังเยอะๆ แต่ข้อจำกัดในการเขียนบทถือว่าน้อยมากเลย เลยรู้สึกเขียนทรีตเมนท์ได้ไม่ยากมาก ยากตอนหาพล็อตที่ไม่ตันและทนอยู่ด้วยได้ไปตลอดทั้งเทอม ส่วนมากเรียนไปเรียนมาก็จะเปลี่ยนพล็อตกันเพราะไปต่อยากจริงๆ แต่พอเกรดออกมาได้ต่ำกว่าที่หวังก็คือต้องคิดทบทวนใหม่เลยอะ ทำไมง่ายกว่าเขียนบทตัวอื่นแต่เกรดได้ยากกว่ามากวะ สรุปได้ว่าเรียนจบคลาสแล้วเราก็ยังจับเกณฑ์อาจารย์ไม่ได้ ท้อแท้เหมือนกัน ยากตรงทำให้ถูกใจอาจารย์ล่ะมั้ง ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
❥ ความชอบ
จริงๆ ชอบอยู่แหละเพราะไม่เคยไม่ชอบวิชาเขียนบท ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ แต่ปัญหาหลักเลยคือวิชานี้ค่อนข้างน่าเบื่ออะ T______T ทุกคาบคือเหมือนเดิม มานั่งฟังเพื่อนๆ เล่าพล็อต เล่าพล็อตตัวเอง รับคอมเม้น แต่ไม่มี exercise น่าสนใจพีคๆ ไม่มีการบ้านให้ฝึกระหว่างเทอม ไม่ได้พัฒนาตัวละครเท่าไหร่ เราเองก็ไม่ค่อยพัฒนาด้วยเพราะมันโคตรจะไม่มีอะไรให้ทำ แรกๆ ก็เพลินดีนะแต่พอเรียนแบบเดิมทุกสัปดาห์ก็เหมือนไม่เข้าก็ได้อะ ค่าเท่ากัน แค่มาอัพเดทความคืบหน้าพล็อตกับแลกเปลี่ยนกันเรื่องหนังที่ได้ดู สิ่งที่ชอบที่สุดคือได้หนังดีๆ เยอะมาก แต่ถามว่าแยกองค์ประกอบหนังสนุกไหม เราว่าไม่ค่อยได้อะไรจากการทำสิ่งนี้ เพราะสุดท้ายปัญหาของเราคือคิดบทไม่อ๊อกกกกกกกกกกกกกกกก
ที่สำคัญไปกว่านั้น... ทำไมหนูเรียนเขียนบทหนังแต่ไม่ได้ลงสคริปต์หนัง แอบโมโหจุดนี้ u___u คืออยากเขียนสคริปต์ ตอนต้นเทอมเหมือนจะได้ทำ พอปลายเทอมแพลนเปลี่ยนซะงั้น แล้วสำหรับคนที่เกลียดการลงทรีตเมนท์แต่ชอบลงไดอะล็อกอย่างเราก็คือผิดหวังและเซ็งไปเลย เชื่อว่าวิชานี้จะสนุกมากๆ ถ้าได้ทำอะไรมากกว่านี้อะ T T
ดังนั้นก็ขอสรุปว่าเป็นเขียนบทที่ให้อะไรน้อยสุดเพราะตัวก่อนๆ ที่เรียนคือพีคมากหมดเลย ในทางกลับกันคือถ้าอยากเรียนเขียนบทสบายๆ ไม่ต้องทุ่มเทมาก (แต่เกรดจะออกมาเป็นยังไงไม่รู้) ก็ต้องลงตัวนี้แหละ
❥ ข้อความสุดท้ายถึงวิชานี้
วิชาที่หักหลังกันเจ็บที่สุดเลย T____T
2. Envi Lit (เอนไวลิท)
เนื้อหาและรายละเอียดคร่าวๆ
✎ สอบมิดเทอมและไฟนอล, 4 reading responses, speaking for animals (speech+essay), group presentation, reflection (speech+essay), envi project report, term paper (5p), mindfulness activities, attendance etc.
✎ เรียนเกี่ยวกับวรรณกรรมสิ่งแวดล้อมที่จะดูประเด็นต่างๆ ของ human and non-human world เช่น anthropocentrism, sense of place, toxicity, climate change (ตอนแรกเราก็คิดว่าจะสนุกยังไงวะแต่ขอยืนยันว่าเนื้อหาดี เนื้อหาแบบที่จะติดตัวเราไปทั้งชีวิต อย่าเพิ่งรีบตัดน้องจากลิสต์วิชาที่สนใจ;__;)
การเรียนการสอน
วิชานี้อาจารย์ดารินทร์สอน ซึ่งอาจารย์เป็นคนที่มีแพชชั่นสูงมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก สูงมากจริงๆ ในการสอนวิชานี้ สร้างสรรค์ด้วย คิดกิจกรรมมากมายมาให้ทำกัน วิธีการสอนจะออกนอกกรอบกว่าวิชาลิทปกติ คือ 70% เป็นเลกเชอร์กับดิสคัสแหละ (อจสอนเร็วมากกกก เนื้อหาหนักหน่วงเน้นๆ ต้องตั้งใจฟังและจดตลอดไม่งั้นจะหลุดแล้วหลุดเลย มันสำคัญทุกช่วง) แต่มีกิจกรรมแปลกใหม่อื่นๆ อย่างเช่นนั่งสมาธิด้วยกัน เดินสำรวจธรรมชาติในมหาลัย ทำควิซต้นไม้ โรลเพลย์เป็นสัตว์มาพูด speech ฯลฯ คือถ้าเห็นกิจกรรมที่ทำในคลาสจะต้องตกใจอะเพราะมันดูไม่ใช่การเรียนวิชาลิทเลย ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ ได้ออกเดินทั่วมหาลัย ล้อมวงอ่านกลอน คือรู้เลยว่าอาจารย์ทุ่มเทในการคิดกิจกรรมต่างๆ มาให้นิสิตมากๆ และอาจารย์ก็พร้อมจะสร้างบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองให้นิสิตไม่เครียดแม้เนื้อหาวิชาจะหนักหนาสาหัสรากเลือด แหะๆ .___.
อ่านเยอะมั้ย ตอบเลยว่ามาก! เพราะเอาแค่หนังสือที่เรียนเป็นหลัก อ่านไปสอบ ก็มีแล้วจุกๆ 3 เล่ม 200+ ไปจนถึง 300+ หน้าเรียงกันไปเลย ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ ที่สบายหน่อยคือได้ดู Ponyo หลังจากนั้นมีเรื่องสั้นอีก 3 เรื่องใหญ่ๆ (ยาว!!!) แล้วก็มีกลอนอีกแต่ไม่ออกสอบ แต่สรุปคืออ่านเยอะมากกกกกกกกกกกกก อ่านกันแบบตายได้เลย คำแนะนำคืออย่าลงวิชานี้ในเทอมที่มีลิทหนักๆ อีกตัว เช่นพวก 19c ไรงี้ ยกเว้นเป็นสายฮาร์ดคอร์ ;___;
ในส่วนของงาน ขอตะโกนดังๆ ว่า เยอะมาก! เยอะมากๆๆๆๆๆ เยอะมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ที่สุดที่เคยเจอมาในวิชาลิท ไม่คิดเลยว่าเราต้องทำอะไรมากมายขนาดนี้ในวิชาเดียว เขียนมากกว่า 8 เอสเสกับวิชาเดียวอะ งานกลุ่มก็หนักนะเพราะต้องแบ่งพาร์ทนิยายกันทำแล้วพรีเซ้นแบบตอบคำถามที่อาจารย์แจกให้แต่ละกลุ่ม แถมหลายงานมากทั้งต้องเตรียม speech และเขียนเป็นเอสเสส่งอีก ข้อสอบก็แบ่งเป็น 2 พาร์ทคือ identify quotations ซึ่งแปลว่าต้องอ่านนิยายละเอียดและตั้งใจเรียนในห้องประมาณนึง และพาร์ท essay questions ซึ่งคำถามครอบคลุมและกว้างมากทำให้การจะตอบให้ครบเป็นเรื่องยาก ระหว่างนั้นอจ. ก็จะกระตุ้นให้ทำ 7 minutes a day คือนั่งสมาธิวันละ 7 นาที (สิ่งนี้คือยากที่สุดในคอร์ส ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕) และต้องทำโปรเจคที่จะช่วยอนุรักษ์โลกไปด้วยตั้งแต่ต้นถึงจบเทอมเพื่อมาเขียนรายงานผลเป็นเอสเสอีกเหมือนกัน ส่วน term paper จริงๆ ตอนไป consult กับอจ. มันก็ดูจริงจังมากเหมือนกันแต่เพราะเขียนมาเยอะทั้งเทอมเลยกลายเป็น 5 หน้าสบายๆ ไปเลย u _ u
ความคิดเห็นส่วนตัว
❥ ความยาก
ถ้าจากตัวเนื้อหาถือว่าไม่ยาก เพราะอาจารย์ใจดีมากและสอนเก่ง อาจารย์พร้อมจะ guide ให้ตั้งแต่เรื่องแรกจนเรื่องสุดท้าย ซึ่งแต่ละเรื่องก็ดีเลยนะ ค่อนข้างเอนจอย ตั้งแต่ Ishmael, Animal Dreams, Animals' People (รักเรื่องนี้มาก), Ponyo แล้วสิ่งแวดล้อมมันอยู่ใกล้ตัวเราอะ ทฤษฎีอาจารย์ก็ไม่ได้เน้นหนัก เน้นที่วิเคราะห์เรื่องกับประเด็นที่สื่อ ดังนั้นเทียบกับลิทหลายๆ ตัวแล้วตัวนี้ถือว่าไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากนิดนึงคือการสอบแล้วตอบคำถามให้ครบโดยไม่ freak out เนื่องจากโจทย์อาจารย์กว้างและเวลาตอบทีต้องตอบแบบทุกสิ่งที่เรียนมา ประเคนให้อาจารย์งี้ ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ ยากจะทำได้ในเวลาอันน้อยนิดที่ให้มามากๆ แล้วตอนไฟนอลเปิดหนังสือได้เพราะอยู่ที่บ้าน ก็ไม่ได้เปิดเลยเพราะสุดท้ายแค่เขียนยังจะทำไม่ทัน เอสเส 2 ข้อ ฮือออออออออออออออออออออออออ
อีกสิ่งที่อาจจะถือได้ว่ายากคืองานมันเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอย้ำอีกทีว่าเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ดังนั้นการจะทำทุกอย่างให้ทันคือท้าทายพลังลมปราณเหมือนกัน แถมอาจารย์ชอบให้เพื่อนๆ พรีเซ้นเนื้อหาหนังสือทั้งเล่มก่อนค่อยเรียน เท่ากับว่าถ้าได้ทำงานกลุ่มเรื่องนั้นต้องอ่านจบก่อนเรียนจริงไวมากๆๆๆๆ เพื่อให้เตรียมพรีเซ้นทัน โชคดีที่อาจารย์ใจดี ถ้าฉุกเฉินมากจริงๆ อาจารย์ก็ยอมเลื่อนให้ได้คาบนึงอะไรงี้ ;__;
❥ ความชอบ
เป็นวิชาที่ขึ้นแท่น recommended เลยอะ เพราะในเวลาสี่ปี วิชานี้น่าจะเปลี่ยนมุมมองเรามากที่สุดแล้ว จากคนที่ไม่ได้อินกับสิ่งแวดล้อมมากในตอนแรก ตอนนี้คือรู้สึกผิดทุกครั้งที่จะหยิบถุงพลาสติกหรือใช้หลอด หรือซื้อน้ำโดยไม่ได้พกมาเอง คือวิชานี้ทำให้เราตระหนักในการกระทำของมนุษย์มากขึ้นและได้เหตุผลว่าทำไมเราถึงควรจะหยุด มันไม่เหมือนเวลาเราอ่าน ads แล้วรู้สึกว่าเห้ยโลกร้อนนี่ไม่ดีเลย วิชานี้ให้มากกว่านั้นทั้งผ่านหนังสือทั้งผ่านกิจกรรม วิชานี้ทำให้เรารู้ที่มาของการกระทำทั้งหมดของมนุษย์ที่ต้องย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์และรู้ว่าจะหยุดมันยังไง เป็นวิชาที่เปิดโลกให้เราเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจและมีหวังในมนุษยชาติมากขึ้น ดังนั้นเนื้อหาวิชานี้ถือว่าสำคัญมาก แบบทุกคนบนโลกควรได้รู้อะจริงเพื่อจะได้หยุดทำลายโลกกันสักที วิชานี้ทำให้จิตใจเราอ่อนโยนลง ตอนนี้ offended กับการมองว่าสัตว์ต่ำกว่ามนุษย์มากด้วย เพราะวิชานี้ทำให้เราได้คิดสิ่งที่มองข้ามมาตลอดคือเรื่อง animality and humanity ว่าคนกับสัตว์ต่างกันยังไง ทำไมคนถึงทรีตสัตว์ต่างกว่า ทั้งหมดมันมาจากการที่มนุษย์มองตัวเองเป็น center หมดเลย แค่นี้เลยจริงๆ
เราชอบกิจกรรมที่อาจารย์เลือกมาให้ด้วย อย่างการได้สมบทบาทเป็นสัตว์ออกไปพูดทำให้เราได้เปิดหูเปิดตาไปกับข้อมูลที่เพื่อนๆ หามา วันนั้นร้องไห้ปาดน้ำตากันไปหลายคนเลยเพราะความโหดร้ายของมนุษย์ต่อเพื่อนร่วมโลก กิจกรรมเดินในมหาลัยก็สนุกกว่าที่คิดเพราะอาจารย์เตรียมกิจกรรมเซอร์ไพรส์มาให้เล่นกับเพื่อน ที่จริงวิชานี้ถือว่าเรียนสนุกเลยแหละ เว้นแต่คาบเลกเชอร์บางคาบที่ถ้าไม่ได้ดิสคัสกันเยอะก็จะง่วงๆ เผลอหลับเพราะเนื้อหานิยายบางเรื่องก็ง่วงจริง ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
สรุปแล้ว ความพีคของวิชานี้ไม่ได้อยู่ที่เรียนสนุกมากแต่อยู่ที่มันเปลี่ยนเราได้ เราก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันแต่มันเหมาะกับคำว่า life changing ที่สุดแล้ว เปลี่ยนเราจากคน ignorant เป็นคนที่มี awareness ตลอดเวลาว่าเรากำลังทำร้ายโลกหรือช่วยโลกอย่างไรบ้าง เห็น connection ระหว่างตัวเองกับโลกมากขึ้น เห็นความสำคัญของ love and kindness มากขึ้น มันช่วยขัดเกลาจิตใจเราเยอะมากและอาจารย์เองก็ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนจิตใจคนเรียนมากๆ ด้วย ผลที่ได้เลยออกมา practical ทุกคนเปลี่ยนพฤติกรรมกันหมด ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ ซึ่งจริงๆ ไปๆ มาๆ คะแนนก็ไม่ได้สำคัญเท่าเราได้อะไรกลับมาอะเนอะ และวิชานี้ก็ให้เรามากกว่าที่คาดเยอะเลย เสียอย่างเดียวงานหนักไปหน่อย แง้
❥ ข้อความสุดท้ายถึงวิชานี้
The world is made of a web of relationships and we all share energy ค่า/ พับไมค์
3. Sing Theatre (ซิงเธีย)
เนื้อหาและรายละเอียดคร่าวๆ
✎ สอบร้องเพลงมิดเทอม (ประสานเสียง) และไฟนอล (ร้องเดี่ยว), attendance
✎ เรียนเกี่ยวกับการร้องเพลงเบื้องต้น ฝึกหายใจ ฝึกออกเสียง ฝึกการไล่เสียง ประสานเสียง และร้องเดี่ยว ฝึกอ่านโน้ต ฝึกหูในการฟังเพลง ฯลฯ
การเรียนการสอน
เป็นวิชาปฏิบัติอีกตัวของภาคละครที่ขึ้นชื่อว่าน่าเรียน อาจารย์ใจดี ก็เลยลองลงดู ถือเป็นการเรียนร้องเพลงครั้งแรกของเราเลย โชคดีที่ครูเข้าอกเข้าใจ ไม่เร่งรัดบีบคั้น ค่อยๆ ไปด้วยกันทีละขั้นตอน วิธีการเรียนคือหลังจากแยกเสียงเป็นโซปราโน - เทเนอร์ กันเสร็จแล้ว ก็จะยืนล้อมเป็นวงตามกลุ่มเสียงของตัวเองแล้วฝึก exercise ต่างๆ เช่นฝึกหายใจด้วยท้องด้วยกัน ฝึกไล่บันไดเสียงขึ้นลงจนคล่อง ฝึกเก็บลมหายใจไว้ที่ท้องไม่ปล่อยอากาศตอนพูด ฯลฯ จากนั้นเริ่มร้องเพลงด้วยกัน โดยต้นเทอมจะเรียนการประสานเสียง ดังนั้นต้องจดจ่อสมาธิกับพาร์ทของตัวเองและตัวโน้ตมากๆ เพื่อไม่ให้สมาธิวอกแวกตอนร้องด้วยกันจริง หลังมิดเทอมเป็นการร้องเดี่ยว ซึ่งโชคร้ายที่เจอโควิดทำให้ต้องเปลี่ยนไปเรียนแบบคอลไลน์แทน ไม่สนุกไม่เอนจอยเหมือนตอนได้เจอหน้ากัน แต่ใครที่ชอบร้องเดี่ยวมากกว่าประสานเช่นเราก็จะสบายใจมากขึ้นหน่อย แต่พออาจารย์เปลี่ยนมานัดสอนเดี่ยว เรียนตัวต่อตัว ก็คือเรียน exclusive จนน่ากลัวเลยค่า u__u
อาจจะมีความน่ากลัวนิดๆ ตรงครูลุคเป็นอาจารย์ภาคละครที่เก่งมากกกกกกกกกกกกกก คือแม้จะเรียนด้วยกันทั้งคลาส แต่ก็รู้สึกเหมือนครูลุคจับเสียงเราออกแล้วคอมเม้นตรงจุดเสมอเลย แต่ครูลุค supportive และยิ้มตลอดทำให้รู้สึกกล้าที่จะร้องเพลง มักจะให้พลังบวกกับเราด้วยว่าเสียงของพวกเราทุกคนเพราะแล้ว ไม่ต้องไปดัดแปลงมัน รักมัน มีความสุขกับการร้องเพลง ดังนั้นเวลาเจอหน้ากันแล้วร้องเพลงด้วยกันคือสนุกมากกกกกกกกกก เพราะได้ปลดปล่อยพลังเสียงเต็มที่โดยไม่มีใครมานั่งจับผิดว่าร้องเพราะมั้ยวะ เพราะทุกคนมาเพื่อเรียนเพื่อพัฒนาแล้วก็ได้รับฟีดแบ็กกันไปแบบเท่าเทียม ๕๕๕๕๕๕๕๕ สรุปคือเป็นวิชาร้องเพลงที่ไม่หนักมาก เพราะนอกจากเรียนในห้องและสอบ ก็ไม่มีงานอะไรให้หนักใจเลย แต่! แต่ช่วงที่นัดเดี่ยวยังต้องฝึกซ้อมตลอดเพราะอาจารย์จะคอยอัพเดทดูพัฒนาการเราเสมอ อาจารย์จะเน้นเรื่องพัฒนาการมากกกกกกก อาจารย์บอกว่านี่แหละคือจุดที่จะคิดคะแนน ไม่ใช่ได้เกรดเพราะร้องเพราะแต่เป็นได้เกรดตามการพัฒนาเรียนรู้หลังจากอาจารย์สอนไป
ความคิดเห็นส่วนตัว
❥ ความยาก
การร้องเพลงยากอยู่แล้วสำหรับเรา ตอนร้องประสานยากตรงที่พอได้คีย์ตัวเองแล้วไปรวมกับคนอื่นคือเพี้ยนยับเลย ไม่กล้าคิดว่าตอนสอบเสียงตัวเองจะแย่แค่ไหน u ___ u เป็นวิชาที่ต้องกล้ารับฟีดแบ็กประมาณนึงด้วย แล้วเวลาสอบชอบเกิดแพนิคแบบร้องถึงตรงไหนแล้ววะ ขึ้นเสียงยังไงนะ สรุปคือช่วงร้องคอรัสยากมากอยู่สำหรับเราเพราะเวลาสอบอาจารย์จะแยกแบบโซปราโน 1 คน อัลโต้ 1 คน ฯลฯ แปลว่าเวลาสอบมีเราร้องโน้ตโซปราโน่คนเดียว พอมีเสียงคนอื่นๆ มากลบก็ความมั่นใจหดหาย ลืมไปแล้วว่าต้องร้องเสียงสูงต่ำแค่ไหน ส่วนพอร้องเดี่ยว อาจารย์จะเจาะปัญหาให้เป็นรายบุคคลแล้วก็เลือก exercise ที่เหมาะกับเราไปฝึก ทำให้เจอปัญหาที่ยากเหมือนกันคือเราเป็นคนไม่เก็บลมหายใจและหายใจผิดวิธี และกว่าจะพัฒนาได้ก็คือโดนครูลุคกระตุ้นแล้วกระตุ้นอีก เปลี่ยน exercise อันแล้วอันเล่า มันก็เลยยากตรงมีพัฒนาการให้ครูเห็นและนำความรู้นี้มาประยุกต์ใช้ตอนร้องเพลงนี่แหละ ฮือ
ในส่วนของเพลง เราเป็นคนไม่ถนัดเพลงที่โน้ตแปลกๆ ลงเสียงต่ำเยอะๆ หรือท่อนไหนๆ ก็คล้ายกัน ซึ่งเจอเยอะมากในช่วงคอรัส ดังนั้นต้นเทอมเลยแอบยากกว่าไฟนอล แต่พอไฟนอลจะได้ร้องเดี่ยวเพลงสากลธรรมดา (แต่โชว์เสียงสูงปรี๊ด) กับเพลงไทย (ที่เอื้อนหนักมาก) ซึ่งก็ต้องฝึกเยอะเช่นกันแต่อย่างน้อยที่สุดก็ไมี่ใช่เพลงภาษาละตินโบราณที่ร้องยากเหมือนช่วงแรก แง
แต่คิดในแง่ดีคือแม้เนื้อหาจะดูเหมือนยาก แต่การเรียนการสอนกลับสนุกมากกกกกกกกก ไม่เครียดไม่กดดัน (ครูลุคพูดตลอดว่าถ้าเครียดจะร้องเพลงไม่ออก) แล้วสิ่งสำคัญคือฝึกฝนและพัฒนา ที่แม้เราจะทำส่วนนี้้ได้ไม่ดีเท่าไหร่ก็ยังรู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีและหาที่อื่นไม่ได้อีกแล้ว แนะนำเลย
❥ ความชอบ
เป็นวิชาที่แปลกใหม่สำหรับเราและดีใจที่เลือกวิชานี้มาปิดชีวิตเด็กโทนะ หาโอกาสสัมผัสการเรียนร้องเพลงยากมากกกกกกกกกกกกกจนประทับใจที่ได้มาเจอวิชานี้และลองเองสักทีหลังได้ยินรีวิวจากเพื่อนๆ ที่เรียนมิวสิคัลเธียเตอร์มาว่าครูลุคสอนดีมากกกกสอนเข้าใจ ซึ่งก็จริง เราว่าครูลุคทุ่มเทกับทุกคนมากๆ และให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์เสมอ ระหว่างที่ร้องเพลงก็มีความสุขดี (ถ้าไม่นับตอนเจอตัวต่อตัวที่เกร็งตลอด y - y ) และบรรยากาศคลาสเป็นกันเอง สบายๆ ได้พลังบวกเสมอ ประสบการณ์ตอนร้องเพลงฟังเสียงเปียโนก็เลยสนุ๊กสนุก คลายเครียด ไม่ต้องอ่าน ไม่ต้องทำการบ้าน เปลี่ยนบรรยากาศจากเอกอิ๊งได้ดีสุดๆ แล้วตอนท้ายเทอมคือถือว่าได้อะไรเยอะมากเลยในด้านการร้องเพลง ต่อไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อนจะได้โชว์สกิลกักลมหายใจทำให้ลากเสียงได้ยาวๆ แล้ว ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
❥ ข้อความสุดท้ายถึงวิชานี้
เพลงจากคลาสติดในหัวไปตลอดกาลมากๆ (...)
4. Trans T-E II (ทรานส์ไทยอิ๊งสอง)
เนื้อหาและรายละเอียดคร่าวๆ
✎ 2 tests, สอบไฟนอล, quizzes, group project (translation + editing), assignments, group presentation, trans evaluation
✎ เรียนการแปลจาก text ไทยหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นข่าว บทความ นิยาย ประกาศ หนังสือธรรมะ นิตยสาร ฯลฯ รวมถึงทฤษฎีการแปลต่างๆ และการแก้งานแปล
การเรียนการสอน
วิชานี้สอนโดยไมเคิล คุณพ่อที่รักยิ่งของทุกคนในเอก T v T ดังนั้นวิธีการเรียนไม่มีเบื่อเลย ไมเคิลเก่งมากกกกกกในการหา text ยากๆ มาให้แปล ในคาบนึงมักจะได้ทำทั้งบทความยาวๆ ที่ไมเคิลให้เป็นการบ้านรวมถึง unseen texts ที่ไมเคิลเอามาเซอร์ไพรส์ให้แปลเลยเดี๋ยวนั้นแล้วสุ่มเรียกนิสิตออกมาพรีเซ้นเวอร์ชั่นที่ตัวเองแปล บางทีก็ให้ทำเป็นกลุ่มหรือคู่ แล้วก็ดิสคัสแลกเปลี่ยนกันในห้องว่าคนอื่นใช้ word choices ยังไงหรือเข้าใจต่างกันตรงไหน ทำให้ได้ฝึกและพัฒนาเยอะมากๆ เพราะการบ้านเยอะมากกกกกกกกกกกกก งานในห้องก็เยอะมากกกกกกกกกกกก แต่เรียนกับเพื่อนเป็นกลุ่มใหญ่ๆ แล้วสนุกมาก ตัว text ก็ท้าทายไม่ธรรมดาสักอัน ทำให้บรรยากาศคลาสสบายๆ เอนจอย เป็นกันเอง ไมเคิลก็ใจดีและตรวจกับแจกฟีดแบ็กคืนไวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกดังนั้นทั้งเทอมจะได้เห็นคะแนนและการพัฒนาของตัวเอง
ประทับใจความหลากหลายของงานที่ได้แปล วีคแรกๆ แปลกฎการใส่เครื่องแบบนิสิต วีคต่อมาแปลประวัติอาหารไทยและแผงลอย วีคต่อมาแปลบทความแฟชั่นผ้าบูติกเจแปนนิสอะไรก็ไม่รู้ วีคต่อมาๆ เป็นบทความเกี่ยวกับการเมืองและอำนาจรัฐ ส่วนนิยายคือเป็นนิยายชชฟุ้งๆ ที่แปลยากเย็น ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ แต่ถามว่าสนุกมั้ยคือสนุกสุดๆ ปรึกษากันตาแตกทั้งคลาส แต่ไมเคิลเปิดกว้างมากว่าไม่มีการแปลที่ผิดหรือถูก ดังนั้นจึงเป็นการแปลที่อิสระมากกว่ารูปแบบแพทเทิร์นที่เคยเรียนมา
ส่วนงานคือสาหัสทั้งเทอม มีงานทุกวีค ส่งคาบต่อคาบ หรือบางทีก็ทำไปแต่ไม่ได้ส่งแต่ต้องทำเพราะไมเคิลสุ่มถาม สอบค่อนข้างเยอะ เวลาก็น้อย เวลาสอบจะมีส่วนที่ไมเคิลให้อ่านมาก่อนและส่วนที่ไม่เคยเห็น แต่ไมเคิลจะให้เปิดหาศัพท์หาอะไรได้ตั้งแต่ก่อนโควิดมาแล้ว ทฤษฎีแปลที่ต้องอ่านไปพรีเซ้นคือเข้าใจยากและสูบพลังมาก ระหว่างเทอมก็ต้องหาตัวอย่างการแปลมาวิเคราะห์และประเมินเป็นเอสเสส่งไมเคิลด้วย แต่ที่หนักที่สุดคือโปรเจคแปลกลุ่ม 3-4 คน คือต้องหาบทความ เรื่องสั้น หรืออะไรก็ได้ที่สนใจความยาวประมาณ 10 หน้ามาแปลส่งและพรีเซ้นในคลาสถึงปัญหาและการตัดสินใจที่เกิดขึ้นในกระบวนการ บอกเลยว่าขลุกอยู่กับโปรเจคแปลนานมาก เหนื่อยมาก คอลกับเพื่อนเกิน 10 ชม. จนสมองล้า งานตัวเองยังไม่เสร็จก็ต้องไป edit และให้ฟีดแบ็กงานเพื่อนต่อเพราะไมเคิลจะให้แต่ละกลุ่มจับคู่แล้วแลกงานกันตรวจเพื่อให้ได้ฟีดแบ็กรอบนึงก่อนส่งไมเคิล ดังนั้นนี่เป็นวิชาสายสกิลที่หนักหนาประมาณนึง มากกว่าวิชาแปลตัวก่อนๆ แต่ขณะเดียวกันก็สนุกกว่ามากด้วย
ความคิดเห็นส่วนตัว
❥ ความยาก
แปลไม่ยากแต่แปลให้ดีเท่าเพื่อนๆ นั้นยาก ;____; เชื่อว่าตัวเนื้อหาคือแปลกันได้ 70% แหละแต่มันจะสะดุดบางประโยคที่หาภาษาอังกฤษที่เก็บความตรงเป๊ะไม่ได้ ไม่ก็ต้องนั่งทำความเข้าใจนาน ช่วงเรียบเรียงให้เป็นภาษาสไตล์ของ text คือยากสุดเลย เพราะเราคุ้นชินกับแพทเทิร์นมากแต่พอมาเจอ text ที่อิสระกว่านั้นอย่างพวกบทความจากนิตยสาร เราก็ไม่รู้จะใช้ภาษายังไงให้อ่านออกมาแล้วได้เอฟเฟ็คเดียวกันกับเวอร์ออริจินัล แต่ถ้าไม่ได้คิดมากเรื่องเกรดจะดีเท่าคนอื่นมั้ย ยังไงก็คิดว่าไม่ยากไม่หนักหนาเกินไป เพราะสุดท้ายแล้วงานส่วนมากเป็นงานกลุ่ม มีเพื่อนให้ปรึกษาและพัฒนาไปด้วยกัน ไมเคิลก็ใจดีและช่วยเหลือเต็มที่ ถ้าผ่านวิชาแปลตัวอื่นๆ มาแล้วตัวนี้ก็น่าจะผ่านได้เหมือนกัน แต่สำหรับเราข้อสอบก็ถือว่ายาก ถ้าอยากจะทำให้ดีตามที่หวังและทำให้ทัน;__; โดยเฉพาะพาร์ทประวัติศาสตร์ สารคดี อะไรไทยๆ นี่เราแบบขอบายตลอดกาล
❥ ความชอบ
วิชานี้สนุกทั้งเนื้อหาและคลาสเลย ชอบความครีเอทีฟช่างสรรหาของไมเคิลที่ลงท้ายทำให้เราได้แปล text พีคๆ ที่ท่าทางจะอ่านง่ายๆ เบาๆ แต่แปลยากจนเหลือเชื่อ หรือนิยายโรแมนซ์ชชบางเรื่องที่ทำให้รู้เลยว่าภาษาบรรยายเวิ่นเว้อนี่แปลยากแค่ไหน แต่เพราะมันท้าทายและคลาสให้พลังบวกกันตลอด วิชานี้เลยสนุกและได้อะไรกลับมาเยอะมากแบบทรานส์ตัวก่อนๆ เทียบไม่ติดเลย เสียดายที่โควิดทำให้ต้องเรียนผ่าน Zoom แทนเลยไม่แฮปปี้เท่าเรียนแบบเจอหน้าและทำงานร่วมกัน แต่ก็อยากแนะนำให้ลงสักครั้งในชีวิต 4 ปีเพราะว่าเหมือนได้ลงสนามจริง ไม่ได้เรียนแปลไปเพื่อสอบ แต่เรียนแปลเพื่อรู้จักประยุกต์ ปรับตัว ดิ้นไปตาม text มากกว่าจะเดินตามคีย์เฉลยอย่างที่วิชาแปลตัว 1 ทั้งหลายสอนเรามา
❥ ข้อความสุดท้ายถึงวิชานี้
รักไมเคิลมาก ใครไม่รักพ่อก็ออกไป - said by one of my friends
5. Literature and Film (ลิทฟิล์ม)
เนื้อหาและรายละเอียดคร่าวๆ
✎ attendance (ตอบคำถาม ดิสคัส), assignments, research topic presentation, research paper, 2 assigned texts for reading *ปกติวิชานี้จะมีสอบไฟนอลด้วยแต่เพราะโควิดของปีเราเลยยกเลิกไป เหลือ research paper ที่เพิ่มจาก 5 หน้าเป็น 10p+ (!!!) อย่างเดียว*
✎ เรียนทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับวรรณคดีและภาพยนตร์ รู้จักเปรียบเทียบและวิเคราะห์ข้อแตกต่างของทั้งสองเวอร์ชั่น เรียนแบ็กกราวน์ของประเด็นต่างๆ ในประวัติศาสตร์ที่มีผลต่อวรรณคดีและภาพยนตร์ ดิสคัสสิ่งที่อ่านและดูด้วยกัน ประเด็นเปลี่ยนไปตามปี แต่ของเรามี feminism (Wonder Woman, Doctor X), environment (Princess Mononoke, Mother!), LGBT+ representation (The Price of Salt or Carol)
การเรียนการสอน
อ. วริตตาขึ้นชื่อว่าเป็นตัวแม่ของภาคอิ๊งที่ทุกคนต้องเรียนสักครั้งในสี่ปี ปรากฏว่าอาจารย์ใจดีมากกกกกก สบายๆ เป็นกันเอง สอนสนุก และ supportive สุดๆ ชอบชวนให้ทุกคนร่วมดิสคัส โดยอาจารย์จะคอยรับฟัง คอยชม คอยให้พลังบวก และเสริมอะไรเพิ่มเติมไปให้คิดต่อยอดได้อีก ดังนั้นใครที่ชอบเรียนวิชาที่อาจารย์ปังๆ น่ารักๆ ห่วงใยนิิสิต พลาดตัวนี้ไม่ได้เลย
วิธีการเรียนคือเลกเชอร์ผสมดิสคัสแล้วดูหนังด้วยกันจากนั้นแบ่งกลุ่มดิสคัสออกมาพรีเซ้นหน้าห้อง ในส่วนของทฤษฎีคือเปิดหูเปิดตามากๆ มาหมดทั้งแดริดา ฟูโกต์ รวมถึงทฤษฎีที่แยกตามประเด็นต่างๆ เช่น 4 waves of feminism, the Gaze theory (ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกก ชอบที่สุด เข้ากับยุคสมัยที่กำลังคุยกันเรื่องการถ่ายทอดตัวละครผ่านมุมมองเพศไหน), The Superhero function theory (ชอบมากๆๆๆๆ สำหรับคนที่อินคอมมิคและฮีโร่), และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับ LGBT ในหนังที่ฟังแล้ว mindblown สุดๆ ดู Carol อย่างตั้งอกตั้งใจกว่าที่เคย ส่วน texts ที่อาจารย์เลือกคือดีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น texts หลักที่เราใช้เวลากับมันเยอะหน่อยหรือบทกลอนและเพลงในสมัยนั้นที่สะท้อนอะไรบางอย่างเสมอ ช่วงต้นเทอม texts จะเน้นหนักไปทางเผด็จการหรือถูกรัฐควบคุมด้วย เมามันมาก
ระหว่างเทอมถือว่าไม่หนักมาก เพราะงานค่อนข้างน้อยเลย แค่อ่าน text มาก่อนแล้วมาดูหนังพูดคุยกัน งานจะเริ่มเยอะช่วงท้ายๆ เทอมที่มี assignment (ซึ่งสนุกมากกกก ของปีเราคือให้เขียนแฟนฟิคชั่น ทำโปสเตอร์ หรือตัดต่อเทรลเลอร์ให้หนัง Mother! ว่าหลังตอนจบเกิดอะไรขึ้น) และที่หนักหน่วงสุดคือเปเปอร์ คิดว่าถ้าเป็นการสอบก็คงอ่านตาแตกเหมือนกันเพราะเรียนเยอะและอาจารย์น่าจะคาดหวังสูง (แหะๆ) แต่พอเป็นเปเปอร์ความยากอยู่ที่ต้องกินนอนกับท็อปปิกที่เลือกและปั่นเปเปอร์ให้ทันเดดไลน์ ซึ่ง 10 หน้าถือว่าเยอะมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำจริงๆ แล้วมันเกิน T______T เป็นวิชาที่สบายทั้งเทอมมาระเบิดตู้มตอนท้าย แต่ก็เป็นตัวที่เอนจอยที่สุดในเทอมนี้แล้ว!
ความคิดเห็นส่วนตัว
❥ ความยาก
ยากตรงทฤษฎี u ___ u ยิ่งอาจารย์พูดเร็วไปเร็วพอสมควรดังนั้นหลุดปุ๊บจะหลุดยาวเลย แต่ช่วงหลังๆ ยังดีว่าถึงหลุดอาจารย์ก็อัดเทปไว้ให้ไปย้อนดูได้ แต่ว่าพออาจารย์สอนทฤษฎีจบแล้วก็จะคาดหวังให้เราวิเคราะห์หนังหรือสิ่งที่อ่านไปอย่างเลอเลิศ ประยุกต์ใช้กับทฤษฎีได้ และที่ยากที่สุดคือไม่ซ้ำกัน ต้องไม่ซ้ำกับเพื่อนๆ ตอบไปแล้ว หรือทำไปแล้ว สร้างแรงกดดันให้เราพอสมควร ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ ช่วงดิสคัสเองก็คือเป็น 70% ของวิชานี้ ต้องตอบ ไม่งั้นอาจารย์จะไม่ผ่านไป แต่อาจารย์ยืนยันว่าวิชานี้ง่ายสุดในบรรดาวิชาต่างๆ ที่อาจารย์สอนแล้ว ดังนั้นลงเถอะ เรียนกับหนังมันยังมีความบันเทิงเข้าใจง่ายกว่าทฤษฎีวิชาอื่นแน่ๆ T____T
❥ ความชอบ
ชอบทุกอย่างในวิชานี้เลย เนื้อหาคือดี๊ดี หนังสนุกและเปิดโลก มีแต่อะไรน่าสนใจที่เราไม่เคยเรียน เราชอบที่อาจารย์จัดเตรียม texts มาอย่างดีทั้งที่จะเลกเชอร์เอาก็ได้ แต่อาจารย์ทำให้เราเห็นภาพมากขึ้นด้วยการยกตัวอย่างกลอน เพลง นิทาน อะไรก็ตามที่ capture ประวัติศาสตร์ได้ ทำให้เป็นครั้งแรกที่เรียน feminist waves แล้วไม่เบื่อ หรือรู้สึกอยากจะเรียน LGBT+ movement มากขึ้นกว่านี้ เป็นการเรียนประวัติศาสตร์ที่เน้นเข้าใจมากกว่าท่องจำแล้วมันออกมาคลิกกับเรามากๆ
ส่วนงาน เอาจริงๆ เราเอนจอยกับการทำงานวิชานี้มากแม้จะบ่นอยากตายทุกครั้งที่ทำ ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ เพราะงาน Mother! คือครีเอทีฟกันไม่ไหว บรรยากาศคลาสก็ช่วยเหลือและใจดีต่อกันมากๆ ให้ฟีดแบ็กบวกกันตลอด ส่วนเปเปอร์ เราเลือกทำหัวข้อที่สนใจ คือ Wonder Woman กับ Harley Quinn เลยรู้สึกเหมือนในความหนักก็มีความสนุกท้าทาย เหมือนอ่านคอมมิคเล่น ดูหนังเล่นด้วยบางที ข้อดีคือเปเปอร์วิชานี้ไม่น่าเบื่อเพราะอาจารย์เปิดกว้าง เราจะจับคู่หนังที่เรียนกับหนัง นิยาย บทกลอนหรืออะไรก็ตามนอกห้องเรียนก็ได้ ถ้าคลั่งไคล้อะไรก็แสดงออกได้เต็มที่ ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
สุดท้ายคือชอบ อ. วริตตามาก y___y เป็นหนึ่งในอาจารย์ที่ชอบที่สุดในอักษรเลยเพราะว่าสอนดี สอนสนุก และห่วงใยเด็กแบบสัมผัสได้ถึงแพชชั่นในการเลกเชอร์ของเค้ารวมถึงความใจเย็นในการไปช้าๆ เพราะเด็กไม่ตอบด้วย ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ ฮือ กลายเป็นว่าการเรียนมันดีเพราะได้อาจารย์ดีและตั้งใจสอน ทำให้เราอยากอ่านอยากตอบและตั้งใจตามไปด้วย
❥ ข้อความสุดท้ายถึงวิชานี้
"Theories are just clothes and you should learn to cross-dress" = the best quote ever said by my professor
พอมาถึงบทความรีวิวสุดท้ายแล้วรู้สึกใจหายแวบเลย ไม่รู้ว่ามีคนยังตามอ่านอยู่รึเปล่าแต่รู้สึกผูกพันกับการรีวิวมาก เป็นส่ิ่งที่ต้องทำทุกครั้งที่เรียนจบไปเทอมนึง แค่คิดว่าต่อไปนี้อาจจะเข้าไม่ได้เข้ามาเขียนบล็อกนี้อีกก็รู้สึกโหวงๆ ขึ้นมา แต่รู้สึกว่าทุกครั้งที่ตัวเองเขียนสรุปว่าแต่ละวิชาเป็นยังไงบ้างก็เหมือนได้เติบโตไปพร้อมๆ มันด้วย รีวิวนี้เองก็คงต่างจากรีวิวแรกที่เขียนไปเยอะอยู่ และก็ยังหวังว่าในอนาคตจะได้กลับมาเขียนอะไรอีก เพราะเรามีความสุขกับการเขียนมากเกินกว่าจะหยุด
สุดท้ายนี้ ใครก็ตามที่อ่านอยู่ ถ้ามีคำถาม ข้อสงสัย แล้วเราตอบได้คือยินดีจะช่วยตอบเสมอ คอยให้กำลังใจทุกๆ คนในรั้วอักษรให้มีความสุขกับทุกวิชาที่เลือกเรียนและได้เจอทางที่ใช่ ไม่ทรมานเกินไปกับชีวิตมหาลัย ยังเหลือไฟ เหลือแพชชั่น ที่จะสู้ต่อในอนาคต ขออวยพรให้ทุกคนไม่เสียดายสักวินาทีที่ได้เรียนที่นี่และหวังว่าจะได้อ่านรีวิววิชาจากทุกคนบ้างนะคะ
ไว้พบกันใหม่ค่ะ :-)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in