4 Kings
ความน่าสนใจตั้งแต่เริ่มต้นของหนังเรื่องนี้เห็นจะเป็นการหยิบยืมชื่อเสียงเรียงนามของบุคคลและสถานที่จริงมาใช้ (จะมีเพียงประชาชื่นที่ต้องเปลี่ยนเป็นประชาชล) เป็นตัวดำเนินเรื่องราวที่ถูกเพิ่มเสริมเติมแต่ง โดยมีเค้าโครงจากความจริงจริงกับเนื้อหาที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นปะปนสลับกันไป ซึ่งอย่างที่รู้โดยทั่วกันว่า ใจความหลักสำคัญของหนังเรื่องนี้ไม่ใช่การออกแอคชั่นตีรันฟันแทงกันให้ตายไปข้างชนิดสะใจคนดู หรือการตีตัวตั้งตนว่าเป็นหนังชีวประวัติยุคทองอันสุดแสนจะบ้านป่าเมืองเถื่อนของสถาบันอาชีวะ แต่ 4 Kings คือนิทานสอนใจเด็กช่างให้รู้จักใช้ความคิดมากกว่าใช้กำปั้น ขณะเดียวกันนั้น หนังก็สามารถทำงานกับคนดูทั่วไปนอกแวดวงอาชีวะได้อย่างไม่ตื้นเขิน
ประโยคหนึ่งของตัวละครที่ว่า “ที่นี่มึงไม่ใช่อิน!” สามารถทำให้คนดูคล้อยตามไปกับเรื่องราวต่อ ๆ ไปในบ้านเมตตาได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะสำหรับผู้เขียนแล้ว ถือเป็นช่วงเวลาภายในหนังที่น่าสนใจอย่างยิ่ง เมื่อเหล่า 3 ตัวละครต่างสถาบันได้มีโอกาสพยายามหาเหตุผลว่า ทำไมต้องฆ่าฟันกัน แม้จะดูติดตลกไปบ้าง แต่หากตั้งใจฟังอย่างพินิจพิเคราะห์ เหตุผลที่ตัวละครยกมาพูดก็ดูจะเข้าท่าเข้าทีไม่ใช่น้อย (และเหตุผลนั้นก็ได้รับการตอกย้ำอีกทีโดยหนังเรื่อง West Side Story) นอกจากนี้ แม้แต่เจ้าของปัญหาเองก็ยังรับรู้ได้ว่า สิ่งเหล่านี้มีพื้นฐานอยู่บนคำว่า “ไม่รู้” ซึ่งแฝงไปด้วยความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดของผู้รับรู้ว่าตนนั้นไม่รู้ ท้ายที่สุดตัวผู้สร้างเองก็ไม่ได้ให้คำตอบและปล่อยให้คนดูกลายเป็นหนึ่งในผู้ไม่รู้ไปพร้อม ๆ กัน
คงเพราะเป็นงานกำกับชิ้นแรกเริ่มของผู้สร้าง หลายฉากหลายตอนของหนังจึงดูไม่ค่อยจะเป็นเนื้อเดียวกันสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะในองก์แรกที่ทุกอย่างค่อนข้างโดดไปคนละทิศคนละทาง รวมไปถึงบทที่ยังขาดความแข็งแรงสำหรับหนังที่มีตัวละครเยอะจนยุบยับแบบนี้ จังหวะชวนเลิกคิ้วเองก็มีให้คนดูได้งงกันเป็นไก่ตาแตกแบบไม่ทันตั้งตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับจากใจจริงคือ ฝีมือการกำกับฉากลุ้นระทึกให้ตลบอบอวลไปด้วยบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ กล่าวได้ว่า ผู้สร้างและความสามารถอันเหลือล้นของนักแสดงสามารถเอาคนดูอยู่หมัดตลอดซีเควนซ์ระทึกใจขององก์ 3 ชนิดหลังไม่ติดเบาะ
ว่ากันตามตรง หนังนั้นพยายามตั้งคำถามมากมาย โดยมีหมุดหมายคือการเก็บไปคิดต่อของคนดู เพื่อให้นำไปสู้การคิดได้ในช่วงเวลาต่อมา ถึงแม้ว่าในบางช่วงหนังจะดูถือหางการกระทำของเด็กช่างไม่มากก็น้อย อีกทั้งยังมีจังหวะเกือบตกม้าตายที่อยู่ ๆ ก็พลิกตัวเองไปเป็นนิทานสอนใจผ่านคำคมเสียอย่างนั้น แต่จนแล้วจนรอด องก์ 3 ของหนังก็สามารถพาทุกอย่างกลับเข้ารูปเข้ารอยได้แบบไม่ทุกลักทุเล ไม่สง่าผ่าเผย เพราะหากต้องสรุปการปิดจบของหนังเรื่องนี้ คงต้องใช้ประโยคที่ว่า “ไม่โดนสักทีไม่ดีขึ้นเลย” จะเหมาะสมที่สุด
เขียนโดย: พัทธนันท์ สวนมะลิ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in