เป็นไปตามที่คาดนะครับ ทันทีที่ตลาดซื้อขายเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เอซี มิลาน กลายเป็นทีมเศรษฐีกระเป๋าหนักกว้านซื้อดาวเตะไปแล้วถึง 9 ราย คิดเป็นเงิน 172.5 ล้านยูโร
ผู้เล่นหน้าใหม่ของทัพรอสโซเนรี ประกอบไปด้วย อันเดร ซิลวา, อันเดรีย คอนติ, ฮาคาน คัลฮาโนกลู, มาเตโอ มูซัคคิโอ, ริคาร์โด้ โรดิเกวซ, อันโตนิโอ ดอนนารุมมา, ฟร้องค์ เคสซี่ และฟาบิโอ บอรินี โดยบอรินีและเคสซี่จะย้ายมาร่วมทัพรอสโซเนรีก่อนในรูปแบบยืมตัว ก่อนจะย้ายอย่างเป็นทางการในปี 2018/19 และ 2019/20 ตามลำดับ
ส่วนการได้มาของอันโตนิโอ ดอนนารุมมา ไม่มีเหตุผลซับซ้อนใดๆ เพียงแค่ต้องการซื้อใจดอนนารุมมาคนน้อง เพื่อหวังให้อยู่โยงกับทีมต่อไป
แต่ถึงกระนั้นคงไม่มีการซื้อขายใดในกัลโช่ที่จะฮือฮาเท่าการมาของเลโอนาร์โด โบนุชชี เคสของปราการหลังทีมชาติอิตาลีน่าสนใจมากครับ มีข่าวเพียง 2-3 วันเท่านั้น มิลานปิดจ๊อบด้วยค่าตัว 42 ล้านยูโร ทั้งที่มหาเศรษฐีอย่างเชลซีก็อยากได้นักหนา แต่ถอยกรูดเพราะไม่อยากจ่ายเงิน 40 ล้านยูโรให้กับนักเตะวัย 30 กะรัต นั่นจึงทำให้เชลซีหันไปใช้ "แผนสอง" ดึงอันโตนิโอ รือดิเกอร์ร่วมทัพแทน
อันที่จริงมิลานเพิ่งคลายสภาพจากคำล้อเลียนทั้งจากแฟนบอลของตัวเอง และแฟนบอลทีมอื่นว่าเป็น "เอซี มิโลน" มาเป็นมิลานอย่างที่ควรจะเป็นนะครับ เนื่องจากเวลานี้มิลานได้ผลัดเปลี่ยนเจ้าของเดิมจากซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี ชาวอิตาลี มาเป็นหลี่ หยงหง มหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวจีน ในราคา 740 ล้านยูโร เมื่อเดือนเมษายน 2017 ทำให้มิลานกลายเป็นทีมที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกลำดับที่ 13 ตามรายงานของฟอร์บส
ทันที่ที่การซื้อกิจการเสร็จสิ้น มิสเตอร์หลี่ ประกาศเสียงดังฟังชัดว่า ต้องการพามิลานกลับคืนสู่ความสำเร็จ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะได้เห็นนักเตะจำนวนมากตบเท้าเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในสีเสื้อแดงและดำของมิลาน
ต่อให้คุณไม่ใช่แฟนบอลกัลโช่ ก็คงทราบดีที่ผ่านมามิลานอยู่ในสถานะยักษ์หลับ โดยเฉพาะในช่วง 5-6 ปีหลังแทบไม่มีการซื้อตัวระดับซุปเปอร์สตาร์มายังซาน ซีโร่ นักเตะที่เข้ามาใหม่หากไม่หมดสัญญาตามกฎบอสแมน ก็มักใช้วิธีการยืมตัวจากทีมอื่น เห็นได้ชัดว่านี่มันไม่ใช่สัญญาณของทีมที่กระหายความสำเร็จแม้แต่น้อย จะโดนล้อว่าเป็น "มิโลน" ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
อย่างไรก็ตามเท่าที่ตามข่าวมา ผมก็ยังไม่เห็นโครงการระยะยาวใดๆ ที่มิสเตอร์หลี่จะลงทุนร่วมสร้างอนาคตร่วมกับรอสโซเนรี นอกเหนือจากการซื้อขายนักเตะช่วงหน้าร้อน สิ่งที่แฟนมิลานอยากเห็นและอยากทราบความชัดเจนก็มีไม่น้อยนะครับ เช่น การผลักดันอคาเดมีของสโมสรที่ถูกละเลย หรือแผนการสร้างสนามใหม่ที่ทีมเป็นเจ้าของ 100%
(เรื่องนี้คุณผู้อ่านอาจไม่ทราบนะครับ สนามฟุตบอลในกัลโช่หลายๆ สนามที่เรารู้จักกันดี เช่น เดลเล่ อัลปิ, โอลิมปิโก สเตเดียม หรือแม้แต่ซาน ซีโร่/จุเซปเป้ เมอัซซ่า เจ้าของที่แท้จริงคือสภาเมือง หาใช่สโมสรไม่ บรรดาสโมสรในอิตาลีต่างใช้สัญญาเช่าระยะยาว)
ไหนจะเรื่องการผลักดัน “แบรนด์ดิ้ง” เอซี มิลาน ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพราะฟุตบอลสมัยนี้ไม่ได้แข่งขันกันแค่ในสนาม แต่นอกสนามก็ต้องแข่งขัน ไม่งั้นทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, บาร์เซโลนา, เรอัล มาดริด และบาเยิร์น มิวนิค จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าตัวก้อนโต หรือค่าเหนื่อยแพงๆ ได้ล่ะครับ
คราวนี้เรากลับมามองที่การซื้อขายนักเตะที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ดีกว่า อย่างที่บอกไปการลงทุนของมิสเตอร์ หลี่ หยงหงเป็นการลงทุนที่มากที่สุดในรอบหลายปีของมิลาน แต่เมื่อถามคนคุ้นเคยกับรอสโซเนรีอย่างซโวนิเมียร์ โบบัน เพลย์เมกเกอร์คนดังยุค 90s กลับมองว่า การเสริมทัพหน้าร้อนนี้ไม่เข้าตาแม้แต่น้อย (โบบันให้สัมภาษณ์ประเด็นนี้ก่อนมิลานคว้าตัวโบนุชชี)
โบบันพูดมีเหตุผลนะครับ เขาอธิบายว่า นักเตะที่ซื้อมาไม่มีนักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์ ไม่ได้เป็นที่รู้จักของแฟนบอล และยังต้องใช้เวลาขัดเกลาฝีเท้า จึงไม่ใช่การซื้อตัวที่ทำให้มิลานแข็งแกร่งแบบก้าวกระโดดจนกระทั่งขึ้นมาลุ้นแชมป์ได้อย่างเต็มตัว
ในสายตาของโบบัน การต่อสัญญากับจานลุยจิ ดอนนารุมมาต่างหาก คือ การลงทุนที่วิเศษสุดของมิลานประจำหน้าร้อนนี้ หรืออาจจะเรียกง่ายๆ ว่าโบบันมองว่า ดอนนารุมมาเป็นแข้งระดับโลกเพียงไม่กี่คนที่มิลานมีในขณะนี้
ว่าไปแล้วมันก็จริงนะครับ แม้จะใช้เงินไปแยะแต่ตัวระดับที่นักเตะที่น่าสนใจจริงๆ ผมคิดว่ามีเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น คนแรกคือ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี ปราการหลังอิตาลีรายนี้จะช่วยขันเกมรับให้มิลานแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกสองคนที่ผมมองว่าน่าสนใจ นั่นคือ อันเดรีย คอนติ และฟร้องค์ เคสซี่
ฤดูกาลก่อนคอนติเล่นให้กับอตาลันต้าในตำแหน่งแบ็กขวาและวิงแบ็ก หมอนี่ตัวทำผลงานได้ดี ยิงได้ถึง 8 ประตูกับอีก 4 แอสซิสต์ เช่นเดียวกับเคสซี่ ที่เคยได้รับการจับตามองจากยอดทีมของยุโรป มีจุดเด่นอยู่ที่ความถึก บึกบึน และเป็นมิดฟิลด์เกมรับขนานแท้ แถมทั้งคู่อายุยังน้อยสามารถพัฒนาฝีเท้าได้อีกเยอะ แต่นักเตะที่เพิ่งย้ายเข้ามา เช่น ฮาคาน คัลฮาโนกลู, มาเตโอ มูซัคคิโอ, ริคาร์โด้ โรดิเกวซ และอังเดร ซิลวา พวกนี้มาจากต่างลีก คงต้องใช้เวลาปรับตัวเข้ากับฟุตบอลสไตล์มักกะโรนีที่มีพื้นฐานทางแท็คติคค่อนข้างสูง
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่น่าหนักใจแทนมอนเตลลา ก็คือ การมีนักเตะใหม่ในทีมค่อนข้างเยอะ ตรงนี้ทีมอาจเสียสมดุล ต้องมีการปรับแผนผังการเล่นเพื่อสอดรับกับนักเตะใหม่ ตรงนี้จะใช้เวลานานแค่ไหนไม่มีใครทราบ อาจจะใช้เวลาแค่ไม่กี่เดือน หรือแย่หน่อยเวลาหนึ่งฤดูกาลอาจจะไม่พอ ดังนั้นเรื่องสคูเด็ตโต้แฟนมิลานโปรดลืมไปก่อน ยังเร็วเกินไปที่จะคั่วแชมป์กับยูเวนตุส และนาโปลี
แต่ถ้าเป็นพื้นที่ยูเอฟ่า แชมเปี้ยนลีกส์ ผมคิดว่าพอมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง ภายใต้เงื่อนไขมิลานจะต้องตั้งลำทีมให้ได้ก่อนคู่แข่งสำคัญอย่างอินเตอร์ มิลาน และโรม่า สองทีมที่มีการเปลี่ยนแปลงภายในทีมค่อนข้างเยอะ
ฉะนั้นถ้าวินเชนโซ มอนเตลลา ไม่อาจพามิลานไปเล่นบิ๊กเอียร์ได้ คงไม่ต้องเดานะครับ ถ้ามีเหตุการณ์ฟ้าผ่าแถวๆ ซาน ซีโร่ ใครจะโดนเป็นคนแรก
“จักรยานอากาศ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in