ฉันเป็นคนตัวใหญ่มาตั้งแต่เด็ก
ช่วงชั้นอนุบาล หากมองไปที่หัวแถว ก็จะเห็นฉันอยู่เสมอ
ช่วงชั้นประถม หากมองไปที่หัวแถวอีก ก็จะเห็นฉันอยู่แถว ๆ นั้นเช่นกัน
โรงเรียนประถมในเย็นวันหนึ่ง
ปึก! โอ้ย!
เด็กผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่ง จากการคาดคะเนน่าจะอยู่สัก ป. 2 วื่งมาชนฉันที่ก็เดินไม่ดูทางด้วยแหละ
เด็กผู้ชายคนนั้นล้มลง หัวเข่าปรากฏบาดแผลถลอกเลือดซิบ
ส่วนฉันก็แค่ล้มลง แต่ไม่มีบาดแผลอะไร
เด็กคนนั้นร้องไห้จ้า
พ่อและพี่ชายของเด็กน้อยจึงรีบวิ่งมาดูอาการ พ่อของเด็กชายส่งสายตาตำหนิฉันทั้งที่ยังไม่ได้ไถ่ถามถึงเหตุการณ์สักคำ
ทั้งพ่อและพี่ชายพาเด็กชายที่กำลังสะอื้นจากการร้องไห้เมื่อสักครู่ไปล้างเนื้อล้างตัวจากการล้ม
ฉันตามไปดูอาการด้วย
พ่อของเด็กน้อยไม่เอาเรื่องเอาราวกับเด็กป. 4 อย่างฉันหรอก
แต่แน่ล่ะ เขาตำหนิฉันว่าทำไมเดินไม่ดูทาง ฉันผิดเพราะฉันโตกว่าและตัวใหญ่กว่า
ฉันในตอนนั้นงงมาก
งงว่าตัวเองผิดจริงเหรอ
งงว่าการที่ปล่อยเด็กวิ่งเล่นในช่วงที่มีคนพลุกพล่านอย่างหลักเลิกเรียนนี้ไม่ผิดเลยเหรอ
ฉันไม่ได้จะโทษเด็กหรือผู้ปกครอง เพราะฉันก็ผิดที่ไม่ทันระวัง
แต่จะมีใครรู้ไหม
ว่าตอนที่ฉันล้มลงไป ฉันก็เจ็บเหมือนกัน อาจไม่มากเท่าเด็กชายตัวเล็ก
ฉันแค่ไม่ได้ร้องไห้ หรือแสดงความเจ็บออกมา
คนที่ดูเหมือนสบายดี ไม่ได้แปลว่าเขาไม่เจ็บปวด
มาคิด ๆ ดูในวันนี้ ประโยคนี้ก็ใช้ได้กับความสัมพันธ์ด้วยนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in