เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ญี่ปุ่น ฉบับ เด็กฝึกงาน 2016Chalat Phumphiraratthaya
03 ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก
  • กูอีกแล้ว..!

    มาดับไฟอะไรตอนนี้วะเนี่ย ก็รู้ว่าต้องใช้ไฟสตาร์ทเครื่อง แต่ขอแค่นั่งดูข้อควรปฏิบัติอะไรซักหน่อยก็ยังดี ระบบอะไรบนเครื่องก็ไม่รู้ ทุกอย่างคือสิ่งใหม่สำหรับผม ทำให้ตลอดไฟลท์นี้ผมปล่อยไก่ไปหลายตัว ปล่อยไก่แม้กระทั่งเรื่องพื้น ๆ

    .
    .
    .

    แม่ง...ที่วางแก้วน้ำเอาออกมายังไงวะ..!

    สิ่งหนึ่งที่ผมสงสัยมากตอนไฟลท์ขาไปญี่ปุ่นคือสิ่งนี้ จะงัดจะแงะยังไงก็เอามันลงมาไม่ได้ซักที ใช้แรงเยอะก็กลัวมันพังอีก ทั้งๆที่น่าจะรู้ว่ามันเอาลงมายังไงตามเซ้นส์ทั่วไปที่เคยใช้ แต่ทำยังไงก็เอามันลงมาไม่ได้ คนข้างๆ ก็ไม่มีนั่ง ไม่มีเป็นแบบอย่างให้ดู แต่ก็ดี เพราะทำให้ผมมีเวลางัดเล่นแบบไม่อายใคร

     ผมสงสัยอยู่นานมาก จนตลอดการเดินทางในไฟลท์ขาไปญี่ปุ่นนี่ ผมคิดกับตัวเองไว้เลยว่า...

    ไม่ต้องใช้มันเลยละกัน...ง่ายดี !

    ---

    หลังจากที่กัปตันสตาร์ทเครื่องบินติดแล้ว เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างก็สามารถใช้งานได้อีกครั้ง แต่ก็น่าเศร้า เพราะวิดีโอมันเล่นจบไปแล้วตอนที่ดับไฟสตาร์ทเครื่องยนต์ แต่ผมนั่งนิ่งๆ เหมือนกับคนอื่น ถึงแม้ว่าตอนนั้นใจของผมมันจะไม่นิ่งเลยก็ตามที

    เก้าอี้ของผมอยู่ติดกับหน้าต่างทางด้านซ้ายของเครื่องบิน มองลอดหน้าต่างออกไปจะเห็นปีกเครื่องบินพอดิบพอดี ที่นั่งข้างๆ 2 ที่เป็นที่นั่งโล่งๆ ไม่มีคนนั่ง ถัดออกไปเป็นที่นั่งแถวกลาง ตรงนั้นมีคนนั่งอยู่ แถมไม่ใช่คนไทยซะด้วย จะว่าไปแล้ว...พอลองมองกวาดสายตาไปรอบๆ ก็ไม่เจอคนไทยเลยแม้แต่คนเดียว


    ทุกอย่างในช่วงแรกมันมืดสนิท... สนิทจนมองอะไรไม่เห็นเลย

    กัปตันเค้าตัดไฟเหรอ?

    อ้อ เปล่าเลย...

    แต่เป็นผมนี่แหละที่ตาปิด
    ร่างกายมันบังคับปิดตัวเองอัตโนมัติโดยไม่ได้ตั้งใจเนื่องจากความอ่อนเพลีย

    ผมตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย ไม่ใช่เพราะนอนอิ่ม แต่เพราะนาฬิกาปลุกจากมือถือมันสั่น มองลอดหน้าต่างออกไปตอนนี้ก็เริ่มมองเห็นแสงอาทิตย์แล้ว

    รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ ?

    นี่คือประโยคที่คุ้นเคยเวลาที่ผมเจอพนักงานคนไทยที่บริการให้คนไทยด้วยกันเอง ซึ่งอย่างน้อยที่สุด...พนักงานบริการก็ต้องรู้ก่อนว่าเป็นคนไทยเหมือนกันถึงจะพูดแบบนี้ออกมา แต่มันดันไม่ใช่สำหรับผมในตอนแรก

    “#$)#_(@%*(@#_”
    แอร์โฮสเตสหันมาพูดกับผม

    .
    .
    .

    ‘ชิบหาย…ภาษาอะไรวะ’

    “(%)$()_^(#@_” ภาษาที่สองหลุดออกมาแบบตามมาติดๆ

    .
    .
    .

    ‘ตอนนี้…แอร์เค้าเห็นกูเป็นคนประเทศอะไรอยู่..!’


    “เอ่อ ขอโทษนะครับ” ผมพูดกลับไป

    แอร์คนนั้นหยุดชะงักไปแต่ก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

    “จะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ ?”

    ภาษาที่ผมใช้มาตลอด 22 ปี ภาษาไทยที่ผมถนัด คำพูดภาษาไทยที่เกือบจะเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนไปเจอเพื่อนคนไทยอีก 3 คนที่ประเทศญี่ปุ่น มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น อารมณ์เจอคนบ้านเดียวกันยังไงยังงั้น เพราะหลังจากที่ลงเครื่องบินไปแล้วนั้น ผมฟังคนอื่นพูดไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว

    ผมรู้สึกมีความทึ่งกับความสามารถทางด้านภาษาของเหล่าแอร์โฮสเตสกับสจ๊วตก็ตอนที่ผมได้นั่งเครื่องบินนี่แหละ เปลี่ยนภาษาเร็วยังกับมีวุ้นแปลภาษา แถมพูดคล่องด้วย คือบอกได้เลยว่าพูดได้หลายภาษาไปที่ไหนก็ไม่อดตาย ไม่เหมือนกับผม...ใช้แต่ภาษากายเข้าสู้ ชี้นู่นชี้นี่อย่างเดียว เอาเป็นว่า ตอนนี้ใช้ภาษาไทยได้ก็รีบใช้ซะ


    “มีน้ำอะไรมั่งอ่ะครับ”

    แทบไม่ต้องนึก แอร์โฮสเตสคนนั้นร่ายยาวมาอย่างคล่อง พูดยาวจนมาจบที่เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์

    เพื่อนผมเคยแนะนำให้ลองกินเบียร์หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่น ๆ บนเครื่องบิน เแต่ผมก็นึกเกรงใจ เพราะจะมีนักศึกษาของมหาลัยญี่ปุ่นมารับผมที่สนามบิน
    ถ้าเค้ามาเห็นสภาพผมแบบหน้าแดง ๆ ตาลอย ๆ ก็คงจะไม่ดีแน่ สุดท้ายเลยได้น้ำเปล่ามาอยู่ในมือ หลังจากนั้นก็มีอาหารมาเสิร์ฟ ซึ่งมันก็ไม่มีปัญหาอะไร ถึงแม้ว่าข้าวที่กินนั้นจะไม่ค่อยรู้สึกถึงรสชาติของมันเลยก็ตาม และเมื่อข้าวหมดจาน ไก่อีกตัวก็ถูกปล่อยออกมาไม่ขาดตอน

    ผมมองไปด้านขวามือ เพื่อดูว่าคนอื่นเค้าทำยังไงกันต่อกับถาดข้าวอันว่างเปล่านี้ แต่ภาพที่ปรากฎก็คือคนอื่นเค้ากินเสร็จจนพี่แอร์โฮสเตสเก็บจานไปหมดแล้ว เอาล่ะทีนี้

    แอร์ฯ หายไปไหนหมดวะเนี่ย

    ผมไม่รู้จะไปเรียกที่ไหน ผมคิดได้แต่ว่า รอให้เค้าเดินผ่านมาแล้วค่อยเรียก ซึ่งซักพักเค้าก็เดินผ่านมาจริงๆ

    .
    .
    .

    “พี่ครับ !!!”

    เสียงก้องดังกังวาลไปทั่วห้องโดยสารทำเอาคนรอบข้างหันมามองคนที่นั่งเบาะติดกับด้านซ้ายของปีกเครื่องบินเป็นจุดเดียวกัน

    พี่แอร์หันมาที่ผม ผมเลยชี้ถาดอาหารให้ดูว่าผมกินเสร็จแล้ว พี่เค้าก็พยักหน้าแต่ว่าเค้าบริการให้คนอื่นอยู่ ผมก็เลยนั่งรอ รอจนเค้าหายไปอย่างไร้ร่องรอย หายไปแบบหายไปเลย จนกระทั่งผมนึกอะไรออก

    มันมีปุ่มกดเรียกแอร์ฯ นี่หว่า
    เขินฟรีเลยกู

    ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย พี่แอร์ฯ เดินมาเก็บถาดอาหาร และจากนั้นอีกไม่นาน ก็จะถึงเวลาที่เครื่องจะลงจอด

    เครื่องบินกำลังจะลงที่สนามบินฟุกุโอกะ (Fukuoka) ระหว่างที่เครื่องบินบินผ่านอาคารบ้านเรือนต่างๆ นั้น ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและการออกแบบผังเมืองที่ดีถูกแสดงไว้อย่างชัดเจนผ่านกระจก 2 ชั้นของเครื่องบินลำนี้ ไม่ว่าคนคิดจะเป็นใครก็ตามแต่ มันสามารถแสดงถึงความร่วมมือของคนที่อยู่ที่นี่ได้ดีทีเดียว

    ขณะที่เครื่องกำลังร่อนลง กฎเกณฑ์ที่ควรปฏิบัตินั้นก็เหมือนกับขาขึ้นไม่มีผิดเพี้ยน ตั้งแต่การให้รัดเข็มขัด ปิดเครื่องมือสื่อสาร เก็บของให้เข้าที่ และนั่งอยู่กับที่จนกว่าเครื่องบินจะจอดสนิท เพื่อความปลอดภัยตามระเบียบที่เค้าวางมา

    แกร๊ก...”

    เสียงเข็มขัดถูกปลดโดยใครซักคนในห้องโดยสารนี้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เราก็คิดได้แล้วล่ะว่ามีคนไม่ปฎิบัติตามกฎกติกาที่เพิ่งประกาศไป

    คนที่ปลดเข็มขัดก่อนเป็นชาวญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากผมมากนัก ไม่ใกล้พอที่เค้าจะเห็นผมงัดแงะกับที่วางแก้วอยู่ตั้งนาน และก็ไม่ไกลพอที่จะให้ผมสังเกตไม่ได้ว่าคนกลุ่มนั้นคือชาวญี่ปุ่น

    ‘ไหนคนญี่ปุ่นเค้าตามระเบียบอย่างเคร่งครัดไงวะ’

    มุมมองที่ผมมองคนญี่ปุ่นเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ยังไม่ลงจากเครื่องบิน มันทำให้เกิดคำถามต่างๆ ตามมามากมาย ว่าแท้จริงแล้วผู้คนในดินแดนอาทิตย์อุทัยนั้นเป็นเช่นไร

    มันจริงเหรอวะ?

    ผมเริ่มสงสัยโดยที่ไม่รู้ว่าทางข้างหน้านี้ ผมจะเจออะไรที่ยิ่งกว่านี้ เจออะไรที่แบบ...เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นที่ใครๆ ก็รู้จักไปตลอดกาล

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in