เราอ่านเล่มนี้จบเมื่อสองวันที่แล้ว แต่ไม่ได้อ่านรวดเดียวจบ เพราะทุกครั้งที่อ่านจบหนึ่งบท เราจะหยุดอ่านและนั่งนิ่งๆหรือฟังเพลงเสมอๆ เพราะเนื้อหาบางบทหดหู่เกินไป บางบทของหนังสือเล่มนี้ทำให้เราทนอ่านบทถัดไปต่อทันทีไม่ไหว และต้องหยุดพักเป็นระยะ
‘IT’S ALL ABOUT THE CUT ใต้รอยกรีด’ เล่มนี้ซื้อมาตั้งแต่กรกฎาคมปีที่แล้ว แต่ยังไม่เคยหยิบมาอ่านจริงจังเลย จนกระทั่งช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้คนที่อยู่ในภาวะใกล้เคียงกับผู้ป่วยจิตเวช เราได้รับรู้ปัญหาที่พวกเค้าพบเจอ และค้นพบว่าความคิดบางอย่างของพวกเค้า เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเรา เราจึงตัดสินใจหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน เพื่อที่จะได้เข้าใจความคิดของผู้คนเหล่านั้น รวมถึงคนอีกมากมายที่เราจะได้พบเจอในอนาคต
หน้าแรกของหนังสือ เริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า“แด่…น้องหมอผู้ยังไม่ทันได้เจอกระจก สะท้อนตัวเองอย่างแท้จริง”ประโยคนี้เหมือนกระชากเราเอาไว้ ราวกับจะไม่ปล่อย จนกว่าเราจะอ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ
หนังสือเล่มนี้เป็นบันทึกเรื่องเล่าของคุณ ‘สินฝ้าย’ เธอซึ่งเป็นผู้ป่วยโรค BPD (Borderline Personality Disorder) โรคบุคลิกภาพแปรปรวนชนิดก้ำกึ่ง “เป็นโรคที่มุ่งเน้นไปยังเรื่องของอารมณ์และความสัมพันธ์ โรคนี้เป็นปัญหาอย่างมากในเรื่องความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะระหว่างคนรัก ครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน ผู้ป่วยโรคนี้เหมือนกลัวที่จะรัก และเมื่อรักก็กลัวที่จะจากลา กลัวการถูกทอดทิ้งอย่างรุนแรง และพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เกิดการจากลา มักจะเสียใจแทบสิ้นสติ และเตรียมพร้อมที่จะตาย เมื่อความสัมพันธ์นั้นได้หายไปจริงๆ”
‘สินฝ้าย’ เล่าช่วงชีวิตของเธอ ความคิดของเธอ และสิ่งที่เธอได้ประสบ ผ่านแต่ละบทของหนังสือ ตอนแรกที่อ่านคำนิยม เราค่อนข้างรู้สึกไม่เห็นด้วยกับการใช้คำว่า “สมเพช” แทนหนึ่งในความรู้สึกขณะอ่านหนังสือเล่มนี้ แต่พอเราอ่านหนังสือจนจบ เราจึงเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนคำนิยมต้องการจะสื่อ เพราะความรู้สึกของเราตรงกับคำนิยมจริงๆ หนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้ค้นพบว่า การอยู่ในฐานะผู้ป่วย และการอยู่ในฐานะคนรักหรือผู้คนรอบข้างของผู้ป่วย ต่างก็มีความเจ็บปวดในระดับที่ไม่ต่างกัน เพียงแต่เป็นความเจ็บปวดที่เกิดจากเหตุผลที่ต่างกัน
“ฉันจะไม่ยอมตายเด็ดขาด” ฉันพูดดังๆและค่อยๆถอยตัวออกมาจากระเบียง ควานหาโทรศัพท์ และรีบกดโทร.หาแม่ที่ไม่ได้คุยกันนานเท่าๆกับที่ฉันได้รู้จักยาไอซ์’ เป็นเนื้อหาที่เราชอบที่สุด เราเน้นข้อความนี้เอาไว้ในหัวทันทีที่อ่านพบ มันคือประโยคที่เรารู้สึกยินดีที่สุด และรู้สึกโล่งใจที่สุดครั้งแรกจากการได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เรารู้สึกขอบคุณความกล้าหาญและความมีเหตุผลของคุณสินฝ้ายมากๆ คุณเข้มแข็งมากเลยที่ผ่านช่วงชีวิตตอนนั้นมาได้
สำหรับเรา หนังสือเล่มนี้ทำให้เราเข้าใจผู้คนมากขึ้น ไม่ใช่แค่ผู้คนที่กำลังป่วยโรคจิตเวช แต่เป็นผู้คนที่อยู่กับเราตอนนี้ ครอบครัว เพื่อนๆ คนรอบกาย ทำให้เราเรียนรู้ที่จะคิดให้มากขึ้นในเรื่องของการกระทำและคำพูด ทำให้เปิดใจที่จะทำความเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นมากขึ้น เราหวังใจว่า หากคุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ คุณเองก็จะรู้สึกอยากกลับไปทบทวนบางอย่างในชีวิต เหมือนกับเรา
แด่…พี่หมอที่ยังไม่ทันได้อ่านหนังสือเล่มนี้ เสียงกีต้าร์ของพี่จะต้องมีเสน่ห์มากแน่ๆ ขอบคุณ คุณ ’สินฝ้าย’ ที่มาเล่าเรื่องของเธอ ผ่านหนังสือและภาพวาดของเธอ หนังสือเล่มนี้ พาให้เราเริ่มที่จะทบทวนการใช้ชีวิตของเราหลังจากนี้มากขึ้น เรารู้สึกขอบคุณมากจริงๆ
รูปภาพที่เรานำมาประกอบ มาจากหน้าที่ 56 ของหนังสือ เนื่องจากเนื้อหาส่วนนั้นทำให้เราได้รำลึกถึง ‘น้องหมอ’ ที่ผู้เขียนกล่าวถึงในหน้าแรกของหนังสือ และเราอยากให้ความสำคัญกับคนๆนี้มาก ไม่แพ้เรื่องเล่าชีวิตของตัวผู้เขียนเลย
สำหรับใครที่อยากรู้จักคุณสินฝ้าย กับหนังสือเล่มนี้ของเธอให้มากขึ้น สามารถเข้าไปติดตามคุณสินฝ้ายได้ทางเพจของเธอ "
Metanee Sinfaii Chaiyasith สินฝ้าย ใต้รอยกรีด" (เพราะเราเองก็พึ่งไปตามมาเหมือนกัน ^___^ )
เรากำลังทำเพจงานเขียนอยู่ เป็นเพจที่เต็มไปด้วยบันทึกและเรื่องสั้นต่างๆของเราเอง
บางครั้งอาจมีการรีวิวหนังสือที่ชอบด้วย
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in