"จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องราวความรักของผู้ชายสองคนที่เกิดขึ้นบนเรือ"
- Taika Waititi ให้สัมภาษณ์ใน TIME100 Summit 2022
Our Flag Means Death (หลังจากนี้จะใช้ว่า OFMD) เป็นซีรีส์แนวตลกที่ว่าด้วยเรื่องของกัปตัน
สตีด บอนเน็ต เจ้าของฉายานักโจรสลัดสุภาพบุรุษ ชายหนุ่มเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งที่ละทิ้งชีวิตเดิมของเขามาเป็นกัปตันเรือโจรสลัด แต่สตีดไม่มีความรู้เรื่องการเดินเรือหรือแม้แต่การเป็นโจรสลัดเลย ความวายป่วงมันเลยเกิดขึ้นชวนให้เราได้หัวเราะปนสงสารสตีด (และลูกเรือ The Revenge) อยู่เนืองๆ แต่ OFMD ไม่ได้ขายแก๊กโจรสลัดเพียงอย่างเดียว มันกลับสอดแทรกเรื่องราวของมิตรภาพและความรักภายในฉากของการเดินเรือในยุค 1700s ได้อย่างแนบเนียน
ชีวิตของโจรสลัด
สารภาพว่าตัวเราเองคุ้นเคยกับภาพจำของโจรสลัด (ในยุคโจรสลัดรุ่งเรือง) จาก Pirates of The Caribbean ภาพลักษณ์ของแวดวงโจรสลัดเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน (savage) ชายเป็นใหญ่ (patriarchy) หรือแม้แต่ธุรกิจมืดอย่างค้ามนุษย์ ส่วนใน OFMD นั้น ประเด็นเหล่านี้ไม่ได้ถูก white-wash (ลดทอนความน่ากลัวลง) แต่อย่างใด แต่ซีรีส์เรื่องนี้กลับนำเสนอในมุมมองอื่นๆ ที่ต่างออกไป เช่น ประเด็นแผลใจจากการฆ่าคน (หรือต้องเห็นคนตาย) ต่อหน้าต่อตาเป็นครั้งแรก ปัญหากัปตันเรือกับลูกเรือ ความที่สตีดเป็นคนรวยมาก่อนและไม่เคยออกเดินเรือ ทำให้เรื่องราวของเขาดูสดใหม่สำหรับคนดูแบบเรา
สตีด บอนเน็ต และเอ็ดเวิร์ด ทีช
อีกหนึ่งตัวละครที่มีความสำคัญ (และถ้าจะว่าตามตรง การปรากฎตัวของเขาทำให้โทนของ OFMD เปลี่ยนจากการ์ตูนแก๊กเป็นซีรีส์ตลกผจญภัย/มิตรภาพ) คือ
เอ็ดเวิร์ด ทีช หรือหนวดดำ โจรสลัดผู้น่ากลัวในตำนาน ตัวละครของเอ็ดเวิร์ดก็ถูกตีความใหม่ (อย่างชาญฉลาด) ให้กลายเป็นกัปตันเรือผู้เบื่อชีวิตโจรสลัดของตัวเอง เพราะชื่อเสียงและอำนาจทำให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างง่ายเกินไป เมื่อเอ็ดเวิร์ด (ร่วมด้วยมือขวาผู้จงรักภัคดีกับ
หนวดดำอย่าง
อิซซี่ แฮนดส์) มาพบกับสตีด พลวัติของตัวละครทำให้เนื้องเรื่องดำเนินไปอย่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
การอ้างอิงตามประวัติศาสตร์
ภาพของสตีด บอนเน็ต โจรสลัดสุภาพบุรุษ (wikipedia)
เนื้อหาใน OFMD อ้างอิงจากเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ตัวละครอย่างสตีด และเอ็ดเวิร์ด (รวมถึงอิซซีและ คาลิโค
แจ๊ค) ก็มีการบันทึกประวัติไว้จริง การพบกันของสตีดและเอ็ดเวิร์ดก็เกิดขึ้นจริงในช่วงปี 1717 ตามที่ในซีรีส์ฉายไว้ รวมถึงเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เช่น สตีดไม่มีความสุขกับชีวิตหลังแต่งงานก่อนที่จะมาเป็นโจรสลัด ความไม่เอาไหนด้านการเป็นกัปตันของสตีดทำให้เอ็ดเวิร์ดได้รับเรือ The Revenge มาดูแล รวมถึงเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามที่ได้
บันทึก คนเขียนบทยกเค้าโครงของประวัติศาสตร์มา พร้อมกับใส่จินตนาการลงไปเติมส่วนที่ขาดหายทำให้ได้อรรถรสในการดูมากขึ้น
คำเตือน!! เนื้อหาข้างล่างจะเริ่มต้นสปอยล์เกี่ยวกับตัวละคร สามารถไถเร็วๆ ไปที่หัวข้อ ปัญหาสังคมในยุค 1700s ได้!!
.
.
.
.
.
มิตรภาพและความรัก
ตามบทสัมภาษณ์ของไทก้าที่เราแปะไว้เป็นประโยคแรกของบทความนี้ ตัวละครของสตีดและเอ็ดเวิร์ดมีความสัมพันธ์ฉันท์คนรัก ไทก้ายังเคย
ทวีตไว้อีกด้วยว่าซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้เล่นประเด็น "มิตรภาพลูกผู้ชาย" แต่มันคือประเด็นความรักของสตีดและเอ็ดเวิร์ด และมันถูกเล่าออกมาอย่างตรงไปตรงมาและเป็นธรรมชาติมากๆ ในสายตาเรา (ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ความสัมพันธ์ของชายรักชายมันดูโคตรจะเป็นไปได้ในสังคมของโจรสลัด เพียงแต่มันไม่ค่อยถูกเล่าออกมาให้เห็นสักเท่าไหร่) ไม่ได้แอบสอดแทรกไว้ให้ต้องตีความหรือหลอกขายให้คนดูไปจินตนาการเอาเอง เราสามารถพูดได้ตรงๆ เลยว่าซีรีส์โจรสลัดเรื่องนี้มีตัวละครหลักเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ (และเราดีใจมากๆ ที่สามารถพูดมันออกมาได้!!)
และไม่ได้มีแค่สตีดและเอ็ดเวิร์ดที่มีความหลากหลายทางเพศ จากในเรื่องเราจะเห็นถึงความสัมพันธ์แบบชายรักชายของลูเชียสผู้ไม่ผูกมัดกับลูกเรือในเรือ The Revenge
ลูเชียส สปริกก์
หรือแม้แต่ตัวละคร non-binary อย่างจิม เขาพอใจที่จะไม่ถูกนิยามให้อยู่ในกรอบของผู้ชาย
หรือผู้หญิง ตรงนี้ตัวซีรีส์ก็ถ่ายทอดออกมาได้ดี คนรอบตัวจิมยินดีที่จะใช้สรรพนามกลางๆ อย่างเขา (they/them) เวลาเอ่ยถึงจิม (แถมคุณ
Vico Ortiz ที่แสดงเป็นจิมก็เป็น non-binary และใช้สรรพนาม they/them เช่นเดียวกันด้วย)
จิม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in