Never let me go เป็นนวนิยายรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมเล่มแรกที่เราอ่านจบ บอกตามตรงว่าใช้เวลาอ่านนานมากๆ มีหลายประเด็นที่เราอยากพูดถึง แต่ก็บอกเลยว่าอาจจะไม่ครบถ้วนนัก และเป็นเล่มที่เราจะสปอยล์หนักจุดสำคัญรัวๆ
เราชอบปกไทยนะ สีมันเบลนด์กันดีอ่ะ
เรื่องย่อ แบบหลีกเลี่ยงสปอยล์ที่สุด
Never let me go คือนวนิยายแนวความรัก มิตรภาพและการเติบโตที่เล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของ แคธี เอช. หญิงสาววัยสามสิบเอ็ดปีที่มีเพื่อนรักสองคนคือ รูธ และ ทอมมี ทั้งสามคนเติบโตขึ้นจากโรงเรียนเฮลแชมและแยกย้ายกันไปมีชีวิตเป็นของตัวเองก่อนจะกลับมาเจอกันอีกครั้งหนึ่ง
ทำไมเรื่องย่อไม่บอกอะไรเลย555 ถ้าลงลึกไปมากกว่านี้เกรงว่าจะสปอยล์ค่ะ แต่เอาเป็นว่าเด็กพวกนี้เกิดมาโดยมีจุดประสงค์หลักอยู่แล้ว นั่นก็คือการบริจาคอวัยวะนั่นเอง
อาจจะฟังดูเป็นนวนิยายรักทั่วไป แต่เรื่องนี้กลับให้อารมณ์ของความสะเทือนใจ เศร้าและโกรธได้พอสมควรเลย เราจะอธิบายต่อไปว่าทำไม...
****หลังจากนี้คือสปอยล์เนื้อเรื่องแบบไปสุด ถ้าใครโอเคก็อ่านต่อเลย
ประเด็นหลักๆที่พบเจอและเรื่องราวหลักๆในเรื่อง
นี่คือเรื่องราวของมนุษย์โคลนนิ่ง ใช่แล้วค่ะ ในปัจจุบันการโคลนมนุษย์เป็นการกระทำที่ผิดมนุษยธรรมมาก แต่ในหนังสือเรื่องนี้ใช้เหตุการณ์และฉากสมมติทั้งหมดว่าโลกของเรามีระบบการใช้มนุษย์โคลนมาเป็นชิ้นส่วนอวัยวะในการปลูกถ่ายให้กับมนุษย์ทั่วๆไป เด็กๆมนุษย์โคลนเหล่านี้จะเติบโตมาในโรงเรียนแห่งต่างๆ และสุดท้ายก็จะกลายเป็นผู้บริจาคในที่สุด
แค่อ่านก็รู้สึกสะเทือนใจแล้ว แต่หนังสือดันใช้วิธีเล่าเป็นค่อยๆเป็นค่อยๆไปมากกก ทำให้เรารู้สึกว่าการเล่าเรื่องมันซอฟต์ซะเหลือเกิน ทุกอย่างดูเนิบช้า แต่ก็ปล่อยหลักฐานต่างๆออกมาเรื่อยๆให้เราเดาได้ในท้ายที่สุด ก่อนจะเฉลยอีกทีก๊อกใหญ่เรื่องประวัติศาสตร์ของโรงเรียนที่พวกตัวเอกอาศัยอยู่
และเพราะหนังสือใช้การเล่าแบบซอฟต์จึงทำให้เรารู้สึกไม่กลัวเลย เช่นเดียวกับที่ตัวหลักของเราไม่รู้สึกกลัวหรือกังวลใดๆเกี่ยวกับการตายของตัวเอง หรือเพื่อนสนิท ทุกคนไม่ได้รู้สึกต่อต้าน ยอมจำนนต่อหน้าที่และบทบาทที่ถูกยัดเยียดมาให้ตั้งแต่เกิด (เอาจริงๆทอมมีก็เกิดอาการต่อต้านในตอนท้ายเหมือนกันนะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี TT) มันทำให้เราตั้งคำถามต่อเรื่องอิสรภาพจริงๆนะ เราทุกคนคิดว่าตัวเองมีอิสรภาพจริงๆเหรอ หรือว่าถูกรัฐ คนใหญ่คนโตคอยควบคุมบทบาทของเราอยู่เบื้องหลังกันแน่
หนังสือเรื่องนี้กำลังตั้งคำถามกับเราเรื่องคุณค่าความเป็นมนุษย์ ความหมายของชีวิตด้วย ถ้าได้อ่าน เราจะเห็นได้ว่ามนุษย์โคลนเหล่านี้ก็มีจิตวิญญาณ มีความรัก มีความฝันเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป แต่กลับถูกแบ่งแยก ถูกรังเกียจ และถูกกำหนดให้เป็นเพียงชิ้นส่วนอวัยวะที่ใช้ปลูกถ่ายก็เท่านั้น เราถึงคิดว่านวนิยายเรื่องนี้เป็นแนวดิสโทเปียในคราบโรงเรียนยูโทเปียอันแสนสงบสุข ทั้งที่ความเป็นจริงมันคือโรงงานมนุษย์เกรดเอแท้ๆ นี่น่าจะเป็นแมสเซจหลักที่เราได้จากเรื่องนี้
ตัวละครที่ทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัดมากขึ้นคือ ครูเอมิลี่ ครูที่เคยสอนพวกตัวเอกทั้งสาม ครูจะเป็นผู้อธิบายประวัติศาสตร์ความเป็นมาของโรงเรียนและความโหดร้ายของเด็กๆที่ทำหน้าที่บริจาคในยุคแรกๆ (ไม่อยากเรียกว่าบริจาคเลยเนอะ เหมือนโดนยัดเยียดมากกว่า) โรงเรียนเฮลแชมเป็นโรงเรียนที่พยายามยกระดับคุณภาพชีวิตของเหล่ามนุษย์โคลน และพยายามช่วยให้นักเรียนรับแรงกระแทกในการรับรู้ชะตากรรมของตัวเองให้น้อยที่สุด ก็คือค่อยๆบอกเด็กไปเรื่อยๆว่าการบริจาคเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำเป็นเรื่องปกติ (แต่ไม่ได้บอกว่าจะต้องตายหรือไปทำอาชีพอื่นไม่ได้เลย แต่สุดท้ายพอมาถึงจุดนั้นทุกคนก็ยอมรับได้เฉยเลยTT) พอรู้เรื่องทั้งหมด สิ่งที่เรารู้สึกในตอนแรกก็คือโกรธมาก ไหนจะการที่ผู้มีอำนาจพยายามจะปกปิดเรื่องของกลุ่มเด็กๆเหล่านี้ พยายามทำเป็นมองไม่เห็นแม้ว่ากระแสสังคมจะเริ่มต่อต้านระบบแบบนี้ และใช่ค่ะ ถึงแม้สังคมจะต่อต้าน แต่ก็ไม่ได้ล้มเลิกระบบนี้ (แค่ไม่สนับสนุนเฉยๆ) ยังคงมีเด็กโคลนคนใหม่ๆเกิดขึ้นเหมือนเดิม วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ต่อไป น่าเศร้าใจมาก
เป็นไปได้มั้ยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังสือเล่มนี้จะเกิดขึ้นในอนาคตบนโลกของเรา มนุษย์จะยอมรับความโหดร้ายนี้ได้ลงหรือ?
***จบสปอยล์
อันนี้ปกEng โดยส่วนตัวเฉยๆ
ความรู้สึกหลังอ่าน+รีวิว+สรุป
บอกตามตรงว่าโดยรวมเรารู้สึกเฉยๆมาก แต่พอเริ่มค่อยๆคิด ค่อยๆกลั่นกรองทุกอย่าง มันเป็นเรื่องราวที่น่าสะเทือนใจมาก ทั้งโกรธทั้งสงสาร มันคือความรู้สึกที่ประหลาดๆดีนะ
Never let me go เป็นหนังสือที่ดีค่ะ บอกเล่าประเด็นต่างๆมากมายที่น่าสนใจมากๆ ทั้งเรื่องของความหมายในการมีชีวิต คุณค่าของมนุษย์ จิตวิญญาณ อิสรภาพ ศีลธรรม (คงมีมุมมองอื่นๆที่เรายังไม่ค้นพบอีกแหละ) ผ่านเรื่องราวการถ่ายทอดอารมณ์และความคิดอันลึกซึ้งของแคธี มันทำให้เราค่อยๆซึมซับ ค่อยๆทำความเข้าใจและอินไปกับเรื่องราวที่ละเล็กทีละน้อย
สิ่งที่ไม่ชอบก็คือความเนิบช้าของเรื่อง อยากจะบอกว่าบรรยายเยอะมาก คุยกันน้อยนิดเหลือเกิน จุดไคลแม็กซ์มีอยู่นิดเดียว เหมือนเน้นเรื่องอารมณ์ ความคิดและสถานการณ์ต่างๆเป็นหลัก ซึ่งเรามองว่าเป็นงานที่แปลกดีเหมือนกันนะ คนญี่ปุ่นไม่ค่อยเขียนงานสไตล์นี้เท่าไหร่ (ทำไมเราหนีไม่พ้นงานเขียนที่คนญี่ปุ่นแต่งเลยเนี่ย555)
แต่เรายอมใจคนเขียนจริงๆ เขากล้าแตะประเด็นที่ไม่มีใครกล้าแตะเลยแม้แต่น้อย (งานพิมพ์ครั้งแรกในปี 2005 นู่นแน่ะ ยุคนั้นยังไม่เปิดกว้างเท่าไหร่) คนเขียนถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครและสร้างมิติออกมาได้อย่างละเอียดละออมาก เข้าใจเลยว่าทำไมได้รางวัลโนเบลในปี 2017 (แต่ก็กว่าจะได้รางวัล555)
มีหนัง (อีกแล้ว) เห็นเขาบอกกันว่าหนังจะเล่าเรื่องตรงไปตรงมากว่าหนังสือเยอะมาก แต่จบดาร์ค จบดิ่งพอๆกัน
เป็นหนังปี 2010 ได้พระเอกสไปเดอร์แมน แอนดรูว์ มาเล่นด้วย
หนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร
- คนที่ชอบงานเขียนแนวดิสโทเปีย แนวความรัก มิตรภาพ การเติบโต เราแนะนำว่าคนอ่านน่าจะต้องเตรียมสมองมาคิดวิเคราะห์ดี ๆไม่งั้นอาจจะอ่านไม่จบ หรือไม่ก็อ่านจนจบแล้วงงว่าเรื่องนี้ต้องการจะสื่ออะไรกับเรากันแน่
- คนที่ชอบงานแปลกแหวกแนว พูดถึงประเด็นที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง เช่นเรื่องศีลธรรม ปรัชญา
- คนที่ชอบงานเขียนจบปลายเปิดหรือชอบงานที่ทำให้เราได้คิดต่อ
- คนที่สามารถทนกับความเนิบช้าของเรื่องนี้ได้
คะแนน เป็นเรื่องให้คะแนนยากมากกกกกกก ถ้าตัดความเอื่อยเฉื่อยของเรื่องออกเราคงให้สิบไปแล้ว ขอให้ที่ 7.5-8/10 คะแนนก็แล้วกัน (ไม่อยากจะให้คะแนนเลยด้วยซ้ำ รู้สึกว่าเรื่องนี้ให้คะแนนยากมาก มันก่ำกึ่งระหว่างความชอบกับความไม่ชอบ เป็นเรื่องที่ให้อารมณ์เทาๆสำหรับเรามาก) ให้คะแนนประมาณนี้เพราะธีมของเนื้อเรื่องที่มันว้าวมาก+การบรรยายที่หาได้ยาก บวกกับคนแปลที่แปลได้โอเคเลยนะ
รายละเอียดหนังสือ
ชื่อหนังสือ Never let me go (2005)
ผู้เขียน Kazuo Ishiguro
ผู้แปล นารีรัตน์ ชุนหชา
สำนักพิมพ์ เอิร์นเนส
จำนวนหน้า 300
ราคา 280
ป.ล ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะอ่านหนังสือจบติดๆกันได้555
ปกติจะเว้นไว้หลายเดือนมากๆกว่าจะมาเขียนรีวิว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in