เคยคิดไหมว่าถ้าเราต้องเผชิญกับเรื่องแย่ๆ เพียงลำพัง เราจะผ่านไปได้ยังไง?
ลองคิดถึงการที่เรากลับหอหรือกลับบ้านมา วันนั้นเป็นวันที่เราเหนื่อยมากๆ เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ แบตเตอรี่ชีวิตลดลงจนถึงขั้นวิกฤต บ่งบอกได้ว่าร่างกายของเราต้องการกำลังใจ
หลายคนเลือกที่จะขอกำลังใจจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ เพื่อน โดยผ่านวิธีการพูดคุย ระบายความรู้สึก หรือแม้กระทั่งการกอดเพื่อส่งผ่านกำลังใจให้กันและกัน บางคนอาจใช้ตัวช่วยเป็นเพลงสักเพลง หรือหนังสักเรื่อง ก็สามารถชาร์ตพลังใจให้เพิ่มขึ้นได้เช่นกัน
แต่ในบางครั้งเมื่อถึงเวลาที่เราต้องอยู่คนเดียวจริงๆ ร่างกายที่เหนื่อยล้า จิตใจที่อ่อนแอ เราจะผ่านความรู้สึกนี้ไปอย่างไร
วิธีง่ายๆที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงก็คือ เมื่อเราเหนื่อยกาย ก็พักกาย หากเหนื่อยใจ ก็พักใจ
ปล่อยให้ความเหนื่อยล้าระเหยออกไปจากร่างกาย นอนให้พอ ถ้าไม่พอ ก็สละเวลา หอบร่างกายและจิตใจไปพักผ่อนในที่ไกลๆ
ปล่อยให้ความคิดประมวลผลและจัดระเบียบไปอย่างที่ควร คิดถึงแต่อะไรที่สร้างสรรค์ อะไรที่แย่ๆ ก็แค่ลบมันออกไปจากชีวิต
ต่อไปสิ่งที่สำคัญก็คือการอยู่กับตัวเอง ให้เวลากับตัวเองได้ทบทวนในเรื่องต่างๆ คิดถึงสิ่งดีๆ เปลี่ยนความคิดของตัวเราเองให้กลายเป็นกำลังใจ
เพราะชีวิตก็เหมือนกับการวิ่ง ซึ่งเป็นการวิ่งมาราธอนที่ยาวนานมากๆ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเส้นชัยมันจะรอเราอยู่ตรงไหน ระหว่างทาง แน่นอนว่าเราย่อมพบเจอกับอุปสรรค ซึ่งมันอาจทำให้เราเหนื่อย อาจทำให้เราท้อ
แต่นั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมทุกๆการวิ่งจึงมีจุดพัก
ถ้ารู้สึกท้อจนไม่อยากจะก้าวต่อไป ก็ถอย
เราถอยหลัง เพื่อกลับมาพิจารณาหาทางที่ก้าวต่อไปได้ไกลกว่า และมั่นคงกว่าเดิม
ถ้ารู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากลุกไปต่อ ก็นั่ง นั่งคิดทบทวน ให้เวลากับตัวเอง เมื่อถึงเวลาที่พร้อม ก็ค่อยลุกขึ้นใหม่อีกครั้งก็ยังได้
เมื่อใจพร้อมที่จะวิ่งต่อ ก็ส่งผลต่อร่างกายให้มีความพร้อมไปด้วย
จะเห็นได้ว่า การสร้างกำลังใจให้ตนเองนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เราสามารถเริ่มจากการฟังเสียงของความคิดตนเองมากขึ้นก็เท่านั้น
♡
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in