Gender Equality คือความเท่าเทียมทางเพศ ท่านผู้อ่านเคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมบางสิ่งบางอย่างผู้หญิงทำแล้วดูผิดศีลธรรมแต่กลับกับเวลาที่ผู้ชายทำสังคมกลับยอมรับว่ามันเป็นเรื่องปกติ ทำไมหน่วยงานบางหน่วยงานถึงให้ความสำคัญต่อผู้ชายมากกว่าผู้หญิง หรือคำถามง่ายๆเลยว่า จำเป็นไหมที่ผู้หญิงต้องเป็นคนทำงานบ้านเลี้ยงลูกและผู้ชายต้องเป็นคนหาเงิน จริงๆเรื่อง gender equality มันมีหลายมุมมองมากถ้าจะพูดถึงเรื่องนี้แต่ผมอยากยกเสี้ยวเล็กๆของเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
ผมได้มีโอกาสดูคลิปๆหนึ่งที่มีนักเรียนวัยรุ่นสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่ค่อยมิดชิดซึ่งทำให้เห็นสรีระของผู้หญิงบางส่วนกำลังเต้นอยู่ในแอปพลิเคชันชื่อดังแอปพลิเคชันหนึ่ง ต่อมาก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมากมายจากวัยรุ่นด้วยกันเองทั้งผู้ชายและผู้หญิง จากนั้นผมก็พยายามกลับไปดูคลิปเก่าๆทั้งคนก่อนๆได้ทำเช่นกัน ผลปรากฏว่ามีผู้ชายบางส่วนแต่งตัวในลักษณะเดียวกันเต้นเพลงเดียวกันแต่สิ่งที่แตกต่างคือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่น้อยกว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นมาก มันเลยฉุดให้ผมหยุดคิดเรื่อง Gender equality และคำถามที่ตามมาว่า ทำไมผู้หญิงเปิดเผยรูปลักษณ์ของตัวเองสังคมมองเป็นเรื่องไม่เหมาะสมแต่ในทางตรงกันข้ามสังคมกลับยอมรับการเปิดเผยรูปลักษณ์ของผู้ชายมากกว่า
ผมขออนุญาตและขออภัยท่านผู้อ่านว่า ในบทความนี้จะเป็นบทความที่เขียนขึ้นจากความคิดเห็นส่วนตัวของตัวผมเอง ซึ่งอาจจะกระทบกับใครหรือขัดกับความคิดเห็นกับท่านผู้อ่านบางท่าน ผมยินดีที่จะรับฟังความแตกต่างทางความคิดโดยไม่มีอคติเสมอครับ และบทความนี้ไม่ได้เจาะจงถึงตัวบุคคลผมแค่ต้องการจะหยิบยกเหตุการณ์นี้เป็นกรณีศึกษาครับ
โอเค เรามาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่าครับ สิ่งแรกที่ผมอยากจะแชร์ให้กับท่านผู้อ่านคือ จากเพจ theory of love โดย นพ.ปีย์ เชษฐ์โชติศักดิ์ ได้กล่าวเกี่ยวกับทฤษฎีการวิวัฒนาการของมนุษย์ว่า “มนุษย์ต้องจับคู่กันเพื่อสืบพันธ์ุ เลี้ยงลูก และลูกจะไม่รอด ถ้าแยกกันอยู่ ผู้หญิงจึงมีแนวโน้มที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้ชายอยู่ด้วย เพราะต้องการคนช่วยเลี้ยงลูก แต่ผู้ชายถูกออกแบบมาเพื่อสืบพันธ์ุให้ได้มากที่สุด” สิ่งที่ส่งผลกระทบตามมาคือผู้ชายจะมีความต้องการทางเพศมากกว่าผู้หญิงตามธรรมชาติในทางตรงกันข้ามการยับยั้งชั่งใจของผู้ชายจึงมีแนวโน้มที่จะน้อยกว่าผู้หญิง เพราะฉะนั้นการเปิดเผยเรือนร่างของผู้หญิงจะทำให้ผู้ชายมีโอกาสที่จะเกิดความต้องการทางเพศซึ่งจะนำไปสู่การคุกคามทางเพศหรือ sexual harassment
พอเราพูดถึง การคุกคามทางเพศหรือ sexual harassment การคุมคามทางเพศมีหลายรูปแบบ รูปแบบแรกที่ผมอยากจะนำมาพูดคือ การคุกคามทางเพศทางคำพูด หรือ sexual harassment in speech การคุกคามทางเพศทางคำพูดคือการใช้คำพูดในการวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างลักษณะของบุคคลอื่นเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง ซึ่งการคุกคามทางเพศรูปแบบนี้จะส่งผลกระทบด้านจิตใจเป็นส่วนใหญ่ผู้ได้รับผลกระทบจะเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ(uncomfortable) ไม่มั่นใจในตัวเอง ทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้าสังคม ไม่กล้าแสดงออก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุของปัญหาที่ตามมาในอนาคต
อย่างไรก็ตามหลายคนอาจจะรับได้กับคำวิพากษ์วิจารณ์หรือแม้กระทั่งรู้สึกดี หรือรู้สึกได้รับความสนใจ จากการที่บุคคลอื่นพูดถึงรูปร่างของตัวพวกเขา และอาจจะทำให้เขารู้สึกมั่นใจขึ้นและกล้าแสดงออกมากขึ้นก็เป็นได้
ถึงกระนั้น sexual harassment ก็ยังไม่หมดเพียงแค่นี้ยังมีอีกหนึ่งประเภทที่ผมมองว่ามันสำคัญและส่งผลกระทบมากกว่าประเภทแรกมาก เรียกว่า การคุกคามทางเพศทางกาย หรือ physical sexual harassment ในประเภทนี้ ผมไม่สามารถพูดได้ว่ามีบางคนรับได้และยินดีที่จะได้รับกับมัน มันคือการใช้ร่างกายกระทำชำเรา หรือ กดขี่บังคับเพื่อให้อีกฝ่ายสนองความต้องการทางอารมณ์และทางเพศ หรือที่เรียกง่ายๆว่า การข่มขืน จากเว็ปไซต์ https://www.thaihealth.or.th/Content/45786-สถิติ%20'ความรุนแรงทางเพศ'%20ของไทยยังน่าห่วง.html ระบุว่า ในทุกๆปีประเทศไทยมีจำนวนผู้หญิงที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ราววันละ 7คน ต่อวัน 30,000 คนคือจำนวนผู้ที่มาร้องทุกข์ใน1ปี และส่วนใหญ่ผู้ถูกกระทำจะเป็นเยาวชน ตั้งแต่อายุ 5-20ปี คิดเป็น60.6% ของผู้ถูกกระทำทั้งหมด และกลุ่มอาชีพส่วนใหญ่คือนักเรียน นักศึกษาคิดเป็น 60.9% ของผู้ถูกกระทำทั้งหมดเช่นกัน จากสถิติที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าสังคมไทยในปัจจุบัน มีผู้หญิงไม่น้อยที่จะต้องเผชิญกับปัญหาการกระทำชำเราหรือล่วงละเมิดทางเพศ และมันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวมากโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นนักเรียนนักศึกษา ซึ่งจะเกิดปัญหาหาที่ตามมามากมายไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางด้านร่างกายที่ได้รับการบาดเจ็บหลังจากถูกทำร้าย ปัญหาด้านจิตใจที่อาจจะรู้สึกฝังใจจากเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนั้น หรือแม้กระทั่งปัญหาทางสังคม เช่น ปัญหาเด็กกำพร้า ซึ่งเกิดจากพ่อแม่ที่ไม่พร้อมจะดูเเลเนื่องจากผู้เป็นแม่ได้ตั้งท้องโดยไม่ได้ตั้งใจ
จากตัวอย่างสองตัวอย่างที่ผมได้หยิบมาจากตัวอย่างนับพัน ก็น่าจะเพียงพอที่จะตอบคำถามได้ว่า ทำไมสังคมถึงมองว่าผู้หญิงถึงไม่ควรเปิดเผยเรือนร่างของตัวเอง
ในอีกมุมมองหนึ่ง เป็นมุมมองที่ผมจะพูดถึงบุคคลภายนอกที่พบเจอกับเหตุการณ์ในลักษณะนี้
หนึ่ง แน่นอนครับธรรมชาติไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ชายมีความต้องการทางเพศมากกว่าผู้หญิงเพียงอย่างเดียว แต่ธรรมชาติก็ได้ออกแบบสิ่งที่เรียกว่า การยับยั้งชั่งใจ ขึ้นมาด้วยเช่นกัน ซึ่งผมมองว่า ถ้าผู้ชายมีการยับยั้งชั่งใจที่มากพอปัญหาที่กล่าวมาเหล่านี้ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นน้อยลงตามมา และการยับหยั่งชั่งในของผู้ชายนี่เองครับ ที่ผมมองว่าเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้ ผู้ชายควรจะมีศีลธรรม สามัญสำนึก มีความรับผิดชอบต่อสังคมและtake responsibilityในเรื่องนี้มากกว่า มองอีกมุมคือแทนที่เราจะมานั่งโฟกัสว่าผู้หญิงควรแต่งตัวให้มิดชิดแต่เราเปลี่ยนมาโฟกัสที่ผู้ชายไม่ควรล่วงละเมิดทางเพศมากกว่า ลองคิดดูครับการล่วงละเมิดส่วนทางเพศส่วนใหญ่ผู้ชายจะเป็นผู้กระทำแล้วผู้หญิงในเรื่องนี้ผมขอยกให้เป็นสิ่งเร้า แน่นอนครับผลลัพธ์จะไม่มีทางเกิดได้ถ้าไม่เกิด action หรือการกระทำ จากผู้กระทำต่อให้มีสิ่งเร้ามากแค่ไหนก็ตาม ถ้าไฟอยู่เฉยๆไม่ทำปฏิกริยากับน้ำมัน มันก็ไม่มีทางเกิดไฟไหม้ต่อให้น้ำมันจะมากแค่ไหนก็ตาม ถ้าเรามี mind set แบบนี้ผมเชื่อว่าผู้หญิงจะมีอิสระทางการแต่งกายมากขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น
อย่างที่สองในกลุ่มคนบางกลุ่มกลับนำค่านิยมของสังคมที่ว่า “ผู้หญิงไม่ควรเปิดเผยรูปร่างของตัวเอง” มาผสมรวมกับอคติที่ตัวเองมี มาตัดสินคนคนนั้นอย่างไร้เหตุผล ซึ่งการกระทำและคำพูดที่แสดงออกมาไม่ได้มาจากการเป็นห่วงถึงความปลอดภัยของคนๆนั้นอย่างที่ควรจะเป็นแต่กลับแสดงถึงความคิดอคติที่มีต่อตัวคนๆนั้นซะมากกว่า
ซึ่งสุดท้ายแล้ว มันก็กลับไปที่จุดเริ่มต้นของปัญหาที่เรียกว่า sexual harassment in speech
เพราะฉะนั้นผมอยากจะจบบทความนี้ด้วยคำแนะนำสั้นๆที่ว่า ผู้หญิงควรแต่งตัวให้มิดชิดเพื่อลดการดึงดูดและความต้องการทางเพศของผู้ชายซึ่งจะนำไปสู่การคุกคามทางเพศ อย่างไรก็ตามผู้ชายควรที่จะผู้ชายก็ควรมีความยับหยั่งชั่งใจ ศีลธรรม จิตสำนึกที่ดี และมีการแก้ปัญหาที่ดีอย่างถูกต้องเมื่อเกิดความต้องการทางเพศ และอย่างสุดท้ายสังคมควรมองผู้หญิงที่แต่งตัวไม่มิดชิดด้วยความเป็นห่วงถึงความปลอดภัยมากกว่าที่จะตัดสินคนๆนั้นไปในทางที่ไม่ดี ถ้าทุกคนทำตาม role ของตัวเองที่ตัวเองเป็นอยู่ ไฟก็ไม่ควรจะโดนน้ำมัน น้ำมันก็ไม่ควรอยู่ใกล้ไฟ ผมเชื่อว่าสังคมจะน่าอยู่และปลอดภัยมากขึ้นครับ
สังคมสั่งสอนผู้หญิงมานานว่าควรรักนวลสงวนตัว ควรแต่งกายมิดชิด แล้วทำไมเราไม่สั่งสอนผู้ชายด้วยล่ะว่าเราไม่ควรไปล่วงละเมิดทางเพศคนอื่นเขา เสริมให้อีกนิดนึงว่าสถิติการข่มขืนทั่วโลกนั้น ส่วนใหญ่มาจากคนใกล้ตัวทั้งนั้น เห็นได้จากข่าวเหยื่อถูกข่มขืนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่ว่าจะเป็นครูอาจารย์ กระทั่งพ่อตัวเอง
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะทำความรู้จักด้วยนะคะ ; )