No amount of fire or freshness can challenge what a man can store up in his ghostly heart.
ไม่ว่าเปลวเพลิงหรือความสดใหม่มากเท่าใด ก็ไม่อาจท้าทายสิ่งที่มนุษย์พึงเก็บงำไว้ในหัวใจอันน่าสะพรึง
– The Great Gatsby (1925), F. Scott Fitzgerald
ตกลงเขาวิ่งทำไมนะ
ออกมาจากโรงพลางถกประเด็นในหนังกับพี่ที่ไปดูด้วยอย่างออกรส หลากความคิด รายละเอียด การกระทำ และคำพูดในหนังที่ค่อยๆ ใช้เวลาคลี่คลายเผย 'ตัวตน' กับผู้ชมต่างมีความหมายให้ตีความไปหมด แม้กระทั่งการจัดฉาก วิธีการนั่ง อากัปกริยาเล็กน้อยของสองหนุ่มหนึ่งสาว และแต่ละการตัดสินใจในทุกฉาก
พี่ชายเป็นคนเอ่ยคำถามข้างต้น ขณะเรากำลังตื่นเต้นกับบทแน่นปึกที่ถอดและขยายความเรื่องสั้นได้อย่างงดงาม ไว้ลายทั้งมูราคามิและอีจางดง
ได้แต่หัวเราะ แล้วตอบว่า "พี่ถามถึงแก่นหนังเลยนะนั่น"
เพราะเราเชื่อว่าทุกอย่างเกี่ยวพันเป็นเหตุเป็นผลกัน ตัวละคร สถานการณ์ที่ประสบ และเหตุการณ์ที่เร่งเร้า 'ไฟ' ในใจและนอกกาย ล้วนเชื่อมโยงได้ถึงประเด็นหลักต่างๆ ของหนัง รวมถึง 'การวิ่ง' ของจงซู
จากหนังที่จุดประกายความคิดจนอยู่ไม่สุข ตั้งคำถามกันสองสามวันหลังดู ก็ยังหาคำตอบไม่แน่นอน เราจะมาค้นพบ 'เบื้องหลัง' ของบางส่วนจาก Burning ไปด้วยกันค่ะ
หนังที่ดีมักอ้อยอิ่งอยู่ในความคิดเราหลังจบลง และผู้กำกับอีจางดง ก็จงใจให้เราตั้งคำถามกับ Burning แล้วเสียด้วย
"ผมมักจะสงสัยว่าข้อความตรงๆอย่าง 'ความยุติธรรมชนะทุกสิ่ง - justice prevails' จะกระทบชีวิตคนเราอย่างไร ซึ่งทำให้ผมสร้างหนังที่ถามคำถาม" อีจางดงกล่าว "Burning ถามคำถามเกี่ยวกับโลก ความลึกลับของมัน และการเล่าเรื่อง หนังตั้งคำถามว่าเรื่องเล่า (ของหนัง) นั้นใกล้เคียงกับความจริงแค่ไหน"
เขาเสริมว่าการตีความว่าหนังเกี่ยวกับการ 'ระเบิด' อารมณ์ของคนหนุ่มสาวนั้นเป็นเพียงหนึ่งการตีความ "แต่ละคนมีอิสระที่จะสร้างการเล่าเรื่องของตนเอง ผมอยากให้[ผู้ชม]ตั้งใจรับฟังเรื่องเล่าของคนอื่นและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน" ซึ่งเชื่อว่าทุกคนล้วนอยากถกประเด็นอันคุกรุ่นในหนังเรื่องนี้หลังฉากสุดท้ายทั้งนั้น
"ผมไม่เคยสร้างหนังที่สื่อความหมายอะไร และไม่เคยอยากทำด้วย ผมแค่อยากถามคำถาม"
The Sound and The Fury (1929) นวนิยายเรื่องดังของวิลเลี่ยม โฟลค์เนอร์ นักเขียนคนโปรดของตัวเอก อีจงซู ถูกนิยามโดยนักวิจารณ์มิลเกท (Millgate, 1966) ว่าเกี่ยวข้องกับ "ปัญหาของความจริงอันหาตัวจับยาก - the problem of the elusiveness of truth" ซึ่งตรงเผงกับความรู้สึกของเราต่อ Burning และความจริงที่ปรากฏกายได้หลายรูปแบบ แล้วแต่คนจะมองมุมไหน อย่างไร
หนึ่งในเหตุผลที่จงซูออกวิ่งเป็นกิจวัตรตามรอยแทงของตนเองตามเรือนกระจกทั้งห้า อาจเป็นเพราะเขากำลังเสาะแสวงหา 'ความจริง' ที่จับต้องได้จากชีวิตที่เปลี่ยนแปลงด้วยหลายตัวแปรหรือเปล่า
โดยเฉพาะตัวแปรแรกอย่างแฮมี ที่ชักนำเหตุการณ์ต่างๆเข้าสู่ชีวิตเขานี่สิ
พอกลับมาอ่านทวนคำอธิบายตัวนางเอกในเรื่องสั้น Barn Burning (1983) ของมูราคามิ เราแอบปลื้มนักแสดงสาวหน้าใหม่อย่างชอนจองซอมากๆ ที่เล่นบทบาทของสาวผู้ดู 'เรียบง่าย' ภายนอก หากเต็มไปด้วยความเหงาเศร้าอ้างว้างและความรู้สึกอัดแน่นรอวันระเบิดที่คนรอบข้างไม่อาจรับรู้ได้
มูราคามิเองบรรยายตัวละครนางเอกไว้ว่า "ความเรียบง่ายไร้มารยา[ของเธอ]ดึงดูดคนเฉพาะเจาะจงจำพวกหนึ่ง ชายประเภทที่แค่เพียงปราดตามองความเรียบง่ายของเธอก่อนจะเสริมเติมด้วยความรู้สึกอะไรก็ตามที่พวกเขาเก็บไว้ภายใน"
คนอย่างเบนบอกว่าเธอน่าสนใจ เธอกล่าวกับจงซูเช่นนั้น ฝ่ายเราอาจเดาได้ว่าผู้บรรยายหรือจงซู อาจมองเบนเป็นหนึ่งในชายทีี่ถูกดึงดูดโดยเสน่ห์ความ 'เป็นไปได้' ของเธอ รอยยิ้ม และนััยน์ตาซุกซนที่เชื้อเชิญเพศตรงข้ามเข้ามาใกล้ ก่อนจะสร้างเธอเป็น 'อะไรๆ' โดยอิงความรู้สึกตัวเอง
ขนาดเราเป็นผู้ชม ก็ยังรู้สึกกับแฮมีของชอนจองซอเช่นนั้น ตั้งแต่ฉากปอกเปลือกส้มล่องหน ที่เธอสอบผ่านฉลุย ตรงฉากในจินตนาการตอนอ่านเลยทีเดียว
นักวิจารณ์เชื่อมโยงนัย 'การเผาไฟ' ของตัวละครในเรื่องสั้นของโฟลค์เนอร์กับโพรมีธีอุส Prometheus หรือไททันคนแรกในตำนานกรีก ผู้นำไฟมาสู่โลกมนุษย์ และถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่ง 'การควบคุมความอยากกระหายโดยสัญชาตญาณ - control of libidinal impulse' ทั้งอารมณ์และความคิดที่เกี่ยวข้องกับสัญชาตญาณความเป็นอยู่ของมนุษย์ ไฟที่คุกรุ่นของแอ๊บเนอร์เปรียบได้ดังอารมณ์และพลังงานที่เขาต้องควบคุมเพื่อใช้ให้ถึงที่สุดในสงครามต่อต้านเจ้าของนา
ยูนิส (2012) นิยาม Barn Burning (1939) เป็นการตีแผ่เรื่องราวของผู้มีอำนาจและอิทธิพลเพื่ออาจทำให้สงบลงและหลบหนีจากความเจ็บปวดส่วนตัว - personal pain
ขณะที่แอ๊บเนอร์มองความร่ำรวยและสำเร็จรอบข้างว่าอยู่ไกลเกินเอื้อม (เช่นความรู้สึกของจงซูต่อคนรวยระดับเบน) และถือการจุดไฟเผาหนึ่งในทรัพย์สินของอีกฝ่ายเป็น 'การทำลายตัวเอง - self destructiveness' หนึ่งทางเลือกระหว่างการ 'นิ่งเฉย' หรือ 'ต่อต้าน' (passivity vs. defiance) ซึ่งดูเป็นสองทางเลือกของคนระดับจงซู
ซาร์ตี้ลูกชายกลับมองเห็นความปลอดภัย ความมั่นคง และความเป็นไปได้ที่สิ่งต่างๆ จะดีขึ้นสำหรับเขา ด้วยเชื่อ(อย่างไร้เดียงสา)ว่าพ่อคงไม่มีวันทำร้ายคนอาศัยในบ้านหรูหราขนาดนั้นได้
สำหรับเรามองว่านี่คือการตัดสิน 'ความแตกต่าง' ด้านชนชั้นจากมุมมองของสองวัยที่ผ่านชีวิตมาไม่เท่ากัน การ 'เงยหน้ามอง' บ้านของเจ้าของนาทำให้เรานึกถึงฉากที่จงซูม 'มอง' ขึ้นตึกดูเบนในฟิตเนส และเมื่อเขาคลานขึ้นเนินเพื่อซุ่มดูอีกฝ่ายชมวิวทะเลสาป ซึ่งล้วนแต่เป็นฉากเงียบ ปล่อยให้ผู้ชมตีความสิ่งที่กำลังผ่านความคิดของจงซู ขณะเขาดูเหมือนลุ่มหลง ถลำตัวเข้าไปในโลกของเบนเรื่อยๆ แม้ตอนแรก และต่อๆ มาจะยึดแฮมีเป็นตัวจุดชนวนและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่ยากจะนิยามระหว่างเขากับเบน
ความสัมพันธ์ระหว่างนิคและแก๊สบี้ในนิยาย The Great Gatsby (1925) คลาสสิกโดย F. Scott Fitzgerald เอฟ สก็อตต์ ฟิซเจอรัลด์ นั้นเกี่ยวกับหนุ่มผู้ต้องมนต์สะกดมหาเศรษฐีที่รวยขึ้นด้วยตัวเอง ('สร้างตัวเอง' ขึ้นมาใหม่) และพาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวในความรัก ความลับ และเบื้องหลังของอีกฝ่าย นิคไม่ยอมละเลิกความชื่นชมของเขาที่มีต่อตัวแก๊สบี้แม้จะรู้ที่มาของความรวยของ 'ลูกชายของพระเจ้า - son of God' ช่วงท้ายๆของนิยาย ผิดกับจงซู ที่ความสัมพันธ์ของเขากับเบนผันแปรและคลุมเครือ จนฉากแผดเผาสุดท้ายของเรื่อง
'เราทั้งก้าวและไม่ก้าวลงในแม่น้ำเดียวกัน เราเป็นและไม่เป็น -
We both step and do not step in the same rivers. We are and are not.'
"Life is like the surf.
So give yourself in like the sea."
"ชีวิตก็เหมือนการโต้คลื่น
จงกล้าพร้อมที่จะรับมันดังเช่นทะเลเป็น"
"ศิลปะสำหรับศิลปิน" คาฟคากล่าว
"คือการทุกข์ตรมเพื่อที่เขาจะได้ปลดปล่อยตัวเองผ่านการทุกข์ตรมต่อไปอีก"
"Art for the artist," said Kafka,
"Is only suffering through which he releases himself for further suffering."
อีกแง่ของการมองเส้นอันเลือนลางระหว่างอดีตและปัจจุบันของจงซู คือคำวิจารณ์ของ Jean-Paul Sarte ฌอง ปอล ซาร์ตร์ นักปรัชญาต่อประเด็นด้านอดีตและปัจจุบันใน The Sound and the Fury ของโฟลค์เนอร์ (1955) (เรารักบทความนี้ของซาร์ตร์มาก ภาษาสวยตรึงใจพอๆกับความหมายที่ลึกซึ้งเลย)
ซาร์ตร์ออกความเห็นว่า ปัจจุบันของโฟลค์เนอร์นั้นบีบคั้นอึดอัดถึงขั้นสุด (catastrophic) เป็นเหตุการณ์ที่แอบเข้ามาหาเราคล้ายขโมย ยิ่งใหญ่ และไม่อาจคาดคิด เป็นเหตุการณ์ที่แอบเข้ามาหาเราและหายตัวไป
คำนิยามนี้ของซาร์ตร์เชื่อมโยงได้กับแฮมี อดีตที่แอบข้ามเส้นเข้ามาในปัจจุบันของจงซู และจุดชนวนเหตุการณ์ใน Burning แล้วก็หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย
นักวิจารณ์อย่างKing คิง (1980) เสริมว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอดีตและปัจจุบันในโฟลค์เนอร์นั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและคลุมเครือ เปรียบดังความทรงจำของจงซูกับบ่อน้ำของแฮมี และเรื่องเล่าของเธอที่เขาเคยล้อเธอตอนเด็กๆ
ซาร์ตร์ยังกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของเวลา (คล้าย 'ไฟ' และสายน้ำที่แปรสภาพไปเรื่อยๆ ในหัวข้อเบื้องต้น) ว่าจากปัจจุบันเวลานี้ไม่มีอะไรอีก เพราะอนาคตไม่มีตัวตน ปัจจุบันกำเนิดจากต้นตอที่เราไม่รู้จักและขับไล่อีกปัจจุบันออกไป เป็นการเกิดใหม่ชั่วนิรันดร์ เพราะในงานของโฟลค์เนอร์นั้นไม่มีการคืบหน้า ไม่มีอะไรที่มาจากอนาคต ปัจจุบันไม่เคยเป็นความเป็นไปได้ของอนาคต - The present has not first been a future possibillity.
การอยู่กับปัจจุบันคือการปรากฏตัวด้วยไร้เหตุผลและแทรกตัวลงในชีวิต โฟลค์เนอร์รู้สึกเช่นนี้ในส่วนลึกสรรพสิ่งและพยายามให้ผู้อ่านรู้สึกตาม
อดีตเหมือนความจริงที่ชัดเจนเหลือเชื่อ - super reality - อันคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนปัจจุบันนั้นไร้นามและพ้นผ่านไปไว พรุนด้วยหลายรู ไร้แรงต้านทางต่ออดีตที่เข้ามาบุกรุก
ซาร์ตร์เปรียบบทพูดเดี่ยว (monologue) ของตัวละครโฟลค์เนอร์เป็นเที่ยวบินที่มักตกหลุมอากาศ และในแต่ละหลุม จิตใต้สำนักของตัวเอกก็ 'จมลงสู่อดีต' และลอยตัวขึ้นเพื่อจมใหม่อีกครั้ง
'ปัจจุบันไม่ได้เป็นอยู่ มันกลายร่าง ทุกอย่างนั้น 'เคยเป็น -
The present is not; it becomes. Everything was.''
ทุกอย่างเป็นเพียงการจับวางของหมู่ดาวแห่งอารมณ์ - a matter of emotional constellations.
'อดีต' ในที่นี้คือแฮมีอีกเช่นเคย สิ่งที่คงที่จากอดีต ที่มีคุณค่า สะกิดอารมณ์ความรู้สึก ตรงข้ามกับลำดับความเป็นไปตามเวลาและเหตุผล สำหรับโฟลค์เนอร์แล้ว เวลาไม่เคยเลือนหายไป หากสิงอยู่กับเขา เป็นความหลงใหลตามตัว - an obsession เหมือนที่จงซูพยายามวิ่งไล่ตามจับอดีต และหญิงสาวจากอดีตของตัวเอง
ซาร์ตร์เขียนว่าโฟลค์เนอร์เป็นชายผู้หลงทาง และเพราะเขารู้สึกหลงทาง เขาจึงกล้าเสี่ยงและตามความคิดตัวเองจนถึงที่สุด สลัดอนาคตจากเวลา รวมทั้งมิติทั้งหลายของการกระทำและอิสรภาพ เขาวางแผน แต่แผนติดอยู่กับเขาและไม่สามารถทอดสะพานไปไกลเกินปัจจุบันได้ เขาเป็นนักฝันผู้ถูกความจริงผลักดันให้โบยบิน วนอยู่กับความไร้เหตุผลของเวลา
เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดา สิ่งที่ไร้รูปจึงถูกตัดสินจากความทรงจำอันล้นเหลือ
ชายในวรรณกรรมของโฟลค์เนอร์คือบุคคลผู้ประสบสูญเสีย โหยหา 'ความเป็นไปได้' ต่างๆ นานาและสามารถนิยามได้โดยประสบการณ์ที่เขาพบเจอมา - a creature bereft of possibilities and explicable in terms of what he has been.
ฟังดูแล้วคล้ายจงซูและการวิ่งของจงซูเลย
เราชอบที่ซาร์ตร์กล่าวว่า ลำดับของอดีตคือลำดับของหัวใจ ("The order of the past is the order of the heart.") มันคงจะผิดหากคิดว่าเมื่อปัจจุบันกลายเป็นอดีต มันจะกลายเป็นความทรงจำที่ใกล้ชิดเราที่สุด
การแปรสภาพของปัจจุบันอาจทำให้อดีตจมลงสู่ก้นบึ้งของความทรงจำ หรือลอยตัวอยู่เหนือพื้นผิว ความหนักแน่นและความหมายของอดีตต่อชีวิตเราเท่านั้นที่จะตัดสินว่าอดีตจะอยู่ในความทรงจำของเราระดับไหน
พูดถึงระดับแล้วก็คิดถึงระดับชั้นหัวใจ ห้องและเส้นทางลับในการทับถมความทรงจำของ San Clemente Syndrome ใน Call Me By Your Name (2017) ขึ้นมาจริงๆ
Matthews แมตทิวส์ (1939) วิเคราะห์ว่าความทรงจำในโลกของโฟลค์เนอร์ไม่เคยก้าวล้ำเส้นความสูญเสีย โฟลค์เนอร์เองยืนยัน 'การเขียน' เป็นการทำลายและสูญเสียตัวตนที่เคยเป็น เขาเข้าหาภาษาเหมือนเข้าหาผู้หญิงและไวน์
เมื่อถามโฟลค์เนอร์ถึง 'สาวในอุดมคติ' เขาก็ให้คำตอบที่ตรงกับสาวในดวงใจของจงซู:
"ผมไม่สามารถอธิบายถึงเธอด้วยสีผม สีตา
เพราะเมื่อผมวาดภาพเธอแล้ว จู่ๆ เธอก็หายตัวไปอย่างไร้เหตุผล -
I couldn't describe her by the color of hair, color of eyes,
because once she is described, then somehow she vanishes."
แคดดี้ Caddy ตัวเอกใน The Sound and The Fury เป็นหญิงสาวที่หายตัวจากครอบครัวไปหลายปีแต่ต้นเรื่อง เป็นตัวละครที่เขียนมาเพื่อให้ 'หายไปกับนิยาย' และเป็นคนที่คนเขียนพร้อมจะหายตัวไปด้วยกัน
สำหรับเบนจี้ Benji พี่สาวของเขาเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงความสูญเสียมากที่สุด ความทรงจำของเขาไม่มีความทรงจำ เขาไม่สามารถจดจำหรือลืมเลือนอะไรได้ สำหรับเขาแคดดี้เหมือนเพิ่งหายตัวไปไม่กี่วินาที ร่องรอยของเธอสดใหม่อยู่ชั่วกาล และการสะกิดความรู้สึกเล็กน้อยทำให้เขาทรมานเรื่องการหายไปของเธอได้ทันที
แคดดี้หลอกหลอนน้องชายผ่านความทรงจำ เธอไร้ตัวตน เป็นร่างลึกลับจับต้องไม่ได้ ความเป็นอยู่ที่ไม่มีอยู่จริง ที่คงอยู่เพียงในรูปไม่กี่รูป ชัดเจนแต่เหมือนฝัน เธอกุมอำนาจเหนือคนที่เธอทิ้งไว้จากระยะห่างไกลของเธอเอง (Bleikastein, เบลก้าสตีน, 1990) ตรงนี้อธิบายถึงอารมณ์ของจงซูที่ 'วิ่งไล่' อดีตและคลุกตัวอยู่ในห้องของแฮมีหลังเธอหายไป จ้องมองรูปของเธอ และคิดถึง รู้ตัวว่ารักเธอ ผูกพันกับเธอ ต่อเมื่อเธอไม่มีตัวตนในชีวิตเขาแล้ว
ความทรงจำกลับทำให้ความรู้สึกสูญเสียเลวร้ายขึ้น อดีตถูกจดจำด้วยความเจ็บปวดแทนความสงบ จงซูรู้สึกถึง 'การมีอยู่ - presence' ตัวตนของแฮมีจากการจากไปของเธอ รู้สึกถึงความใกล้ชิดจากความห่างไกล
ด้านหญิงสาวอีกคนในชีวิตของจงซูอย่างแม่ของเขา ก็กลับมาโดยไม่คาดคิด แม่ของจงซูคล้ายแม่ๆของโฟลค์เนอร์ที่ทิ้งลูกไป เป็นคนคุยจ้อที่มาพึ่งพิงลูกชายในยามยาก (โฟลค์เนอร์เชื่อในแม่ผู้ฟูมฟักดูแลลูกขณะเป็นหญิงที่สลบปากสงบคำ - Weinstein, ไวน์สตีน 1992) และเราก็มองเห็นเธอผ่านเลนส์ของลูกชายคนปวดร้าวยากจะแก้ไขของเธอ
Barn Burning ของโฟลค์เนอร์จบลงด้วยเสียงกระสุนปืน และเด็กชายที่วิ่งหนีครอบครัวของเขาโดยไม่มองกลับมา ความรุนแรงที่ปรากฏชัดในฉากไคล์แมกซ์และจุดจบของ Burning ที่ประทุระหว่างตัวเอกทั้งสอง
ซาร์ตี้ยังคงโหยหิวทางกาย - physically hungry ในฉากจบ เพราะไม่มีอะไรสรุปแน่นอน เขาหนาวเย็น เพราะตีตัวออกห่างครอบครัว เป็นการเริ่มต้นใหม่โดยสละตัวจากผลกระทบอันบีบคั้นของอดีต เฉกเช่นจงซูผู้กำจัดชายที่เชื่อมโยงเขากับอดีตอย่างแฮมี และเปลื้องผ้าตัวเองในหิมะ ขับรถออกโดยไม่หันกลับมองกองไฟที่ลุกโชน
วิคเกอรี่ (1992) กล่าวถึงการดำเนินเรื่อง The Sound and the Fury ของโฟลค์เนอร์ว่ามีความคืบหน้า การคลี่คลายปมของพล๊อต หากแต่ละช่วงตอนนั้นคงที่ จิตสำนึกของตัวละครกลายเป็นตัวกลางชึ้แจงและถูกชี้แจงถึงสถานการณ์หลักของเรื่อง
ด้วยการเล่าเรื่องสไตล์ยึดโครงสร้างของเรื่องให้คงที่ ขณะทิ้งสถานการณ์หลักของเรื่องให้คลุมเครือ โฟลค์เนอร์บังคับให้ผู้อ่าน 'สร้างเรื่อง - reconstruct' ขึ้นมาใหม่ด้วยตนเองและพยายามเข้าใจความสำคัญของเรื่องด้วยตัวเอง ในขณะเดียวกันที่พยายามจับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครต่อแก่นเรื่อง ซึ่งเราเดาว่าเป็นประสบการณ์เดียวกับการดู Burning ของเราและหลายๆคน
พอกลับไปคิด กลับไปดู สร้างเรื่องขึ้นมาเองในความคิด เราก็รู้สึก connect เชื่อมโยงกับเรื่องมากขึ้น
ความอมตะและน่าดึงดูดใจของวรรณกรรมโฟลค์เนอร์ในสมัยปัจจุบันในคำของนักวิจารณ์วอร์เรน Warren (1966) ตรงกับความเห็นของเราต่อ Burning ของอีจางดง
โฟลค์เนอร์ และหนังของผู้กำกับนักวิชาการคนนี้ ต่างเป็นตัวแทนของบางสิ่งที่แปลกแตกต่างและสูญหาย เป็นสิ่งที่โลกยุคใหม่รู้สึกสับสน คลางแคลงใจอย่างลึกซึ้ง และจึงไม่อาจมองข้ามได้ ถึงแม้ว่าต้องการจะมองข้ามมากเพียงใดก็ตาม
.
ขอบคุณที่สนใจอ่านนะคะ <3
คิดเห็น ชอบไม่ชอบยังไง รบกวนกดด้านล่างให้เรารู้ จะได้ปรับปรุงบทความต่อๆไปให้ดีขึ้นค่ะ
ติชม พูดคุยกับเราทางเม้นท์ข้างล่างได้เสมอ
หรือจะแวะมาทาง twitter: @cineflectionsx
หากชอบบทความ ฝากเพจ FB ด้วยนะคะ เราจะมาอัพเดทความคิด บทเรียน และเรื่องราวจากหนังที่ชอบทั้งเก่าและใหม่เรื่อยๆค่ะ
ขอบคุณค่า
x
ข้าวเอง.
ขอบคุณรูปบางส่วนจาก FB: Documentary Club
อ้างอิงข้อมูลจาก - References:
Bleikasten, A. (1990). The Quest for Eurydice In D. Minter (Ed.), The Sound and The Fury (pp. 413-430). New York, NY: Norton Critical Editions.
Faulkner, N. (1939). Barn Burning. In R. P. Warren, A. Erskine (Ed.), Short Story Masterpieces (pp. 148-168). New York: Dell Publishing.
Faulkner, N. (1994). The Sound and The Fury (D. Minter, Ed.). Norton Critical Editions. New York: Norton. (Original work published 1929).
Fitzgerald, F. S. (1926). The Great Gatsby. London, England: Penguin Books.
Kafka, F. (2004). The Metamorphosis (S. Corngold, Trans. Ed.) Bantam Classic Reissue. New York, NY: Bantam Dell. (Original work published 1915).
King, R. E. (1980). A Southern Renaissance. In D. Minter (Ed.), The Sound and The Fury (pp. 246-255). New York, NY: Norton Critical Editions.
Kirchdorfer, U. (2015). Flight in William Faulkner's BARN BURNING. The Explicator, 73(2), 115-119. DOI: 10.1080/00144940.2015.1030583.
Matthews, J. T. (1982). The Discovery of Loss in The Sound and The Fury In D. Minter (Ed.), The Sound and The Fury (pp. 370-392). New York, NY: Norton Critical Editions.
Milgate, M. (1966). The Sound and The Fury: [Story and Novel] In D. Minter (Ed.), The Sound and The Fury (pp. 297-310). New York, NY: Norton Critical Editions.
Sarte, J. P. (1955). On The Sound and The Fury: Time in the Work of Faulkner In D. Minter (Ed.), The Sound and The Fury (pp. 265-275). New York, NY: Norton Critical Editions.
Vickery, O. W. (1992). The Sound and The Fury: A Study In Perspective In D. Minter (Ed.), The Sound and The Fury (pp. 278-289). New York, NY: Norton Critical Editions.
Warren, R. P. (1966). Faulkner: Past and Future In D. Minter (Ed.), The Sound and The Fury (pp. 243-246). New York, NY: Norton Critical Editions.
Weinstein, P. M. (1970). "If I Could Say Mother": Construing the Unsayable About Faulknerian Maternity In D. Minter (Ed.), The Sound and The Fury (pp. 430-442). New York, NY: Norton Critical Editions.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in