เด็กน้อยผู้แสนงดงาม ผมชอบคุณนะ ชอบคุณมากๆเลย...
นี่มันรักแรกพบชัด ผมตกหลุมรักคุณตั้งแต่แรกเห็นเลยล่ะ...
วันนี้ฝนตก...
ทั้งๆที่ฤดูกาลได้หมุนเปลี่ยนก้าวสู่เข้าความหนาวเย็นแล้วแท้ๆ แต่กลับมีฝนหลงฤดูผ่านมาทักทาย
ความแปรปรวนของอากาศที่เอาแน่เอานอนไม่ค่อยจะได้จนหลายครั้งก็นึกหงุดหงิดขึ้นมากับความเปียกแฉะที่มักเวียนมาพบเจอกันในช่วงเวลาเร่งรีบอย่างไม่บอกกล่าวล่วงหน้า
บางทีอาจจะเป็นเพราะก็อบลินที่กำลังเศร้าโศกอย่างในซีรี่ย์เรื่องดังที่กำลังฉายได้กล่าวไว้ล่ะมั้ง
แต่มันจำเป็นที่ต้องเศร้าโศกทุกวันแบบนี้เลยหรอ!?
แต่สำหรับฝนในช่วงเวลานี้ของจองแจฮยอนมันช่างเป็นอะไรที่น่าถูกใจยิ่งกว่าสิ่งใด
เพราะมันมักจะนำพาคนที่มาพร้อมกับความบังเอิญมาให้เจอเสมอ ฝนที่ตกในวันธรรมดาที่ควรเป็นเรื่องธรรมดาดั่งเช่นทุกวันหากแต่วันนี้มันกลับมีเรื่องราวชีวิตให้มีสีสันต่างจากที่เคยเป็นอยู่ออกไปและดูท่าว่าจะมีรสชาติหอมหวานไม่ใช่น้อยซะด้วย
บนฟุตบาตระหว่างสองฝั่งข้างถนนที่มีเลนรถวิ่งแทรกกลาง
กับปริมาณผู้คนล้นหลามที่ยืนเบียดเสียดกันในช่วงเวลาเร่งรีบยามเย็นเพื่อรอข้ามฝั่ง
และในทันทีที่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นอีกสีผู้คนที่เคยยืนเบียดชิดกันก็พากันกรูวิ่งข้ามโดยไม่สนใจว่าจะชนกับใครหรืออะไร
ความเบียดเสียดที่ทำให้แจฮยอนก้าวเบี่ยงตัวและก้าวถอยหลังออกจากฝูงชนสองสามก้าว
ตัดสินใจไม่เข้าไปแย่งชิงพื้นที่กับกลุ่มคนเหล่านั้นจะดีกว่าเพราะไม่ช้าหรือเร็วยังไงซะเค้าก็ต้องได้ข้ามไปอีกฝั่งอยู่แล้ว
รออีกสักไฟแดงคงไม่เป็นอะไร
หากแต่ในวินาทีที่ไม่ทันระวัง...
มือที่ควรจับคันร่มในมือไว้ให้แน่กลับคลายออกอย่างไม่ทราบสาเหตุแล้วปล่อยให้สิ่งที่อยู่ในมือรั้งขึ้นไปสูงตามแรงลม
ให้ใบหน้าที่เคยก้มต่ำเงยขึ้นน้อยๆพร้อมกับเสี้ยวหน้าที่ถูกบดบังจากตัวร่มได้เปิดออก
ในวินาทีนั้น...
ที่ราวกับว่าโลกรอบตัวหยุดหมุนขึ้นมาฉับพลับทันใดเพียงแค่ได้มองสบตา
ในวินาทีนั้นที่ปล่อยให้มันเดินไปกับเวลาช้าๆ...
กับดวงตาเรียวที่เผลอหันไปมองสบเข้ากับดวงตากลมๆของคนที่หัวสมองไตร่ตรองออกมาแล้วแล้วว่าน่าจะอายุน้อยกว่าที่ก้าวผ่านตัวเค้าไปราวกับเป็นภาพช้า มันช่างเป็นภาพเชิญชวนให้ติดตาจนถึงกับต้องหันเหลียวไปมองตามอง จนกระทั่งคนๆนั้นละสายตาหายไป
กับความคิดที่ติดอยู่ในใจที่อดสงสัยไม่ได้ว่า...
เมื่อกี้นี้น่ะเป็นคนหรือนางฟ้ากันแน่?
ก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรที่ทำให้ถูกดึงดูด
สวยมั้ย? ก็เคยเห็นที่สวยกว่านี้เยอะแยะ
แต่ว่าสวยประมาณนี้ น่ารักประมาณนี้ ตากลมด้วยนิดๆ กับปากเล็กๆด้วยอีกหน่อย แบบนี้แหละที่มันตรงกับใจพอดีเป๊ะ
มันใช่เลย!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรอยยิ้มสดใสในวินาทีนั้นที่ไม่รู้ว่าคนส่งมาตั้งใจมอบให้ตนหรือไม่ แต่มันก็ดึงดูดให้คนมองอยู่ต้องยิ้มตาม
กับจังหวะหัวใจที่มันสั่นไหวแปลกๆ
และเต้นรัวดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามีใครสักคนมาลั่นตีกลองชัยอยู่ข้างในหัวใจดวงนี้
แบบนี้หรือเปล่านะที่เค้าเรียกว่า...
‘รักแรกพบ’...
ผมไม่คิดเลยว่าผมจะเจอนางฟ้าที่แสนงดงามบนโลกใบนี้...
ตอนที่ผมพบคุณครั้งแรก
คุณส่องประกายเหมือนกับนางฟ้าที่เพิ่งลงมาจากสวรรค์เลย...
ทำไมคุณถึงงดงามได้ขนาดนี้เลยนะ...
.
.
คุณครับ คุณชื่ออะไรหรอ?...
ไม่สิ นั้นไม่ใช่คำแรกที่ผมควรถามคุณเลย...
แต่ไม่ว่าจะชื่ออะไรก็ดูจะเหมาะกับคนสวยๆแบบคูณทั้งนั้น...
เพราะว่านางฟ้าของผม คือคุณไง...
ความบังเอิญวันก่อนนู่นที่ทำให้กลับมานั่งใช้ความคิดอยู่นานก็นึกขึ้นได้ว่าเสื้อผ้าที่นางฟ้าสวมใส่เหมือนกับเครื่องแบบม.ต้นของตัวเองที่เคยสวม และก็จริงตามนั้นเมื่อความบังเอิญเมื่อวานระหว่างที่เดินสวนกันเปลี่ยนคาบเรียน
ที่ราวกับว่าเหตุการณ์วันแรกวนฉายภาพซ้ำให้กลับมาเกิดขึ้นใหม่
สายตาที่สบมองกันและรอยยิ้มหวานที่ส่งมาจนร่วงหล่นลงไปในหลุมรักอีกครั้ง...
ทั้งๆที่อยู่มาร้อยวันพันปีจนจะเรียนจบม.ปลายอยู่แล้วแท้ๆ แต่ความบังเอิญเพิ่งจะมาทำงานอะไรตอนนี้!!
และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ความบังเอิญหมุนเวียนมาชนกับความอยากเจอ
เป็นความบังเอิญที่พระเจ้าช่างเมตตาลูกหมูตาดำๆคนนี้ได้อย่างสุดซึ้ง
แต่ก็นั่นแหละ
ความบังเอิญที่มาติดกันจนเกินไปมันช่างแปรผันกับความกล้าที่ลดลงฮวบฮาบ
พอเจอนางฟ้าแต่ละทีแจฮยอนคนกล้าไม่เคยจะมี มีแต่แจฮยอนคนขี้ขลาดที่ยืนอยู่ตรงนี้ที่ปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปกับการแอบมองอยู่เรื่อยๆ
อาจเป็นเพราะหัวใจที่ยังไม่สามารถบังคับให้เต้นเป็นปกติได้ก่อนเข้าไปคุย
หรืออาจเป็นเพราะความลังเลที่มัวแต่ปล่อยให้ความกังวลมันตีกันไปมาในความรู้สึก
หรือเพราะอะไรสักอย่างก็ตามแต่ที่ตัวเค้าเองก็ไม่ทราบสาเหตุเหมือนกัน
รู้แค่ว่าตากลมๆกับรอยยิ้มสดใจนั่น เผลอมองตามทีไรหัวใจมันแพ้ทางซะทุกที
“ทำไมวันนี้กลับเย็น”
แต่แล้วก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ถามคำถามนั้นออกไปทั้งๆตั้งใจว่าวันนี้จะแอบตามอยู่ห่างๆ
แอบมองอยู่เงียบๆให้พอสุขใจไปวันๆจนกว่าจะกล้าแล้วแท้ๆ
แจฮยอนไม่รู้ตัวสักนิดว่าเค้าขยับตัวเข้าไปใกล้เด็กน้อยคนนี้ให้ไปยืนเผชิญหน้ากันตั้งแต่เมื่อไหร่
ไม่รู้ตัวพอๆกับคันร่มที่อยู่ในกำมือที่ยื่นออกไปเพื่อกันไม่ให้นางฟ้าตัวน้อยโดนละอองฝน
มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีใบหน้าของเด็กตัวเล็กกว่าที่แหงนเงยขึ้นมองเนื่องจากความสงสัยใคร่รู้กับคำถามและการกระทำ
ที่ทำให้แจฮยอนถึงกับสะดุ้งขึ้นมานิดๆพร้อมกับการรับรู้ว่าตัวเองเผลอพลาดหลุดทำอะไรไม่ค่อยเข้าท่ากับคนที่ไม่รู้จักกันและเพิ่งเจอกันตรงๆแบบนี้ครั้งแรกออกไปเสียแล้ว
เผลอปล่อยไก่ตัวโคตรโตเลย จองแจฮยอนเอ้ย!!
“ก็...ปกติมอต้นเลิกเร็วกว่ามอปลายนี่” คำอธิบายที่ไม่ช่วยอะไรแถมยิ่งทำให้บทสนทนาต่อไม่ติดยิ่งกว่าเดิม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับดวงตากลมคู่ที่ยิ่งจ้องก็ยิ่งสื่อความหมายไปในทางฉงนกว่าเก่าให้แจฮยอนยิ้มน้อยๆส่งกลับไปแก้เกอ
“แถไม่เนียนเลยใช่ม่ะ”
“ยังไงดีล่ะ”
เรียวนิ้วยกไปเกาศีรษะแกรกๆอย่างขอเวลาใช้ความคิดว่าจะเริ่มอธิบายยังไงให้ตัวเองดูโรคจิตน้อยที่สุด
คงไม่ใช่ว่าโดยเกลียดไปแล้วหรอกนะ
T__T
“คือ...”
“ครับ?”
“...พี่แอบตามเรามาได้สักระยะหนึ่งแล้วแต่ไม่กล้าเข้าไปคุยด้วย
ขอโทษนะ”
ใบหน้าที่ควรฉายความหล่อให้คนอื่นเห็นตลอดเปลี่ยนเป็นจ๋อยสนิทเมื่อตัดสันใจเอ่ยความจริงออกไป
โอเคว่าเค้าอาจจะโดนนางฟ้าโกรธแต่อย่างน้อยก็ยังพอทำใจให้สู้ต่อไปไหว
แต่ถ้าโดนเกลียดขึ้นมาจริงๆ...
โลกของแจฮยอนคนนี้คงสลายลงไปในฉับพลันพริบตาเดียวเลยแน่ๆ
หากแต่ว่าโลกของจองแจฮยอนก็ยังคงหมุนวนดำเนินต่อไป เมื่อใบหน้าที่เจื่อนสนิทนั้นมันกลับสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนที่กลั้นขำไว้และพยายามไม่แสดงออก แต่ในที่สุดก็ดังเล็ดลอดส่งเสียงขึ้นมาทำลายบรรยากาศท่ามกลางความเงียบงันระหว่างคนทั้งสองเข้าจนได้ ให้คนหล่อที่ใบหน้าเหลือเพียงอาการเหวอสุดๆยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปซะทุกที...
ทุกที...
แต่คิดในแง่ดีก็แล้วกัน
เอาเป็นว่าเสียงหัวเราะแบบนี้ที่มีความหมายไปในทางดีว่านางฟ้าตัวน้อยตนนี้ไม่เกลียดแจฮยอนก็พอแล้ว
“เราเคยเจอกันแล้วครับผมจำรุ่นพี่ได้”
เวลาที่เดินผ่านไปสองสามนาทีกว่าเด็กน้อยจะตั้งสตินึกได้ว่าตนเผลอทำตัวเสียมารยาทกับคนโตกว่าออกไป สติที่เพิ่งกู้กลับมาค่อยๆเปลี่ยนเสียงหัวเราะให้เหลือเพียงรอยยิ้มสดใสเข้ามาแทนที่
ก่อนจะเอ่ยเป็นคำอธิบายที่ไม่อยากให้ท่าทีของตัวเองกลายเป็นความเข้าใจผิดว่าตนโกรธหรือเกลียดรุ่นพี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ตรงไฟแดงเมื่อวันก่อนนู้น
แล้วก็เมื่อวานนี้ที่ระเบียงตอนเปลี่ยนคาบเรียน”
“พี่ชื่อแจฮยอนนะ
แล้วเราล่ะชื่ออะไร”
แปลกมั้ย?...
ถ้าจะถามทั้งๆที่รู้ดีอยู่แล้วว่าเด็กน้อยตรงหน้ามีชื่อว่าอะไร
ไม่รู้สิ...
อาจเป็นเพราะเค้าเองก็อยากได้ยินจากปากเจ้าตัวมากกว่า และก็คงเป็นเพราะไม่อยากให้ความเงียบเข้ามาแทรกกลางระหว่างคนสองคนด้วยล่ะมั้ง
“ไม่ใช่ว่ารู้อยู่แล้วหรอกหรอครับ”
และราวกับว่านางฟ้าตัวน้อยของเค้าจะรู้ทัน
เสียงหัวเราะคิกคักที่ดังขั้นอีกครั้งให้คนถูกดักทางเกิดอาการเหวอขึ้นมาอีกครั้งในช่วงวินาทีสั้น
ก่อนที่ท่าทางน่ารักเหล่านั้นจะแปรเปลี่ยนให้คนที่มองอยู่ได้ปรากฏรอยยิ้มอบอุ่นขึ้นตามมา
นางฟ้าของแจฮยอนทำไมทั้งน่ารักแล้วน่ามองได้ขนาดนี้น้า~
“ก็อยากถาม ไม่ได้เหรอ?”
“มาร์คครับ มาร์คลี”
“ไม่อยากเรียกชื่อนี้แฮะ”
“เอ๋??” ท่าทางที่แปลกไปในทิศทางที่ดูจริงจังแต่ก็ยังติดไปในทางเจ้าเล่ห์ด้วยอีกนิดของแจฮยอน
ทำให้มาร์คแอบก้าวทิ้งระยะห่างออกมาอีกสักหน่อย แต่ก็ยังไม่ทันกับความไวของฝ่ามือจากคนตัวโตที่เอื้อมมือมารั้งเด็กน้อยให้กลับมาอยู่กับที่ตามเดิม
นี่มันราชสีห์ที่แกล้งเป็นลูกแกะชัดๆ!
“พี่อยากเรียกเราว่านางฟ้า
อนุญาตให้พี่เรียกได้มั้ยครับ?”
ราวกับว่าคนที่ถูกเรียกว่านางฟ้าเกิดใบ้รับประทานเพราะโดนน็อกกลางอากาศจนตามไม่ทันไปชั่วครู่
แต่นั่นก็ดูท่าว่าจะยังไม่จบลงง่ายๆ
ไหนๆแจฮยอนก็เดินหน้ารุกจริงจังมาขนาดนี้แล้วก็ต้องรุกฆาตเอาให้อยู่หมัดไปซะเลย
“เรายังไม่มีแฟนใช่มั้ย”
โดยที่ไม่รอให้สมองของเด็กน้อยมีเวลาประมวลผลทันการน็อกครั้งที่สองก็ตามมา
นางฟ้าที่โดนอาการเหวอของแจฮยอนสลับมาใส่ร่างราวกับว่ากำลังถูกร่ายมนต์สะกดตกหลุมพลางของมนุษย์เจ้าเล่ห์ให้ทำได้แค่เพียงส่ายหน้าไปมาเป็นการแสดงคำตอบของคำถามนั้นว่าเด็กน้อยคนนี้ยังไม่มีแฟน
“ถ้างั้น...”
ใบหน้าของคนตัวสูงกว่าที่ขยับก้มลงไปใกล้ให้มีเพียงคันร่มกั้นอยู่ตรงกลางเหลือพื้นน้อยๆทิ้งไว้ให้พอไม่ให้นางฟ้าหัวใจวายตายก่อนที่เค้าจะปล่อยหมัดชนะน็อกออกไป
“พี่จีบนะ”
มาร์คลี
น็อกเอ้าต์!
.
.
.
คงเพราะหัวใจมันผูกกันล่ะมั้งความบังเอิญก็เลยทำงานตลอด...
แม้ว่าบางครั้งที่อาจเป็นความจงใจบ้างก็คงไม่เป็นไร...
นาฬิกาบอกเวลาที่แสดงความหมายว่าแจฮยอนเลยเวลานัดมานานแล้วทำให้เรียวขายาวต้องรีบจ้ำก้าวไปข้างหน้าให้เร็วที่สุดก่อนที่จะโดนคนที่รออยู่โกรธซะก่อน
แต่แล้วการวิ่งก็ปรับจังหวะเป็นการเดินช้าจนเกือบไร้เสียงเมื่อสายตาหันไปประทะเข้ากับภาพน่ามองของร่างเด็กน้อยแสนคุ้นตาที่กำลังเอื้อมมือไปรองรับเม็ดฝนกับรอยยิ้มสดใสที่บ่งบอกถึงความสุขที่ไม่ว่ามองแล้วต่อแล้วกี่ครั้งก็ยังน่ารักเหมือนเดิมไม่เคยลดน้อยลง
กินอะไรเข้าไปน้าา~ ถึงได้น่ารักขนาดนี้
“ถึงจะเป็นนางฟ้าแต่ก็ป่วยได้นะ”
เสียงเอ่ยทักทายทำเอาเด็กน้อยที่อยู่ในภวังค์แห่งความสนุกสะดุ้งตกใจรีบชักมือเล็กๆที่กำลังรองรับน้ำฝนอยู่กลับเข้าหาตัวราวกับเป็นเด็กที่กลัวถูกดุ
แต่เมื่อในสายตาปรากฏภาพว่าเป็นใครที่ทักและกำลังเดินเข้ามาใกล้ รอยยิ้มกว้างเต็มไปด้วยความสดใสจึงส่งมอบออกไปให้พร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นที่ส่งกลับมา
“พี่แจฮยอนมาแล้ว”
“รอพี่นานมั้ย?”
“นานมากกกกกก
นานจนมาร์คคิดว่าถูกพี่ทิ้งแล้วเนี่ย”
แก้มพองลมน้อยๆที่คล้ายว่ากำลังงอนแต่ดวงตากลับไม่มีร่องรอยความขุ่นมัวของอารมณ์โกรธจากการถูกทิ้งให้รอนานอย่างที่เจ้าตัวพูดให้แจฮยอนรู้สึกกังวลใจเลยสักนิด
แต่มันเป็นความน่าเอ็นดูเสียจนเรียกมือใหญ่ให้ยื่นออกไปขยี้เบาๆตรงกลุ่มผมนิ่มที่ติดจะเปียกชื้นเล็กน้อยจากละอองน้ำฝน
กับความหวานอบอวลที่ส่งผ่านมาทางสายตาให้เด็กน้อยที่ถูกกระทำเกิดอาการเขินจนไม่รู้จะขยับตัวไปทางไหนดี
“ถ้าจ้องนานกว่านี้
มาร์คจะคิดค่าจ้องนาทีล่ะหมื่นวอน” ประโยคเรียกเก็บเงินจากเด็กน้อยที่รู้สึกว่าตนถูกจ้องนานเกินไปแล้วชวนให้นึกหมั่นเขี้ยวจนแจฮยอนต้องเลื่อนมือลงมาบีบเบาๆเข้าที่พวงแก้ม
“ก็พี่แค่สงสัย”
“สงสัยอะไรครับ?”
“มาร์คเป็นเด็กใหม่ กลับเย็นแบบนี้เพราะยังไม่รู้ล่ะสิ”
“รู้ว่า?”
“โรงเรียนนี้มีตำนานที่น่ากลัวมากเลยนะ
เด็กที่โรงเรียนนี้ก็เลยไม่ชอบอยู่เย็น”
“อย่ามาอำนะ!
พี่แจฮยอนจะแกล้งหลอกอะไรมาร์คอีก”
“ไม่ๆ
พี่พูดเรื่องจริง เมื่อสามปีที่แล้วในวันสุดท้ายของการสอบมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งโรคหัวใจกำเริบแล้วเป็นล้มระหว่างทางที่มาเพราะเจ้าหน้าที่มาช่วยช้าไปเค้าเลยไปไม่ทันถึงมือหมอ
คงเพราะก่อนเสียชีวิตเค้ายึดติดกับการสอบล่ะมั้งปัจจุบันนี้ก็เลยยังวนเวียนอยู่ที่นี่อยู่เลย”
“แล้ว...พี่แจฮยอนไม่กลัวหรอ”
นางฟ้าที่ขยับตัวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
สุดท้ายก็คว้าเอามือใหญ่ไปจับกำไว้ในมือเล็กเพื่อบรรเทาความตื่นกลัวที่เข้ามาโจมตี
“ไม่อ่ะ พี่ต้องซ้อมบาสดึกก็เลยชินแล้ว
วันนี้พี่ก็เจอเค้านะ นั่นไงอยู่ข้างหลังมาร์ค อันยอง~”
“พี่แจฮยอน!!”
และสิ่งที่แจฮยอนรอคอยก็เกิดขึ้นจริง
เมื่อความกลัวในบรรยากาศและเรื่องเล่าเพิ่มขึ้นถึงขีดสุดเด็กน้อยที่ก่อนหน้าแค่คว้ามือใหญ่ของเค้าไปกุมก็เปลี่ยนเป็นคว้าเอาคนตัวโตกว่าเข้าไปกอด
ใบหน้าที่ซุกอยู่ตรงหน้าอกแกร่งอย่างไม่สนแล้วว่าสิ่งที่มาจากคำบอกเล่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
มาร์ครู้แต่ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังกลัว
และการกอดแจฮยอนไว้แบบนี้มันอุ่นใจกว่า
“กลัวหรอ?”
มือที่ขยับขึ้นไปลูบปลอบประโลมยังเส้นผมนิ่มเพื่อนให้นางฟ้าของตนนั้นคลายกังวล
แต่ดวงตาเรียวนี้สิมันกลับเจ้าเล่ห์เสียจนถ้าหากมาร์คเงยหน้าขึ้นมองสักหน่อยก็คงพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้านั้นน่ากลัวยิ่งกว่าเรื่องผีที่ถูกถ่ายทอดมาให้ฟังซะอีก
“กลัวสิฮะ
มาร์คกลัวเรื่องสิ่งไม่มีชีวิตแบบนี้ที่สุดเลย”
“กลัวทำไมพี่ล้อเล่นต่างหาก”
“ไอ้พี่บ้า!”
ถึงร่างกายของเด็กน้อยจะผละออกจากอ้อมกอดในทันทีที่รู้ตัวว่าตนเสียรู้ให้กับคนจงใจฉวยโอกาส
แต่ฝ่ามือก็ยังทิ้งร่องรอยความเจ็บแสบเอาไว้โดยการฝาดมันลงกระทบกับกล้ามเนื้อหน้าอกด้านซ้ายดังปั๊กหนึ่งที
ก่อนจะตามด้วยกำมือที่ทุบลงบนหน้าอกขวาอีกหนึ่งทีเพื่อไม่ให้ข้างใดข้างหนึ่งน้อยหน้าอีกข้าง
ถ้าถามว่าแจฮยอนเจ็บมากมั้ย? ก็ขอบอกเลยว่าเจ็บมากกกกกก แต่จะให้จับจูบเหมือนในละครหลังข่าวมันก็ดูจะฮาร์ดคอร์เกินไป
ถือซะว่าเจ็บแค่นี้แลกกับร่างกายนุ่มนิ่มที่โผเข้าหาเค้าเมื่อครู่มันก็สุดจะคุ้มเกินคุ้มแล้ว
“พี่แจฮยอนนิสัยไม่ดี!”
ใบหน้ายู่ยี่เพราะความโกรธที่มีปากยื่นๆกับแก้มพองลมเป็นของแถม
แต่ใช่ว่ามันจะทำให้ความน่ารักลดลงไปเลยแม้แต่สักนิดเดียว
ตรงกันข้ามมันกลับยิ่งทำให้อยากจับมาฟัดซะมากกว่า ความน่าเอ็นดูที่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหวต้องรั้งร่างของเด็กน้อยที่ตัวเล็กกว่ามาไว้ใกล้ๆ
แล้วก้มใบหน้าลงไปจรดปลายจมูกเข้าไปแนบชิดกับพวงแก้มนิ่มเพื่อสูดเอาความหอมหวานที่มันล่อตาล่อใจจองแจฮยอนคนนี้มาตั้งนานแสนนาน
“พี่แจฮยอน!!
ขโมยหอมแก้มมาร์คอีกแล้วนะ เมื่อเช้าก็ทีนึงแล้ว”
“เดี๋ยวไปส่งหน้าบ้านก็มีอีกทีนั่นแหละ”
เวลาที่เดินผ่านไป
แปรให้คนที่เคยขลาดกลัวไม่กล้าเข้ามาจีบนางฟ้าตอนนู้นเปลี่ยนเป็นคนหน้าด้านชอบฉวยโอกาสในเวลานี้
และหากมาร์คไม่รีบเอื้อมมือไปดันใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยยิ้มกรุมกริมประดับอยู่บนนั้นให้ห่างจากหน้าตัวเองไว้ก่อนล่ะก็
คงต้องเปลืองแก้มอีกข้างให้เป็นที่ประทับของริมฝีปากนุ่นที่พร้อมจะโน้มเข้าหาอีกรอบโดยไม่ต้องสงสัย
“มาร์คไม่คุยด้วยแล้ว!”
ดวงตากลมที่ตวัดใส่ไปคาดทับบอกให้รู้ถึงอารมณ์ที่เริ่มโกรธจริงจังก่อนจะรีบดันตัวออกให้ห่างเพราะไม่อยากเปลืองตัวไปมากกว่านี้
แต่คนเป็นพี่ก็ยังไม่รู้สำนึกถึงความผิด
รอยยิ้มระรื่นยังคงปรากฏอยู่บนใบหน้าอย่างสนุกกับการกระทำ
ให้คนเป็นน้องนึกหงุดหงิดแล้วเป็นฝ่ายพาตัวเองเดินหนีออกมาดีกว่า
แจฮยอนตอนกลายร่างเป็นราชสีห์เจ้าเล่ห์น่ะ
มาร์ครับมือไม่ไหวหรอกนะ
“นางฟ้าจะรีบเดินไปไหนน่ะ
ทางนั้นมันเปลี่ยวนะเริ่มค่ำแล้วด้วย เดี๋ยวก็เจอดีหรอก”
เสียงเอ่ยรั้งไว้ปนกับเสียงกั้นขำของแจฮยอนทำเอาเด็กน้อยที่ตั้งใจเดินหนีชะงักเรียวขาไม่กล้าก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ
แต่จะให้เดินกลับไปหาคนที่เอาแต่แกล้งเค้าแล้วยังไม่รู้สึกนึกมาร์คก็ขอเลือกเดินหน้าเข้าหาสิ่งที่กลัวจะดีกว่า
“นางฟ้าครับเราไม่มีร่มนะ
อย่าเดินหนีพี่แบบนี้สิเดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
และก็เป็นจริงอย่างที่คาดไว้
ต่อให้เดินเร็วแค่ไหนก็คงหนีไม่พ้นเพราะขาเรียวยาวย่อมไล่ตามขาเล็กที่ก้าวสั้นกว่าได้ทันอยู่แล้ว
มือใหญ่ของแจฮยอนที่ฉุดรั้งไว้ให้เด็กน้อยหันกลับมาหาแต่เจ้าตัวก็ยังคงรั้นไม่ยอมหันมาคุยกันต่อง่ายๆ
ให้แจฮยอนอาศัยจังหวะก้าวขายาวๆครั้งสุดท้ายเป็นฝ่ายเดินขึ้นไปดักทางข้างหน้าปิดกั้นการหลบหนีได้ในที่สุด
แม้จะมีร่มคันโตที่กางออกเพื่อป้องกันละอองฝนไว้ชั้นหนึ่งแล้ว
แต่คนขี้ห่วงก็ยังจัดแจงถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนมาคลุมหัวทุยๆนั้นไว้ก่อนที่มันจะเปียกลู่ไปทั้งหัวแล้วทำให้เด็กน้อยของเค้าไม่สบายขึ้นมาซะก่อน
“มาร์คครับ
โกรธพี่จริงๆหรอ” มือเล็กข้างที่ถูกคว้าไปจับไว้ไม่ได้สะบัดออกหรือแสดงอาการขัดขืนแต่อย่างใด
หากแต่ความนิ่งเฉยนั่นมันกลับทำให้แจฮยอนรู้สึกกระวนกระวายมากกว่าการที่มาร์คโวยวายหรือแสดงออกว่าโกรธซะอีก
“พี่ขอโทษนะ อย่าเงียบแบบนี้สิพี่ใจคอไม่ดีเลยนะ”
“อย่าโกรธพี่เลยนะ
นางฟ้าตัวน้อยของพี่แจฮยอน”
น้ำเสียงออดอ้อนที่ส่งมาพร้อมกับรอยยิ้มละมุนและอาการสำนึกผิดทางสายตาที่สบมองกัน
ทำให้เด็กน้อยที่ไม่คิดจะใจแข็งเตรียมไว้เพื่อต้านทานตั้งแต่แรกถึงกับหัวใจสั่นไหว
เสียงถอดหายใจเฮือกใหญ่ระบายอารมณ์ออกมาเมื่อไม่ว่ายังไงสุดท้ายแล้วเด็กน้อยก็งอนนานๆไม่เคยสำเร็จ
เพียงแค่การอ้อนนิดอ้อนหน่อยหัวใจน้อยๆดวงนี้ก็อ่อนยวนยอมแพ้ให้ทุกครั้ง
โหมดเจ้าเล่ห์น่ะแค่รับมือยาก
แต่แจฮยอนโหมดขี้อ้อนนี่สิมาร์คลีแพ้ทางที่สุดแล้วเลย!
“มาร์คหิวแล้ว
รีบกลับบ้านกันเถอะครับ”
รอยยิ้มสดใสที่ส่งมาให้แจฮยอนจนตาหยีเป็นการแสดงออกว่าไม่ได้โกรธอะไรจากเหตุการณ์เมื่อครู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนด้วยกันไกล มือเล็กที่เคยปล่อยว่างทิ้งไว้ก็ถูกคว้าไปกุมด้วยเหตุผลง่ายๆจากของคนอยากจับนั้นว่า “ก็... จับมือกันไว้แบบนี้มาร์คจะได้ไม่กลัวไง”
“ที่จริงแล้วมาร์คไม่เห็นต้องกลัวเลย”
แม้ดวงตาจะเฉไฉไปทางอื่นไม่หันกับมาสบมองเด็กน้อยที่ฟังอยู่อย่างกับว่าพูดเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป
ผิดกับมือใหญ่ที่ยังคงจับจูงให้ก้าวเดินไปข้างหน้าเป็นจังหวะเดียวกันที่แม้จะไม่ได้แนบแน่นแบบที่ไม่อยากปล่อยให้ห่างกาย
แต่ก็กระชับพอให้คนถูกสัมผัสรู้สึกอบอุ่นและเป็นเครื่องยืนยันว่าคนจับอีกคนจะอยู่ข้างๆไม่หนีหายไปไหน
“เพราะในทุกๆที่ที่มาร์คจะเดินไป พี่จะอยู่ข้างๆแล้วก็จับมือมาร์คไว้แบบนี้ พี่ไม่มีวันปล่อยให้มาร์คต้องกลัวคนเดียวเด็ดขาด”
.
.
.
นี่มันเกินไปแล้วนะ
ไหนจะขาขาวๆของคุณ แล้วก็ปากแดงๆของคุณด้วย
กับใบหน้าสวยๆที่บอกความเป็นตัวคุณทุกอย่าง คุณทำเกินไปแล้วนะ...
มาเป็นของผมเถอะ
เป็นของผมแค่คนเดียวเถอะนะครับ...
ผมไม่รู้แล้วว่าควรทำยังไง
ทำไมผมถึงได้ชอบคุณมากขนาดนี้จังน้า~...
วันนี้ฝนไม่ตก
จองแจฮยอนก็เลยมีเรียนคาบพละในตอนบ่าย
คาบพละที่เป็นวิชาเรียนบาสและจองแจฮยอนคนนี้ก็แทบไม่ต้องเรียนอะไรมากมายอาศัยแค่เข้าเช็คชื่อให้ครบตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ก็พอ
ก็ไม่อยากจะอวดหรอกนะว่าเป็นนักกีฬาบาสคนสำคัญของโรงเรียน
อาจารย์ผู้สอนก็เลยปิดหูปิดตาลงข้างหนึ่งในตอนที่เค้าหายหัวไปแอบงีบหลับสักพักแล้วโผล่กลับมาอีกทีตอนเลิกเรียน
วันนี้ก็เช่นกันแจฮยอนก็อยากไปเอนกายแอบหาที่หลับตรงไหนสักที่ในชั่วครู่
แต่ก็คงเป็นเพราะความบังเอิญอีกแล้วนั่นแหละที่เข้ามาเล่นงาน อาจารย์ที่ควรสอนวิชาพละให้กับเด็กม.ต้นดันติดประชุมกะทันหันแล้วฝากเด็กทิ้งไว้กับอาจารย์ผู้สอนที่กำลังควบคุมชั้นเรียนของพวกเค้า
และแจฮยอนจะไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าเด็กห้องที่ฝากไม่ใช่ห้องเรียนของเด็กน้อยนางฟ้า
ก็อยากจะปฏิเสธความบังเอิญที่มันมาไม่เป็นเวล่ำเวลาแบบนี้อยู่เหมือนกันหรอกนะ...
เพราะบังเอิญมากไปแล้วหัวใจจะวาย
แต่ติดตรงที่ว่าความบังเอิญครั้งนี้ที่มันโคตรดีต่อใจเลยนี่สิ
โดยเฉพาะเอวบางๆขาวๆที่โผล่มาให้เห็นทุกครั้งในยามที่เสื้อวอร์มมันเลิกขึ้นสูงตามทุกๆการเคลื่อนไหวของคนสวมใส่ที่ขยับตัวขึ้นชู้ตลูกด้วยแล้วล่ะก็นะ...
บอกตรงๆว่าคิดไปในทางที่ดีไม่ได้เลยจริงๆ
หวังว่าเลือดกำลังจะไหลออกมาให้ขายหน้าหรอกนะ...
“...อยากกินมั้ยครับ”
ไม่รู้ว่ามันเป็นแค่ความคิดเพลินเกินไปหรือเป็นเรื่องจริงกับการที่อยู่ๆเด็กน้อยในมโนภาพก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าแล้วถามคำถามที่แจฮยอนฟังไม่ชัดเกือบทั้งประโยคแต่จับคำได้แค่ว่าอยากกินมั้ย?
อยากกินอะไรนั่นไม่รู้
แต่ถ้าเป็นเด็กน้อยตรงหน้าล่ะก็แจฮยอนอยากกินแน่ๆ
“อืม อยาก”
“แต่มาร์คว่ามันไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่”
“ไม่ๆ พี่ว่าน่ากิน
ต้องอร่อยมากแน่ๆ”
ขาวๆแบบนี้
จะตรงไหนนางฟ้าก็น่าชิมทั้งนั้น...
“พี่แจฮยอนคิดแบบนี้จริงๆหรอ”
“อืม
จะกินคนเดียวไม่แบ่งใครเลยล่ะ”
มาร์คเป็นนางฟ้าเค้าคนเดียว
แจฮยอนไม่มีวันแบ่งให้คนอื่นง่ายๆหรอก...
“งั้นพี่ต้องกินคุกกี้ให้หมดห่อเลยนะครับ”
“คุกกี้”
“ก็คุกกี้ไง”
น้ำเสียงกดลงเน้นคำว่าคุกกี้ให้ชัดกับหลังมือที่กระทบกับแก้มขาวเบาๆทำให้แจฮยอนรู้ว่าเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าคือคนจริงๆไม่ใช่แค่ภาพในจิตมโน
“เมื่อเช้ามาร์คมีคาบคหกรรมก็เลยเอามาให้พี่แจฮยอนชิมดู
นี่พี่คิดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย”
สองมือใหญ่ที่ยกมือโบกเป็นพัลวันกับอาการพูดตะกุกตะกักส่งเสียงขึ้นมาปฏิเสธ
เมื่อเจอน้ำเสียงจับผิดในคำถามท้ายประโยคที่มาร์คคิดตงิดในใจกับท่าทางลุกลี้ลุกลี้แปลกไปไม่ว่าจะดูอย่างไรก็พบว่ามันต้องมีอะไรแอบแฝง
แต่เพราะมาร์คไม่อยากใส่ใจมากว่าคนตัวโตนั้นคิดเกินเลยไปถึงไหน เด็กตัวเล็กกว่าทรุดตัวลงนั่งด้านข้างในบริเวณทีว่างอยู่ก่อนที่สองมือเล็กจะบรรจงแกะห่อคุกกี้ที่ดูเป็นสิ่งสำคัญกับมาร์คในตอนนี้แล้วบริการป้อนถึงปากให้อย่างเอาใจ
สำหรับแจฮยอนแล้วมันคงจะดีกว่านี้
ถ้าไม่ใช่ว่าคุกกี้ที่อยู่ในมือนั่นหน้าตามันดูไม่อร่อยจนแทบดูไม่เหมือนที่ของคนกินได้เลย T_T
จดๆจ้องๆกันไปมาอยู่สักพัก
สุดท้ายก็ทนความกดดันจากนางฟ้าของตนไม่ไหว นางฟ้าที่คล้ายกับว่าได้กลายร่างเป็นวายร้ายตัวน้อยๆไปแล้วเรียบร้อย
กับความหมายทางสายตาที่ส่งมาให้แจฮยอนรีบๆเอาคุกกี้ชิ้นโตในมือนี้เข้าปากไปเสียทีก่อนที่จะมาร์คจะเหลืออดแล้วเป็นฝ่ายจับยัดมันเข้าปากเค้าเสียเอง
“อร่อยมั้ยครับ” คำถามกดดันพร้อมกับความคาดหวังในน้ำเสียงที่ดวงตายังคงจับจ้องนิ่งอยู่บนในหน้าแจฮยอนอย่างไม่ลดละที่ราวกับว่ากำลังฝากความหวังของคนทั้งโลกไปยังคนชิม
กรุบ...
กัดแทบไม่ลง ถ้าอบอีกนิดก็เอาไปใช้แทนก้อนหินได้เลย
“ก็... แข็งไปนิด”
“แล้วรสชาติล่ะครับ?”
กรับ...
หวานละมุนลิ้นซะอย่างกับว่าส่วนประกอบทั้งหมดมีแต่น้ำตาลไม่มีแป้งหรือน้ำเข้ามาผสม
“อืม... ก็หวานไปหน่อย”
“จริงเหรอ?”
อยากจะบอกว่าไม่จริง
แจฮยอนโกหกทุกคำพูด แต่ดวงตากลมๆในโหมดนางฟ้าตัวน้อยๆก็กลับมาประทับร่างอีกครั้งให้แจฮยอนพยักหน้าขึ้นลงตอบรับแล้วหยิบคุกกี้ชิ้นต่อไปเข้าปากทั้งๆที่ในใจภาวนาให้เด็กน้อยรีบเดินไปทางอื่นแล้วเค้าจะโยนทิ้งมันไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
บังเอิญเจอตอนที่คุกกี้ไม่อร่อยนี่ไม่ต้องบังเอิญก็ได้นะพระเจ้า!!
“แต่รวมๆแล้วก็อร่อยดีนะ”
คำพูดที่ขัดกับการกระทำก่อนหน้าอย่างชัดเจน
แม้มาร์คจะมองโลกในแง่ดีและเชื่อใจแจฮยอนมากแค่ไหนแต่ท่าทางที่แทบไม่อยากเคี้ยวอยากกลืนแบบนี้ต่อให้เด็กอนุบาลมาดูก็รู้ว่าแจฮยอนกำลังโกหกเด็กน้อยอยู่
และเพราะไอ้ท่าทางที่ไม่น่าเชื่อถือแบบนี้เนี่ยแหละทำให้มาร์คตัดสินใจหยิบฉวยคุกกี้ที่ตัวเองเป็นคนทำเข้าใส่ปากไม่ทันที่แจฮยออห้ามปรามหรือเอ่ยสิ่งใดออกมาขัดทั้งนั้น
“แค่กๆ” และทันที่คุกกี้โคตรหวานที่ส่งเข้าไปเป็นเวลาไม่ถึงห้าวิ
สัมผัสที่แตะกับปลายลิ้นโดยไม่ต้องออกแรงเคี้ยวใดๆทั้งนั้นเด็กน้อยที่เป็นคนทำมันขึ้นก็บ้วนทิ้งในทันที
“แบบนี้มันไม่เรียกว่าหวานไปนิดแล้วนะครับ มันโคตรหวานเลย
มันหวานเกินไปมากๆด้วย”
“ก็มาร์คทำนี่
พี่กินได้” แต่แจฮยอนก็ยังคงเคี้ยวต่อไปได้หน้าตาเฉยตาเรื่อยๆคล้ายกับว่าไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่กิน
ทั้งๆที่คิดอยากจะเอาไปทิ้งแต่ในใจจริงกลับทิ้งมันไม่ลงที่ยิ่งคิดถึงความตั้งใจที่ใส่มอบลงไปด้วยแล้วแจฮยอนเลือกที่จะกินให้หมดมันจะดีซะกว่า
“แต่มาร์คไม่ให้กิน
รสชาติมันแย่มากๆ พี่แจฮยอนอย่ากินมันเลยนะ” รสชาติย่ำแย่เสียจนเด็กน้อยที่เป็นคนทำรู้สึกผิดจนต้องยื้อแย่งห่อคุกกี้มาเก็บไว้ที่ตัวแล้วซ่อนไปไว้ข้างหลัง
ส่วนอีกมือก็ฉวยมือใหญ่ที่กำลังยื่นมือออกมายื้อมันกลับไปไว้เพราะไม่อยากยอมให้คนเป็นพี่ต้องฝืนกินอีกต่อไปแล้ว
“มาร์คขอโทษ พี่ทิ้งมันไปเถอะ
เดี๋ยวเย็นนี้มาร์คพาพี่ไปเลี้ยงขนมไถ่โทษก็ได้”
ความรู้สึกผิดกับความกังวลกลัวว่าจะถูกโกรธตีรวนปนกันไปหมด
และคล้ายสองตากลมนั้นจะเอ่อล้นไปด้วยน้ำสีใสในไม่ช้า ให้แจฮยอนต้องเอื้อมมือข้างที่ว่างไปแตะศีรษะมนนั้นและบีบคลึงมือข้างที่มีมือเล็กๆนั้นยึดไปจับกุมเบาๆเพื่อปลอบประโลมไม่ให้นางฟ้าของตนรู้สึกแย่ใดๆมากไปกว่านี้
“เปลี่ยนจากเลี้ยงขนมไปกินข้าวบ้านมาร์คแทนได้มั้ยครับ”
.
.
.
บางครั้งผมก็รู้สึกหวาดกลัว ว่ารอยยิ้มที่แสนงดงามของคุณมันจะเป็นแค่ภาพลวงตาหรือเปล่า?...
คุณคือจิ้งจอกน้อยที่สวมหน้ากากนางฟ้าผู้ใจดีอยู่ใช่มั้ย...
ผมก็ทำได้แค่กังวลอยู่แบบนี้แหละ...
ผ่านด่านสำคัญได้แล้ว!
บ้านที่หลายครั้งที่แจฮยอนมีความกล้ามากพอแค่เดินมาส่งนางฟ้าตรงหน้าประตูแต่ขลาดกลัวที่จะก้าวเดินเข้าไปข้างในต่อหากแต่ครั้งนี้เค้าเอาชนะความกลัวและลงมือกระทำมันจนสำเร็จ
การมาครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อต้องการพิสูจน์ความกล้าแต่แจฮยอนอยากชัดเจนในความสัมพันธ์และอยากยืนยันให้นางฟ้าของตนมั่นใจว่าเค้าจริงจังกับเด็กน้อยคนนี้มากแค่ไหน
แจฮยอนไม่ได้ต้องการคบกับมาร์คแค่เพียงเพื่อผ่านมาหวังสนุกแล้วจากไป
เค้าเองก็อยากจับมือมาร์คไว้แน่นๆจูงมือกันไปเรื่อยๆให้ตราบนานเท่านานจนกว่าที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแก่เฒ่าและไม่มีแรงจับมือกันต่อไปไหว
“พี่แจฮยอนเป็นอะไรหรือเปล่า”
เสียงใสของเด็กน้อยที่เดินมาส่งแจฮยอนหน้าประตูเอ่ยขึ้นปลุกกับคนที่ตกเข้าไปในภวังค์ความคิดด้วยความเป็นห่วง
เมื่อบทสนทนาที่ควรมีทั้งฝ่ายถามและผ่ายตอบกลับเหลือแต่ฝ่ายถามอยู่เพียงฝ่ายเดียว “ยังกลัวพ่อมาร์คอยู่หรอ?”
“เปล่าหรอก
พี่แค่กำลังสงสัยว่าถ้าพี่จูบมาร์คตอนนี้ พ่อมาร์คจะเดินออกมาเตะพี่หรือเปล่า?”
จบหมดกับความเป็นห่วง
ก็บอกแล้วไงว่าจองแจฮยอนน่ะ
คือราชสีห์ที่แกล้งทำตัวเป็นลูกแกะชัดๆ!
แม้จะไม่มีถ้อยคำตอบรับ
มีเพียงเสียงหัวเราะคิกคักที่แจฮยอนตีความหมายว่าเป็นการอนุญาตให้กระทำไม่ใช่การห้ามหรือปรามใดๆ
ใบหน้าที่เคลื่อนเข้าหากันช้าๆค่อยๆลดช่องว่างระหว่างคนทั้งสองทีละน้อย...ทีละน้อย... ให้ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดใบหน้าของกันและกันในชั่วครู่
“พี่โดนพ่อมาร์คฆ่าแน่ๆ”
ฟันคบที่ขบลงปลายจมูกบางจนเด็กน้อยที่ถุกกระทำส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ
ก่อนที่ในไม่ช้าริมฝีปากนุ่มของแจฮยอนจะทาบลงแนบสนิทสัมผัสกับริมฝีปากสีแดงสดของเด็กน้อยตรงหน้า
ถ่ายทอดความรู้สึกนุ่มละมุนที่ค่อยๆละเลียดชิมสัมผัสของความหอมหวานไปช้าๆ
และปล่อยให้ความอบอุ่นแผ่ซ่านปกคลุมทั่วทั้งร่างกายและซึมลึกเข้าไปข้างในทั้งหัวใจที่มันกำลังเต้นระรัวเป็นจังหวะเดียวกันด้วยคำว่ารักจากคนทั้งคู่
ร่มที่ควรถืออยู่ในมือในคืนที่ฟ้าฝนโปรยปรายเช่นนี้ตกลงไปอยู่ข้างตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
รู้ตัวอีกทีก็เมื่อตอนที่เอ่ยคำทสั้นๆที่ตัดสินใจพูดในสิ่งที่เก็บกักไว้ในใจมานานแล้วออกไป
“พี่แจฮยอนรักนางฟ้านะ”
ก็...
มันอาจจะดูเหมือนว่ายังเร็วเกินไปในช่วงเวลาที่ใช้ศึกษากันและกัน
แต่สำหรับความรู้สึกข้างในหัวใจแจฮยอนรู้ตัวเองดีว่ามันใช่ความรักแน่ๆ
และแจฮยอนก็เชื่อมั่นที่ว่าไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน
หัวใจของแจฮยอนก็ยังคงยืนยันว่ารักเด็กน้อยคนนี้ไม่มีการเลือกผิดคน
หัวใจของ 'จอง แจฮยอน' ที่มีไว้เพื่อรัก 'มาร์ค ลี' เพียงคนเดียว...
“เป็นแฟนกับพี่ได้มั้ย”
รบกวนคุณมาช่วยเป็นแสงจันทร์ที่ส่องสว่าง เป็นพระอาทิตย์ที่อบอุ่น
และเป็นยามเช้าที่สดใสของผมได้มั้ย...
มาเถอะครับ มาโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้า บนก้อนเมฆสีขาวนั้นด้วยกันเถอะ...
.
.
.
“นะครับนางฟ้า”
.
.
.
“นะ”
.
.
.
“อื้อ”
คำตอบรับแผ่วเบาแต่มันกลับดังก้องกระวานให้หัวใจคนฟังสั่นสะเทือนไปทั้งใจจนต้องดึงร่างของเด็กน้อยเข้าหาตัวเพื่อมอบความหวานละมุนลิ้นให้แก่กันและกันอีกรอบ
ดีใจสุดชีวิตเป็นยังไงแจฮยอนก็เพิ่งได้รู้วันนี้แหละ
อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศพาไปหรือเพราะอะไรก็ช่าง
แต่อย่างน้อยจองแจฮยอนคนนี้ก็อยากจะขอบคุณฝนที่ทำให้เกิดเรื่องบังเอิญขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ
ขอบคุณความบังเอิญที่พัดพาเรื่องนู้นเรื่องนี้มาอยู่จนกระทั่งได้เรียนรู้กับคำว่ารัก
หรืออาจจะต้องขอบคุณความเศร้าของก็อบลินด้วยล่ะมั้ง
ที่อย่างน้อยๆก็สร้างเรื่องน่ายินดีให้กับคนธรรมดาคนๆนี้
ขอบคุณนะครับ
^__^
.
||+~+~+~+~+~+~+~+~+~+~+~THE
END~+~+~+~+~+~+~+~+~+~+~+||
.
by...
dereine_
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in