มหาลัยที่ผมจะได้ไปฝึกงานชื่อ Kyushu Institute of Technology หรือที่เค้าเรียกสั้นๆ กันว่า Kyutech (คิวเทค)มหาลัยนี้อยู่บนเกาะทางใต้ของญี่ปุ่น ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 มีชื่อเสียงเรียงนามว่าเกาะคิวชู แลนด์มาร์คแรกที่ทุกคนนึกถึง น่าจะเป็นเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) เพราะนอกจากจะมีความเจริญในระดับหนึ่งแล้ว ที่นั่นยังมีสนามบินอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเมืองด้วย
ตอนนี้ผมรู้เป้าหมายที่ต้องไปแล้ว ตั๋วเครื่องบินจึงเป็นสิ่งต่อไปที่ต้องคิดถึง และเนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ขึ้นเครื่องบิน สิ่งที่ผมกังวลจึงมีอยู่มากโข
ไม่นานนัก ทางอาจารย์ก็ให้นักศึกษาญี่ปุ่นติดต่อมา เพื่อนัดแนะเวลาและสถานที่ที่จะเจอกัน เพื่อที่จะมารับนักศึกษาคนไทยอย่างผมไม่ให้หลงตอนไปมหาวิทยาลัยครั้งแรก เราติดต่อกันทางไลน์ มีการทักทายแนะนำตัวกันปกติ แล้วเขาก็เริ่มเข้าเรื่องหลัก...
Do you want to join a drinking session with us..?
คุณจะไปดื่มกับพวกเรามั้ย..?
.
.
ยังไม่ทันไรก็จะเอาซะแล้ว
ผมที่ตกอยู่ในสภาวะจำยอม…ยอมแต่โดยดี (LOL) ผมขอทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนคนไทยคนหนึ่ง ผมจะต้องทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธไมตรีอันดีกับคนต่างชาติ ทั้งๆที่ปกติแล้ว ผมเป็นคนไม่ค่อยดื่มซักเท่าไหร่ (LOL)
OK ! I’m looking forward to seeing you.
กูรอคอยคำนี้มานานแล้ววว..!
..................
ผมเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิก่อนเวลาบินนานมาก รอเช็คอินเกือบ 5 ชั่วโมง ที่ต้องมาก่อนนานขนาดนี้ ก็เพื่อให้แม่ของผมสบายใจ
ด้วยพื้นเพของครอบครัวแบบบ้านๆ ที่มักจะดูแลแบบยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ประคบประหงมแบบไม่ค่อยให้ออกไปไหนตัวคนเดียวด้วยแล้ว จึงทำให้แม่ของผมกังวลเรื่องการไปต่างประเทศครั้งแรกของผมตั้งแต่วันที่ผลประกาศออกมาว่าผมจะได้ไปญี่ปุ่น…เป็นกังวลมากกว่าผมซะอีก
เริ่มตั้งแต่เรื่องที่มาเตรียมตัวที่สนามบินก่อนเวลา…
“ต้องขึ้นเครื่องบินกี่โมงนะ รีบไปเถอะ”
แม่ผมบอก
“เที่ยงคืนห้าสิบ ไปซัก 3 ทุ่มครึ่งก็ยังทันละมั้ง”
ผมตอบ
“ใครจะไปรู้ เดี๋ยวก็ตกเครื่องหรอก”
...
ยินดีต้อนรับสู่สนามบินสุวรรณภูมิ...
ตอนนี้ก็ 2 ทุ่ม ขึ้นเครื่องตั้งเที่ยงคืน..!
และด้วยความที่มาเร็ว เราจึงมีเวลาพูดคุยกันมหาศาล เริ่มเรื่องตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ คุยจนไม่มีอะไรจะคุยกันอีก คิดแล้วคิดอีก สมองมันว่างเปล่า
คุณรู้จักคำว่าเดดแอร์ (Dead Air) มั้ย คำเปรียบเทียบว่าตายกลางอากาศ แบบว่าทุกอย่างมันพร้อมใจกันเงียบไปหมด ตอนนี้มันเป็นแบบนั้นเลยแหละ คุยจนหมดเรื่อง เตรียมตัวจนไม่รู้จะทำอะไร แม้กระทั่งเช็คอินยังทำไม่ได้ บอร์ดที่ให้ดูไฟลท์บินยังไม่มีรายละเอียดไฟลท์ของผมโชว์ขึ้นมาเลย
เรื่องของกิน...
“เอาปลากระป๋องมั้ย..?”
“เอามาม่ามั้ย..?”
เป็นสิ่งที่แม่คิดอยู่ตลอดเวลา กลัวผมจะอดตายหาอะไรกินไม่ได้ในต่างแดน บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ ว่านี่ผมจะไปฝึกงานหรือไปออกรบกันแน่
และเรื่องการไปอยู่ไกลๆ…
“นี่จะไปส่วนไหนของญี่ปุ่นนะ” แม่ถามผมเป็นรอบที่สิบ
คราวนี้ผมเลยเปิด Google Maps ให้ดูเลย...
.
.
“นี่คือประเทศไทย” ละผมก็เลื่อนแผนที่ไปเรื่อยๆ
“นี่ ญี่ปุ่นอยู่ตรงนี้ ละตรงทางใต้นี่แหละที่จะไป”
“อยู่ไกลกันจังเลยเนอะ...” แม่ผมดึงอารมณ์ดราม่า
.
.
“แค่นี้สบาย...” เหมือนจะเป็นการพูดปลอบใจแม่ แต่ก็เหมือนกับให้กำลังใจตัวเองอยู่ เพราะถ้ามีใครมาถามผมอีกทีว่าเป็นยังไงบ้างไปฝึกงานที่ญี่ปุ่นมา คำตอบผมจะไม่ใช่อย่างในตอนนี้อย่างแน่นอน อย่างน้อย…ผมก็จะไม่มีทางหลุดคำว่า ‘สบาย’ออกมาเป็นอันขาด
ระหว่างที่นั่งรอขึ้นเครื่องมันก็ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ คิดถึงความฝันที่กำลังจะกลายเป็นจริงในไม่ช้า
.
.
‘นี่กูกำลังจะได้ไปญี่ปุ่นจริงเหรอวะ’
ผมผู้ซึ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ไปต่างประเทศเหมือนกับคนอื่นเค้าในตอนนี้โคตรตื่นเต้น ผมมาเข้าใจไอ้คำว่าหัวใจเต้นเหมือนกับลิงโลดก็คราวนี้แหละ
เมื่อถึงเวลาที่เข้าเช็คอินได้แล้ว ผมได้พบกับบริการที่น่ารักน่าประทับใจจากพี่ที่เคาท์เตอร์เช็คอินหลังจากที่ผมยื่นตั๋วอิเล็กทรอนิกส์กับพาสปอร์ตไปให้เค้า
“พี่ครับ เสร็จตรงนี้ละไปไหนต่อครับ” ผมถามเพื่อความชัวร์ เพราะนี่มันครั้งแรกของผม
หัวเราะ... คือสิ่งแรกที่พี่เค้าทำ
นี่หัวเราะอะไรกัน..!
คำถามนี้เกิดขึ้นในใจ แต่ผมไม่กล้าพูดออกไป
ผมทำตามขั้นตอนทุกอย่างที่พี่เค้าแนะนำหลังจากที่หัวเราะกันเสร็จแล้ว อันที่จริง…ผมถามพนักงานเกือบหมดทุกคนที่ผมเดินผ่าน จนทุกอย่างผ่านมาได้ด้วยดี
เครื่องบินลำที่ผมจะได้โดยสารในครั้งนี้ มีชื่อว่า Boeing 787 Dreamliner สโลแกนนี่เหมือนจะได้ขึ้นเครื่องบินแบบสุดยอดแห่งความสบาย เหมือนอย่างที่ทุกคนฝันไว้
ฝันไว้จริงๆ นั้นแหละ
เพราะคำพูดแรกที่ผมได้ยินจากกัปตันหลังจากขึ้นเครื่องพร้อมเก็บสัมภาระไปเรียบร้อยแล้วก็คือ
“ขณะนี้เครื่องบินลำนี้มีปัญหาเล็กน้อย เนื่องจากระบบสำรองไฟฟ้าเสีย ระบบอำนวยความสะดวกที่เป็นระบบไฟฟ้าบนเครื่องอาจจะใช้การไม่ได้ชั่วขณะในตอนที่สตาร์ทเครื่องยนต์ ท่านผู้โดยสารที่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อนอาจจะเห็นถึงสิ่งผิดปกติ แต่ก็ไม่ต้องกังวลอะไร เครื่องบินลำนี้สามารถพาท่านไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย...”
คำประกาศอย่างเป็นทางการในครั้งนี้มันทำใจผมตุ้มๆ ต่อมๆ แต่พอลองสังเกตไปที่คนรอบตัวแล้ว ก็ไม่เห็นวี่แววความตื่นตระหนกตกใจอะไรเลย สิ่งที่ผมต้องทำต่อไปก็คือทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนคนอื่นเขา เหมือนเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ
...
หลังจากกัปตันประกาศจบ ก็มีวิดีโอเปิดให้ดูเนื้อหาเกี่ยวกับระบบต่างๆ บนเครื่องบิน ซึ่งรวมไปถึงระบบเกี่ยวกับความปลอดภัยด้วย...
พรึ้บบบ...
...
จู่ ๆ แสงจากจอภาพด้านหน้าก็ดับ วิดีโอสาธิตถึงระเบียบและเซฟตี้ที่ยังเล่นไม่ทันจบหายวับไปกับตา เพราะกัปตันจะสตาร์ทเครื่องยนต์ เอาเป็นว่าครั้งแรกของผมนอกจากจะไม่รู้วิธีการขึ้นเครื่องบินแล้ว กฎระเบียบต่างๆ บนเครื่องบินลำนี้มีหน้าตาเป็นยังไงผมก็ไม่สามารถบอกได้เช่นกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in