เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
คุยเล่นจนเป็นเรื่อง: รวมบทสัมภาษณ์ของนักเรียนเขียนเรื่อง 2019 และ 2022อ่าน-คิด-เขียน
อยู่อย่างไรในโลกสีดำ: ส่องมุมลบที่ไม่จำเป็นต้องลับ
  • บทสัมภาษณ์โดยนักเรียนเขียนเรื่อง จากรายวิชา "ศิลปะการเขียนร้อยแก้ว" ปีการศึกษา 2564 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565
    อ่าน-คิด-เขียน เป็นพื้นที่เผยแพร่ผลงานสร้างสรรค์ของเหล่า content creator ฝึกหัดก่อเรื่องสร้างภาพ จากอักษรฯ จุฬาฯ มาร่วมชมและแชร์คอนเทนต์หลากรส หลายอารมณ์ไปกับเราได้เลยค่ะ  เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้ทาง line official เพื่อมิให้พลาดคอนเทนต์ที่น่าสนใจจากเหล่านักเรียนเขียนเรื่องจากอักษรฯ จุฬาฯ  โดยคลิกลิงก์เพื่อเพิ่มเพื่อน https://lin.ee/CMxj3jb หรือเพิ่มเพื่อนทางไลน์ ID โดยค้นหา @readthinkwrite2559  ได้เลยค่ะ


    Trigger Warning: มีการกล่าวถึงโรคซึมเศร้า ความอยากตาย และความรุนแรงในครอบครัว


    I know you got the best intentions
    ฉันรู้ว่าคุณมีเจตนาดี

    Just tryna find the right words to say
    พยายามหาคำพูดที่เหมาะสม

    I promise I've already learned my lesson
    ฉันสัญญาว่าฉันได้บทเรียนแล้ว

    But right now, I wanna be not okay
    แต่ตอนนี้ ฉันต้องการรู้สึกไม่โอเค

    (ที่มาเพลง: https://www.youtube.com/watch?v=BF-nZziUCCY)


              เพลง “You Don’t Know” ของศิลปิน Katelyn Tarver  คือเพลงโปรดของ ก็อด”  (นามสมมุติ) เจ้าของร้านขายและออกแบบรูปภาพเล็ก ๆ วัย 22 ปี  เธอเติบโตมาในจังหวัดนนทบุรีกับครอบครัวเชื้อสายจีน เธอเป็นลูกสาว เป็นพี่สาว เป็นเพื่อน และเป็นมนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโรคซึมเศร้ามากว่า 2 ปี


    “สำหรับเรา สีดำ คือโลกของเรา”

              ก็อดบอกเรา เธอบอกว่าสีดำคงมีอะไรมากกว่าความเศร้า เป็นได้ทั้งความกลัว ความอึดอัด ความลึกลับ และอีกหลายสิ่งแล้วแต่คนจะตีความ ในยามกลางคืนที่ฟ้ามืดสนิทซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ก็อดบอกว่าทำให้รู้สึกปลอดภัยที่สุด เราได้คุยกับเธอถึงชีวิตในโลกสีดำใบนั้นตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน

              “หมอเขาเทียบว่าเราเป็นน้ำแก้วหนึ่ง ตอนแรกน้ำอาจจะปริ่มแก้ว แต่ตอนนี้คือมันล้นแล้ว ล้นจนไม่รู้จะล้นยังไง”  ก็อดเปรียบเทียบให้เราเห็นภาพว่าจิตใจของเธอก็เหมือนกับแก้วที่สะสมน้ำแห่งประสบการณ์และความรู้สึกด้านลบต่าง ๆ ไว้มากจนรับไม่ไหวอีกต่อไป เธอเล่าให้ฟังต่อว่าที่ผ่านมาในแก้วของเธอมีน้ำอะไรอยู่บ้าง

              “เมื่อก่อนเราโดนทั้งตี ทั้งด่า โดนหมด ตอนเราอยู่กับตาเราจะโดนตีบ่อย เพราะตารักน้องมาก มีอะไรเราต้องให้น้องตลอดเลย ไม่ว่าจะของรักของหวงก็ต้องให้น้อง เพราะถ้าไม่ให้จะโดนตี ทุกครั้งที่น้องร้องไห้เราจะโดนด่า”

              “ส่วนใหญ่ ครอบครัวเลี้ยงเรามาแบบไม่ได้โอ๋ เราเคยโดนหาว่าเรียนไม่เก่งบ้าง โดนหาว่า ‘เป็นควายเหรอ ไปกินหญ้าไหม’ เจ็บที่สุดคือจำได้ว่าโดนด่าว่าเป็นลูกอกตัญญู ตอนนั้นเราเสียใจมาก รู้สึกแย่กับตัวเองมากว่าเราในอนาคตจะดูแลเขาได้ไหม ตอนนั้นเราอยู่ประถม เรายังเด็ก ที่เป็นบาดแผลที่สุดคือแม่พูดว่า ‘ไม่น่าให้เกิดมาเลย’ แล้วพูดบ่อย พูดหลายรอบ”

              “เราคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเขาถูกเลี้ยงดูมาแบบนี้ มันเลยทำให้เขาเอาวิธีนี้มาใช้ เขาสู้ต่อไปได้ด้วยคำเหล่านี้ แต่มันทำให้เรารู้สึกว่าเราไร้ค่ามาก ๆ ได้ยินแบบนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกอยากสู้ต่อ แต่มันทำให้เรารู้สึกว่าอยากหยุดทุกอย่างลง”

              ตอนเรียนอยู่ชั้นปีที่สอง ผลการเรียนของเธอไม่ได้ออกมาอย่างที่ครอบครัวคาดหวัง ก็อดอยู่กับความกลัวเป็นเวลานานจนท้ายที่สุดเธอได้เปิดใจคุยกับครอบครัว เป็นจุดเริ่มต้นให้เธอได้พบจิตแพทย์และพบว่าเป็นโรคซึมเศร้า ปัจจุบันก็อดยังพบจิตแพทย์และนักจิตวิทยาอยู่เรื่อย ๆ เธอกินยาตอนเช้าและก่อนนอนรวมทั้งหมด 4 อย่างเพื่อปรับสารเคมีในสมองและคลายความเครียด ซึ่งบางอย่างอาจตามมาด้วยผลข้างเคียงอย่างง่วงนอนทั้งวันหรือมึนหัว แม้ตอนนี้ครอบครัวจะไม่ได้กดดันในเรื่องการเรียนแล้ว เธอก็ยังอยู่กับโรคซึมเศร้าที่ไม่หายไป

            “นึกภาพกระจกที่สามารถมองเห็นข้างนอกจากข้างในได้หมด แต่ข้างนอกไม่เห็นเรา เราเหมือนกระจกนี้”  

              ก็อดเปรียบเทียบ ชวนเราให้นึกถึงกระจกแบบที่ผู้คนจะไม่เห็นทะลุด้านในเมื่อมาส่อง จะเห็นแต่เงาของตัวเอง

              “เราเป็นคนร่าเริง เป็นคนที่พอเศร้าปุ๊บจะแบบ ‘ไม่ได้ กูห้ามเศร้า’ รู้สึกว่าพอเราลบปุ๊บ ถ้าคนอื่นลบตาม มันจะยิ่งลบหรือเปล่า ทุกครั้งที่คนถามว่าโอเคไหม ไม่เป็นไรใช่ไหม เราก็จะตอบว่า โอเค ไม่เป็นไร สบายดี ครอบครัวก็จะถามบ่อย เราก็ไม่อยากให้เขาเป็นห่วง เราเลยตอบว่าโอเคเพื่อความสบายใจของเขา เหมือนเราอยู่ข้างในกระจก ต่อให้เราจะแสดงสีหน้ายังไงคนข้างนอกก็ไม่รู้ เพราะสิ่งที่กระจกสะท้อนออกมาคือหน้าของเขา เราปรับอารมณ์ของเราตามเขา

              แต่ถึงจุดหนึ่ง กระจกบานนี้ก็หาทางสะท้อนความรู้สึกที่ถูกเก็บซ่อนไว้ ไม่ว่าจะผ่านภาพ สิ่งของ หรือศิลปะ ตุ๊กตาด้านล่างนี้คือตุ๊กตาที่ก็อดซื้อมาดัดแปลงและแต่งเติมให้เหมือนตัวเอง เป็นตุ๊กตาที่เธออยากได้มานาน เธอบอกว่ามันเหมือนเป็นภาพแทนของเธอ

    ตุ๊กตาของก็อด

              เมื่อมองก็อด เราจะเห็นเธอพร้อมผมตัดสั้นที่เปลี่ยนสีย้อมไปเรื่อย ๆ เสื้อผ้าสีขาวดำ เล็บสีดำ ต่างหูสร้อยคอโลหะหลากหลายแบบ บนผิวพรรณของเธอแต่งแต้มไปด้วยแทททูหรือรอยสักชั่วคราวเล็กใหญ่ บ้างเป็นถ้อยคำที่แสดงออกถึงความเจ็บช้ำ บ้างเป็นมีด บ้างเป็นเลือด ที่เห็นได้ชัดที่สุดคงไม่พ้นรอยสักรูปลวดหนามรอบคอของเธอ ก็อดเล่าความหมายเบื้องหลังลวดลายบนร่างกายของเธอให้เราฟัง

    รอยสักชั่วคราวของก็อด

              “เราเลือกสิ่งที่แทนความรู้สึกตัวเอง แทนสิ่งที่เราเป็น เรารู้สึกว่าตอนนี้เรายังจมอยู่กับความเศร้าความมืดอยู่ แทททูที่เราเลือกส่วนใหญ่เลยสื่อความเศร้าโศก แง่มุมที่มันมืด ไม่ใช่แง่มุมสว่าง”


              เมื่อเราถามว่าในเมื่อความทุกข์เป็นสิ่งที่กัดกินเธอมาตลอด ทำไมเธอถึงเลือกให้สิ่งเหล่านี้อยู่บนตัวของเธอและเป็นตัวแทนของเธอ ก็อดตอบว่าในตอนแรกมันคือสัญญาณ

              “เอาจริง ๆ ณ ตอนนั้นเราหวังว่าจะมีใครสักคนรู้มั่งว่าเราเป็นอะไรอยู่” เธอเล่า “มันเป็นความอึดอัด พูดออกไปไม่ได้ เราพยายามทำให้คนอื่นได้รู้ว่าตัวเราไม่ได้มีแต่ความรู้สึกด้านดีอย่างที่เราพูด เราไม่สามารถพูดเป็นคำพูดเลยสื่อเป็นสัญลักษณ์แทน

              แต่เมื่อเวลาผ่านไป ร่องรอยเหล่านี้ก็เป็นมากกว่านั้น

              “ถ้าถามถึง ณ ปัจจุบัน เรารู้สึกว่าในเมื่อนี่คือตัวตนของเรา เราเลยเลือกที่จะไม่ปิดบังสิ่งที่เป็นตัวตนของเรา ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวด เราจะไม่กลบหรือพยายามที่จะลบ เพราะว่าการลบไม่ได้ช่วยทำให้ลืม ต่อให้เรากลบมันมิดแค่ไหน เราก็รู้สึกอยู่ดีเพราะใจเรายังรู้สึก มันไม่หายไปไหน มันก็ยังอยู่กับเราอยู่ดี”

              ก็อดให้เราดูภาพกระจกเงาบานนี้ของเธอ กระจกบานที่เป็นพื้นที่ให้เธอได้เธอปลดปล่อยทุกความรู้สึกออกมา — ทั้งความทุกข์เศร้า ความเหนื่อยล้า ความไม่อยากดำรงอยู่อีกต่อไป — ความรู้สึกด้านลบที่ใคร ๆ อาจต้องการให้เธอกำจัดออกไป ก็อดบอกว่า การยอมรับและระบายความรู้สึกเหล่านี้ออกมาก็อาจไม่แย่เสมอไป


    ข้อความบนกระจกเงาของก็อด


              “ตอนนั้นเรารู้สึกแย่ เหมือนแบกโลกทั้งใบไว้ แต่ตอนที่เราเอามาตั้งไว้แล้วถ่าย เราไม่ได้รู้สึกแย่กับตัวเองนะ เรารู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยบางอย่างออกมา เหมือนมันเบาลงนิดนึง มันดีกว่าไม่ได้ทำ ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ทำอยู่คือการเยียวยาตัวเอง แต่ตอนนี้เห็นภาพแล้วว่านั่นคือสิ่งที่เราทำเพื่อเยียวยาตัวเอง

              “เราไม่ใช่คนที่จะมาเฮฮาตลอดเวลา เราก็เศร้าได้ เราร้องไห้เป็น เรามีด้านที่รู้สึกว่าเราไม่อยากอยู่บนโลกนี้แล้ว เรามีด้านที่รู้สึกอยากจะตาย ๆ ไปซะ”  ก็อดพูดกับเราอย่างตรงไปตรงมา

              “การแสดงออกความรู้สึกของคนเรา ไม่ได้มีแค่ด้านมีความสุขอย่างเดียว การที่เราแสดงออกความรู้สึกด้านที่ไม่ดี ด้านที่อ่อนแอออกมา มันก็ไม่ได้แย่ไหม”

              “เราไม่จำเป็นต้องสู้ตลอดเวลา ต้องพยายามตลอดเวลา เราอ่อนแอได้ จมอยู่กับความทุกข์ของเราได้ คนคิดว่าคนเป็นซึมเศร้าต้องการกำลังใจ แต่ไม่ บางทีเขาต้องการสเป”  ก็อดชี้ให้เห็นว่าการปล่อยให้แต่ละคนได้มีพื้นที่ระบายและทำความเข้าใจความรู้สึกของตนเองก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพื่อให้เขาค่อย ๆ เยียวยาตนเองได้อย่างไม่ถูกกดดัน

              “เราชอบอย่างหนึ่งที่นักจิตวิทยาพูด เขาบอกว่า ความสุขของคนคือความทุกข์ที่พอดีของแต่ละคน คือเราไม่ต้องมีความสุขก็ได้ ขอแค่เราจะทำยังไงให้วันนี้เราทุกข์น้อยลง”

              ในวันนี้ก็อดยังคงอยู่กับโลกสีดำของเธอ โลกที่บางครั้งคือความหม่นหมอง บางครั้งคือความสับสน บางครั้งคือความว่างเปล่า

              “เรากำลังหาสิ่งที่ทำให้เรายังมีชีวิตอยู่ได้อยู่”  ก็อดบอก เธอเล่าว่าบางครั้งเธออยากหายจากโรคนี้ แต่บางครั้งเธอก็ไม่ได้อยากหาย เธอกำลังพยายามหาตรงกลางอยู่ ตอนนี้เธอยังไม่สามารถรักตัวเองหรือสามารถเลิกโทษตัวเองอย่างที่ใครหลายคนอาจบอกว่าเธอควรทำได้ แต่เธอก็หาหนทางอยู่ร่วมกับความรู้สึกของเธอในขณะที่มันยังอยู่

              การรักตัวเอง ถ้าทำได้มันดีนะ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ใช่ว่าคุณไม่ดี ไม่ใช่ว่าคุณผิด การที่เรารักคนอื่นมากกว่าตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น ถึงมันจะทรมาน แต่มันก็ทำให้เรายังอยู่ได้ เรายังอยู่ได้เพื่อเห็นคนอื่นมีความสุข เหมือนเราเป็นแผล แต่เราก็ยังเทแอลกอฮอล์ไปที่แผล มันเจ็บ แต่มันก็ช่วย”

              ก็อดเล่าอีกว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการเริ่มมีความรู้สึกต่อสิ่งและคนรอบข้างน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นคนสำคัญในชีวิต ความไม่ยินดียินร้ายนี้เป็นเรื่องที่เธออยากแก้ไขให้ได้มากที่สุด แต่ในระหว่างที่ยังเป็นเช่นนี้ ก็อดก็หาทางใช้ประโยชน์จากความไม่กลัวและไม่สนใจในแบบที่ทำได้ เธอเปิดโอกาสให้ตัวเองกล้าแต่งตัวและแสดงความคิดเห็นโดยไม่กลัวความคิดของผู้อื่นมากขึ้น กล้าลองทำสิ่งต่าง ๆ โดยไม่กลัวผิดหวังในผลลัพธ์มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เมื่อก่อนเธอไม่สามารถทำได้

              นี่คือหนทางที่ก็อดอยู่กับโลกสีดำของเธอ ในแบบของเธอ

              “เราไม่ได้จะบอกว่ามันดี เราไม่ได้ต้องการให้คนอื่นมาเป็นแบบเรา รู้สึกแบบเรา เราพูดออกไปเพื่อเป็นทางหนึ่งให้คนได้คิด อาจจะเป็นทางที่ไม่มีคนเคยมอง หรืออาจจะทำให้เราได้เจอคนที่เขามองมุมเดียวกับเราก็ได้”

               ก็อดมองว่าทุกคนเจอเรื่องที่ต่างกัน มีคนรอบข้างที่ต่างกัน อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน และรู้สึกกับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบมากน้อยต่างกันไป  สิ่งสำคัญจึงเป็นการให้แต่ละคนได้ตัดสินใจเองว่าทางใดที่จะโอเคที่สุดสำหรับตน

              “เราจะบอกเสมอว่าให้เลือกสิ่งที่คิดว่าเหมาะกับตัวเอง เพราะถึงมันจะไม่ได้ดีที่สุด แต่มันก็ดีที่สุดสำหรับเขา ณ ตอนนั้น”

                สำหรับก็อด โรคซึมเศร้าเป็นเหมือนแฝดของเธอ เหมือนอีกตัวตนหนึ่งของเธอเองที่กำลังนั่งคุยกับเธอ แฝดคนนี้ไม่ใช่คนที่เหมือนเธอเป๊ะ ๆ และไม่ใช่คนที่เธอเข้าใจเขาดีทุกอย่าง แต่ก็ไม่ใช่คนที่เธออยากปฏิเสธออกไปจากชีวิตเช่นกัน การโอบรับตัวเองในแบบที่เป็นอยู่เช่นนี้คือทางที่ก็อดเลือก

              “ต่อให้มันไม่หายเลย เราก็สามารถที่จะอยู่กับตัวเองได้”

              ก็อดเป็นกระจกบานหนึ่งที่ได้เผยเรื่องราวเบื้องหลังแผ่นแก้วของเธอ และส่องสะท้อนมุมหนึ่งจากอีกหลายล้านมุมของโรคซึมเศร้าให้เราได้เห็น ค่ำคืนนั้น เราเปิดเพลงโปรดของก็อดที่เธอชวนเราฟัง
    But right now, I wanna be not okay ท่อนเรียบง่ายที่แทนความรู้สึกของก็อดเป็นอย่างดีดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน บอกกับเราอีกครั้งว่าความรู้สึกด้านลบไม่ใช่สิ่งที่ต้องผลักไสออกไปเสมออย่างที่อาจเคยเข้าใจ

               คงไม่ผิดหากคนเราจะเป็นกระจกที่ส่องเงาสีดำออกมาบ้างในบางเวลา หากเงานั้นจะช่วยรักษาแผ่นแก้วของเราไม่ให้แตกสลายไปเสียก่อน


            “การแสดงออกความรู้สึกของคนเรา ไม่ได้มีแค่ด้านมีความสุขอย่างเดียว การที่เราแสดงออกความรู้สึกด้านที่ไม่ดี ด้านที่อ่อนแอออกมา มันก็ไม่ได้แย่ไหม” -- ก๊อด


    © สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ. 2558 เผยแพร่เพื่อประโยชน์ทางวิชาการเท่านั้น

    ผู้ให้สัมภาษณ์และภาพประกอบ: ก็อด (นามสมมุติ)
    ผู้สัมภาษณ์และเรียบเรียง: สุณิชา จุลอักษร
    ภาพปก: pixabay
    บรรณาธิการต้นฉบับ: หัตถกาญจน์ อารีศิลป
    จัดหน้าและตรวจปรู๊ฟ: ณิชาภัทร จันทสิงห์
    ภาพประกอบเผยแพร่ทางสื่อออนไลน์: ธมลวรรณ จิ้มลิ้มเลิศ


    ผลงานสืบเนื่องจากรายวิชา #ศิลปะการเขียนร้อยแก้ว ปีการศึกษา 2564 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565  #ห้องเรียนเขียนเรื่อง

    อ่าน-คิด-เขียน เป็นพื้นที่เผยแพร่ผลงานสร้างสรรค์ของเหล่า content creator ฝึกหัดก่อเรื่องสร้างภาพ จากอักษรฯ จุฬาฯ มาร่วมชมและแชร์คอนเทนต์หลากรส หลายอารมณ์ไปกับเราได้เลยค่ะ  เพิ่มเราเป็นเพื่อนได้ทาง line official เพื่อมิให้พลาดคอนเทนต์ที่น่าสนใจจากเหล่านักเรียนเขียนเรื่องจากอักษรฯ จุฬาฯ  โดยคลิกลิงก์เพื่อเพิ่มเพื่อน https://lin.ee/CMxj3jb หรือเพิ่มเพื่อนทางไลน์ ID โดยค้นหา @readthinkwrite2559  ได้เลยค่ะ




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in