This story is dedicated to Jonhnny Seo and Jung Jaehyun
เขามองสำรวจพร้อมใช้มือปัดหญ้าข้างๆผมเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรแปลกๆมาทิ้มก้นแล้วจึงล้มตัวลงนั่งข้างๆ หน้าเขามุ่ยไปหมด
“ผมไม่เคยเชื่อเลยจริงๆนะว่าน้ำหอมจะสามารถเหม็น ผมหมายถึงเหม็นจริงๆ เหม็นแบบ— คุณนึกออกใช่มั้ย พวกสิ่งปฏิกูลน่ะ”
“กลิ่นหญ้าตัดใหม่สำหรับผมมันสดชื่นมาก แต่บางคน อันที่จริงก็หลายคนเลยแหละ บอกว่ากลิ่นมันเหมือนกับถั่วงอกดิบเหม็นเขียว”
“แต่หญ้าตัดใหม่มันไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อดมสักหน่อย ผมหมายถึงว่ามันไม่ใช่สิ่งสังเคราะห์เพื่อความหอมต่างกับน้ำหอมที่ถูกจงใจสร้างมาเพื่อความหอมน่ะ”
“เอางี้ คุณเล่าให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น”
บรรยากาศตอนนี้สวยงามเหลือเกิน บ่ายต้นๆ สนามหญ้ากว้างที่ไม่มีขอบรั้วมากั้น ผมมองเขา ผิวสีซีด ผมเข้มเส้นเล็กละเอียด เขาคือรูปปั้นอีรอสในสวนแบบอังกฤษดีๆนี่เอง
“มันไม่ได้มีอะไรขนาดนั้นหรอก พอดีว่าผมไปเจอน้ำหอมกลิ่นนึงมาน่ะ คุณเชื่อมั้ยว่าผมดมมันครั้งแรกเมื่อเกือบหกเดือนที่แล้วแต่ไม่เคยลืมเลยว่ากลิ่นเป็นยังไง ทุกครั้งที่คิดถึงมันเหมือนกับมีคนเอามาฉีดที่ใต้จมูกอย่างนั้นแหละ แต่วันนี้เพื่อนที่ผมชวนไปซื้อด้วยกันทุกคนกลับบอกว่ามันเหม็น”
ผมพยักหน้าเป็นเชิงให้เขาเล่าต่อ ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลใสเมื่อแดดส่องโดน ผมอยากให้เขาได้เห็นเหลือเกิน
“พอได้ยินอย่างนั้นผมเลยตัดสิ้นใจไม่ซื้อ คุณว่ามันน่าโมโหมั้ยที่ผมปล่อยให้คำพูดคนอื่นมามีอิทธิพลเหนือความชอบของตัวเองจนได้ อย่างน้อยถ้าพวกเขาพูดว่า ‘มันหอมนะ แต่ไม่ใช่สำหรับฉัน’ ผมคงไม่ตัดสินใจอย่างนี้ แต่ก็นั่นแหละ พอยท์ก็คือน้ำหอมเนี่ยมันเหม็นได้จริงๆหรอ หรือคนเราแค่เลือกใช้คำผิด”
“ความรักที่ควรจะน่ายินดี น่าเทิดทูนบูชา สำหรับครอบครัวของเรายังเป็นเรื่องน่ารังเกียจเลยจริงมั้ย ผมว่านี่น่าจะพอทำให้คุณเห็นภาพนะ บางสิ่งที่ควรจะดูสวยงามกลับแสนน่าชังสำหรับบางคน”
เขา เทพเจ้าแห่งความรักของผม หันมามองนิ่งเหมือนใช้ความคิดและเขยิบเข้ามาใกล้ขึ้นอีก ความอุ่นจากร่างกายและสัมผัสนุ่มอุ่นทำให้ผมแน่ใจว่าเขา ผู้ที่สมบูรณ์แบบเหลือเกิน ยังคงเป็นปุถุชนเหมือนกับผม
“ถ้าพ่อแม่ของผม หรือของเราคิดว่าน้ำหอมหอมเหมือนกันหมด เราคงได้นอนกอดกัน หรือคุณคงเข้ามาเล่นเปียโนในบ้านให้ผมฟังได้”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นทุ่งหญ้านี่คงจะไม่มีความหมายน่ะสิครับ”
ผมพยายามยิ้มทั้งที่รู้ว่าตัวเองกำลังเศร้าเหลือเกิน ไม่ใช่แค่ผม อันที่จริงเราทั้งคู่ต่างหาก ถ้าชีวิตคือหนังรอมคอมความยาวสองชั่วโมงสิบนาทีผมคงไม่เสียเวลาตัดสินใจที่จะพาเขาหนีขึ้นรถไปยังที่ไกลๆสักที่แล้วใช้ชีวิตอย่างที่เราอยากด้วยกัน แต่ชีวิตจริงยาวนานกว่าสองชั่วโมงแล้วก็มีตัวละครเยอะกว่าในหนังมากนัก ไม่ใช่แค่ครอบครัวและเพื่อนที่ทำงานที่เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจในชีวิตเรา แต่ยังมีตัวละครที่ดูไม่สำคัญนักอย่างคุณยายบ้านข้างๆหรือเพื่อนสมัยประถมที่เจอกันปีละครั้งรวมอยู่อีกด้วย
ผมกลัวเหลือเกินว่าหลายๆอย่างที่ไม่เป็นใจกับความรักของเราจะทำให้วันหนึ่ง เราทั้งคู่ที่อ่อนล้า ถอดใจกับความรักที่ถูกเกลียดชังนี้
“คุณรู้มั้ย ผมไม่เคยภาวนาให้ตัวผม หรือคุณ เปลี่ยนเป็นผู้หญิงที่ครอบครัวเรายอมรับเลย ผมรักเราที่เป็นอย่างนี้ สิ่งเดียวที่ผมเฝ้าขอคือขอให้ทุกคนเห็นว่าความรักนี้งดงามเหมือนกับที่เรารู้สึก”
ผมโอบเขาเข้ามาจูบเบาๆ มือที่กอดตอบอยู่ทำให้โลกของผมตอนนี้กว้างแค่ทุ่งหญ้านี่เท่านั้น ไม่มีใครอื่นอีกนอกจากเราสองคน ความสามรถพิเศษของเขาคือการบอกรักโดยไม่ต้องเอ่ยว่าเขารักผม
“ผมรอวันที่จะได้เข้าไปเล่นเปียโนในบ้านของคุณอยู่นะ”
เขายิ้ม หลุมที่แก้มนั่นน่ารักเสียจนผมอดใจไม่ไหวที่จะก้มหน้าลงไปจูบมัน
“ผมก็อยากจะเข้าไปอ่านหนังสือในห้องนอนคุณจะแย่แล้วเหมือนกัน”
Feel free to comment นะคะ :•)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in