The Matrix Revolutions

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ไตรภาค The Matrix มีข้อได้เปรียบกว่าหนังเรื่องอื่น ๆ คือ ฉากแอคชั่นที่จัดเต็มอย่างไม่บันยะบันยังราวกับเป็นการปล่อยของใส่คนดูแบบกะเอาให้จุกกันไปข้าง ซึ่งในภาคนี้ก็ยังคงสามารถนำเสนอในจุดนั้นออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งยังสามารถหาความแปลกใหม่เพิ่มเติมเข้ามาได้อย่างไม่จำเจกับ 2 ภาคก่อหน้า เพราะโดยส่วนใหญ่หรือแทบจะ 70 เปอร์เซ็นต์ของหนังในภาคนี้ เรื่องราวจะดำเนินอยู่ในโลกมนุษย์ จนแทบจะไม่ได้ย่างก้าวเข้าไปใน The Matrix เลย ดังนั้นฉากแอคชั่นวินาศสันตะโรในภาคนี้จึงไม่ได้มากด้วยวิทยายุทธ แต่กลายเป็นฉากสงครามที่มีพื้นฐานอยู่บนการยืนหยัดต่อสู้ ซึ่งผู้สร้างก็สามารถทำให้คนดูอย่างเรา ๆ มีอารมณ์ร่วมกับสถานการณ์และตัวละครได้อย่างออกรสออกชาติแบบที่ไม่มีตัดฉากไปเล่าเรื่องในส่วนอื่นให้ขัดอารมณ์ และถึงแม้ว่าจะมีการตัดสลับไปเล่าอีกเส้นเรื่องหนึ่ง เส้นเรื่องนั้นก็ยังคงมีฉากแอคชั่นที่เกี่ยวโยงกันอย่างลื่นไหลให้อารมณ์ร่วมไม่ขาดตอน

โดยปกติแล้วฉากแอคชั่นของ The Matrix ต่างก็ผสมปนเปไปด้วยแรงบันดาลใจจากหนังจีนกังฟูและกำลังภายในมากมาย ทว่าในภาคนี้เห็นจะมีมากกว่าแค่ฉากแอคชั่น เพราะจากอาการในความหยั่งรู้ถึงของตัวละคร นีโอ นั้นไม่ต่างอะไรจากปรมาจารย์ยอดเซียนที่บรรลุวิชาขั้นสูงสุด ในส่วนนี้เห็นจะเป็นสิ่งที่ทำให้คอหนังจีนอาจจะถูกใจไม่มากก็น้อย และถ้าหากว่า Marvel มีซีรีส์ What If เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นไปได้อันมากมายที่เราไม่เคยเห็น ฉากแอคชั่นในช่วงไคลแมกซ์ของภาคนี้ก็คงไม่ต่างอะไรจาก What If ที่ว่าถ้าหาก Superman ต่อสู้ด้วยวิชากังฟูจะเป็นอย่างไร

แต่ตัวหนังปิดจบไตรภาคนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา การเล่าเรื่องในช่วงแรกเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นมิตรต่อคนดูสายขาจรหรือกับคนดูที่ทิ้งช่วงจากภาค 2 ไปนาน-เลยสักนิดเดียว แต่ในอีกแง่หนึ่ง Revolutions ก็ถือเป็นหนังที่มีบทในการหาทางลงให้กับเรื่องราวได้อย่างเกินคาด บางคนอาจมองว่าเหมาะสม บางคนอาจมองว่าเบาบางเมื่อเทียบกับสองภาคก่อนหน้าที่ดูจะหนักแน่นและมากด้วยปรัชญากว่าอย่างชัดเจน แต่มันก็เป็นดั่งเช่นที่เทพพยากรณ์กล่าวกับนีโอว่า "One way or another. (ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง)"