สารภาพว่าตอนแรกเปิดเรื่องนี้มาเพราะอยากเขียนบันทึกชีวิตในคณะแต่เพราะโควิดเลยทำได้แค่เขียนถึงวิชาที่เรียนแต่ละเทอม แค่นั้นเลย ทำได้แค่นั้นจริง ๆ
เริ่มวิชาชาแรก
Eng Reading Skills
เป็นวิชาการอ่าน 1 เทอมจะเรียน 4 ธีม แล้วในแต่ละธีมก็จะมีบทความให้อ่าน 5-6 บทความ ปีเรามีธีมเกี่ยวกับหนังสือ, Gender Gap, Cultures in a Globalized แล้วก็ The Urban Environment ส่วนตัวชอบธีมหนังสือกับCultures ที่สุด อาจเพราะเป็นอะไรที่สนใจมาก ๆ อยู่แล้วด้วย เวลาอ่านเลยเอนจอย 55555
แต่ละบทความที่ให้อ่านยาวประมาณ 2 หน้า มีคำถามท้ายบทความอีกมากมาย ประมาณ 13-15 ข้อซึ่งก็มีข้อย่อยมากมาย… เหมือนบทความสมัยเรียน ENG I-II แต่รู้สึกเข้มข้นขึ้นนิด ๆ
เซคเราอาจารย์จะสั่งให้ไปอ่าน+ตอบคำถามมาล่วงหน้าแล้วมาคุยกันในห้อง
ระหว่างที่เรียนบทความอาจารย์ก็จะสอนการเขียน summary กับ analysis มีงานคู่ให้ช่วยกันสรุปและวิเคราะห์บทความ มีหนังสือนอกเวลาให้อ่าน (ปีเราได้อ่าน Darling Jim ส่วนตัวไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ฮืออ แต่การดำเนินเรื่องบางช่วงก็น่าสนใจอยู่)
ทั้งเทอมมีสอบอ่าน 3 ครั้ง คล้ายกับตอนเราทำแบบฝึกหัด(บทความที่อาจารย์ให้ไปอ่านมาก่อน) แต่เป็นแบบจับเวลา แล้วก็ท้าย ๆ เทอมมี discussion หนงสือนอกเวลาด้วย
สำหรับเราวิชานี้เป็นวิชาที่เรียนชิลแต่เน้นอ่าน+เตรียมตัวมาล่วงหน้า
(และแน่นอน เรามีปัญหาเรื่องการเตรียมตัวล่วงหน้าบ่อยมาก 5555 เพราะอะไร? ไปดูอีกวิชา)
Intro Stud Eng Lit
วิชาวรรณกรรม!! พูดตรง ๆ เราเข้าเอกนี้มาด้วยความอยากเรียนวรรณกรรมอังกฤษ อยากเรียนมาก ๆ แต่พอเจอข้อสอบมิดเทอมไปเริ่มไม่มั่นใจว่าจะไปรอดกับสายวรรณกรรมรึเปล่า
ครึ่งเทอมแรกเรียน Poetry พวก rhyme, sound patterns, symbolism, metaphor, simile ต่าง ๆ เรามีปัญหากับการนับ Meter มาก แล้วก็ types of feet ต่าง ๆ กว่าจะเข้าใจก็ก่อนสอบมิดเทอม 2 วัน (นี่สินะพลังแห่งเดดไลน์และไฟที่ลนก้น)
ครึ่งแรกเราชอบ Sonnet 116 ของ Shakespeare กับ Remember ของ Christina Rossetti มาก ๆ (ความจริง Remember ไม่มีในเอกสารที่ใช้เรียนแต่อาจารย์เอามาสอนเพิ่มให้ แล้วเราก็ชอบมาก!) แต่คะแนนมิดเทอมไม่น่ารักเท่าไหร่เลย 5555 แล้วก็ ครึ่งแรกเรียนเรื่องสั้นด้วย 4 เรื่อง อ่านไฟลนมาก คะแนนพาร์ทเรื่องสั้นก็ออกมาแบบที่…เห็นแล้วน้ำตาไหล
ครึ่งเทอมหลังเรียนบทละคร แล้วก็นิยาย ซึ่งต้องอ่านตาแหกมาก ๆ บทละคร 2 แล้วก็นิยายอีก 1 ถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามันต้องอ่านเยอะแต่ก็รู้สึกว่าอ่านไม่ทัน ปกติเป็นคนอ่านอะไรช้า อ่านตามใจ พอตอนนี้ต้องรีบอ่านให้มากที่สุดเพื่อที่จะเอาไปดิสคัสกันในคาบเรียนก็จะมีความเดือดนิด ๆ (เอาจริง ๆ ก็ไม่นิดเลยแหละ) เซคเราอาจารย์เน้นการดิสคัส เราก็ต้องอ่านมาก่อนแล้วมาคุยกันในห้อง อาจารย์จะแบ่งเราเป็นกลุ่มย่อย เข้าไปในbreakout room คุยกันสัก15นาทีแล้วออกมารวมที่ห้องใหญ่ มาพูดว่าคุยอะไรกันไปบ้าง ถ้าไม่อ่านมาก็จะขิตเพราะไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้จะแลกเปลี่ยนอะไรกับเพื่อนเลย
ปกติเราอ่านทันตลอด (และนี่คือเหตุผลที่เราทำงานวิชาRead Skills ไม่ค่อยเสร็จ555 ทางที่ดีพยายามอย่าทำแบบนี้ดีกว่า มันไม่ดีเท่าไหร่ ฮื้อ)
แต่ถึงอ่านทันก็ยังหลุดไปบางช่วง บางช่วงไม่ได้เก็บรายละเอียดเพราะเราอ่านให้พอรู้ว่าใครทำอะไร ตอนจบจบแบบไหน มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ประมาณนั้น
วิชานี้มี reading response 2 ชิ้น แต่ละเซคจะให้หัวข้อไม่เหมือนกัน แต่จะเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนนะ ชิ้นที่ 1 สั่งตอนเรียน poetry อาจารย์ก็ให้กลอนมาวิเคราะห์ ชิ้นที่ 2 เรียนเรื่องบทละครพอดีก็ให้พูดเกี่ยวกับ elements ที่อยู่ในเรื่องที่เรียนงี้ คะแนนของเราก็ไม่ได้ดีมากเช่นเคย แต่ก็สนุกดี เหมือนเราได้พยายามคิดอะไรเยอะ ๆ แล้วพยายามเขียนออกมาตามที่เราคิด ช่วงนั้นสมองล้ามากเพราะต้องอ่านเยอะ แล้วก็เขียนเยอะด้วย อยากร้องไห้
มีงานกลุ่มอีกงานคือทำ presentation เกี่ยวกับนิยายที่ให้อ่าน อาจารย์จะกำหนดให้ว่าจะให้ทำรูปแบบไหน บางเซคให้ทำเรื่องย่อมาพรี เซคเราให้หา elements ในเรื่องมาอธิบายเพิ่ม พรี 20-25 นาที
เราชอบบทละครกับนิยายที่เราได้อ่านเทอมนี้อยู่นะ ตั้งใจว่าจะทำตอนแยกเพื่อเล่าถึงความรู้สึกต่อเรื่องต่าง ๆ ที่ได้อ่านด้วย ไว้รอบอกเรื่องในตอนนั้นแล้วกัน !
ส่วนปลายภาคมี 3 ข้อ ข้อละเรื่องเลย (ครึ่งหลังเราอ่านบทละคร 2 นิยาย 1) คำถามง่ายกว่าที่เจอในห้อง แล้วก็ง่ายกว่ามิดเทอมที่สอบเรื่องสั้นด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำคะแนนได้เยอะไหม 5555 แต่ตอนเขียนสนุกมากกกกก
โดยรวมวิชานี้เป็นวิชาเปิดประสบการณ์การนั่งอ่านหนังสือบาวตั้งแต่เช้ายันค่ำของเราเลย ช่วงนั้นไฟลน อ่านไม่ทัน งานอื่นก็ต้องทำ แต่ก็ผ่านมาได้แล้ว (กอดตัวเองแน่น ๆ )
Eng Conver Discussion (จะพูดยาวนิดนึง)
สำหรับเราวิชานี้เป็นวิชาที่ทำให้เราพูดอังกฤษได้ดีขึ้นมากเลย 5555 ด้วยความที่เราโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้มีโอกาสพูดภาษาอังกฤษขนาดนั้นพอมาเรียนวิชานี้คือพัฒนาขึ้นมากจริง ๆ เพราะมันเป็นสถานการณ์บังคับให้ต้องพูดอะ
วิชานี้สอนเรื่องการแสดงความคิดเห็น การตอบรับ การบอกใครสักคนว่าเราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย การดิสคัสเป็นกลุ่ม ทำยังไงไม่ให้เราเผลอมองข้ามใครในทีมไป ทำยังไงให้เราได้ฟังความเห็นจากทุกคนในทีมโดยไม่ทำให้เขาลำบากใจ(กรณีที่เขาไม่กล้าพูดต่อหน้าคนอื่น อะไรงี้) แต่ รายละเอียดช่วงนี้มีไม่เยอะ หลัก ๆ จะเน้นการดิสคัสมากกว่า (และนี่คือความสนุกของคาบนี้555)
แต่ละครั้งจะมีธีมให้เราดิสคัสกันกับเพื่อน ๆ ในเซค มีบทความให้อ่าน มีคำศัพท์ให้ไปดูมา (เพราะจะมีควิซคำศัพท์เรื่อย ๆ ) แต่หลัก ๆ ก็เน้นการดิสคัสนั่นแหละ ตอนเริ่มคาบจะมีคำถามตามธีมแต่ละวันให้ 2-3 ข้อ เป็นคาบที่เราได้พูดเยอะมากเพราะอาจารย์จะเอาเราไปอยู่ใน breakout room กับเพื่อน 2-3 คน ถ้าเราไม่พูดก็จะทำเพื่อนเหงา เพราะงั้นเราต้องพูด!! เรื่องที่พูดก็ตามหัวข้อแต่ละวันเลย อาจถามว่า “คุณเห็นด้วยกับ…ไหม” “คุณเคยมีประสบการณ์…หรือเปล่า” ประมาณนี้
ยิ่งกว่านั้น วิชานี้คือวิชาที่ทำให้เราได้ลองอะไรใหม่ ๆ เยอะมาก เริ่มแรกคือการจับคู่กับเพื่อนแล้วนำเพื่อนที่เหลือดิสคัสประเด็นนึงกัน อาจารย์จะให้เราเลือกหัวข้อแล้วดิสคัสกับคนในห้อง เหมือนสวมบทเป็นอาจารย์งี้ 55555 แอบกดดันเพราะต้องพยายามทำให้บรรยากาศมันไหลลื่นตลอด 1 ชั่วโมง (เป็นงานที่รู้สึกแอบทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ด้วย ;-;)
ความสนุกยังไม่จบแค่นั้นเพราะอาจารย์ให้เราโต้วาทีด้วยค่าาา แค่พูดเป็นไทยยังไม่ค่อยจะได้เลย นี่ให้พูดเป็นภาษาอังกฤษ อยากสิ้นเลยทีเดียว อาจารย์ให้เราจับคู่กับเพื่อน แล้วก็จะให้เราไปเจอกับอีกคู่ ตกลงกันว่าจะโต้กันเรื่องอะไร จากนั้นอาจารย์จะบอกว่าเราเป็นฝ่านเสนอหรือฝ่ายค้าน แล้วก็ให้เราไปทำการบ้านมา ตอนนั้นรีเสิร์ชเกี่ยวกับหัวข้อหนักมากกกก เราต้องทำเรื่อง recreational marijuanas แบบว่าควรให้กัญชาที่ใช้เพื่อการนันทนาการถูกกฎหมายไหม ซึ่งเราได้เป็นฝ่ายค้าน ตอนนั้นก็ต้องไปดูโทษของกัญชา ดูเคสของต่างประเทศ ดูสภาพสังคมไทย พยายามคิดว่าฝ่ายนั้นจะพูดอะไรบ้าง โอ้โห งานปวดสมอง
อีกงานนึงคืองานทำ Podcast เราชอบงานนี้มากกกกก อาจารย์จะให้ลิงก์ Podcast เรามา 4 ลิงก์ แต่ละลิงก์พูดเรื่องต่างกัน ให้เราเลือกอันที่เราชอบมากที่สุดมา 1 อัน แล้วให้เรากับคู่ของเราอัด Podcast ที่พูดถึง Podcast ที่เราเลือกอีกที อารมร์เหมือนไปอ่านหนังสือ หรือดูหนังสักเรื่องแล้วมาอัด Podcast คุยกันแต่อันนี้เปลี่ยนเป็นพูดถึง Podcast แทน เป็นงานที่เรารู้สึกว่าทำได้ดีมากและเราก็ชอบงานนี้มาก อาจารย์ให้ทำ Podcast ความยาวไม่เกิน 15 นาทีแต่คู่เราทำไป 20 นาทีเลย พูดเพลิน รู้สึกว่าชอบบรรยากาศการนั่งคุยกันเรื่อย ๆ มากกว่างานจริงจังอย่างนำดิสคัสกับโต้วาทีจริง ๆ แหละ
งานต่อมาเป็นงานที่เอามาแทนการสอบ Listening (ปกติวิชานี้จะมีสอบฟังแต่เพราะเรียนออนไลน์เลยเปลี่ยนมาเป็นงานนี้แทน) งานนั้นคืองาน Interview นั่นเองง อาจารย์ให้จับกลุ่ม 4 คนแล้วเขียนเรื่องที่เราคิดว่าเราเป็น expert ลงในฟอร์มเพื่อให้เพื่อนที่เหลือถามเราเกี่ยวกับเรื่องนั้น และแน่นอน เราต้องดูหัวข้อที่เพื่อนเขียน+เตรียมคำถามล่วงหน้าไปถามเพื่อนด้วย
งานนี้เราเขียนหัวข้อ My experience learning Japanses for 4 years; Starts with “Fun” Ends with “Tears” ไป (ฮ่าาาาา) หลัก ๆ คือให้เพื่อนถามเราเกี่ยวกับประสบการณ์การเรียนภาษาญี่ปุ่น+สาเหตุที่เลิกเรียนไปนั่นแหละ
(ถ้าได้อ่านตอนที่แล้วก็จะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นค่ะ! ใครยังไม่อ่าน ไปลองไปอ่านได้นะคะ!! )
เป็นงานที่สนุกมากและเหมือนเป็นชั่วโมงเปิดใจ เป็น 20 นาทีที่เร็วมาก แป๊ปเดียวหมดเวลาแล้ว ตอนสัมภาษณ์เพื่อนในกลุ่มก็สนุกมาก ได้ฟังเรื่องราวที่เพื่อนสนใจ ได้ฟังประสบการณ์ของเพื่อนแล้วได้เห็นมุมมองอะไรเยอะเลย แอบเสียดายที่ไม่ได้ไปเรียนวิชานี้ที่คณะ ถ้าได้ไปเรียนต้องสนุกมากแน่ ๆ เลย
วิชานี้ไม่มีมิดเทอมแต่มีไฟนอล เป็นการสอบ conversation กับคู่เป็นเวลา 5 นาที ใช่ค่ะ 5 นาทีเท่านั้น เข้า Zoom ไปอาจารย์จะสุ่มคำถามแล้วให้เวลาเตรียมตัว 1 นาที พอหมดเวลาต้องพูดเลย ตอนแรกกังวลมากแต่พอถึงเวลาบทสนทนาก็ไหลไปได้เอง แป๊ปเดียวอาจารย์บอกว่าครบ 5 นาทีแล้ว เร็วมาก
สรุปแล้ววิชานี้เป็นวิชาที่ชิลที่สุดวิชานึงในเทอมแล้วก็เป็นวิชาบังคับเอกที่เราชอบมากที่สุดด้วย
Drama Everyday
เป็นวิชาหล่อเลี้ยงหัวใจของเราอีกวิชา เนื้อหารวม ๆ คือเรียนเกี่ยวกับศิลปการละครในชีวิตประจำวัน สอนเรื่ององค์ประกอบละคร การวางพล็อต การนำเสนอผลงาน การจัดการละคร การแสดง การออกแบบชุด ฉาก แสง แล้วดูว่ามันมีผลต่อละครยังไง โดยรวมคือเรียนกว้างมากแต่ก็ทำให้เรารู้อะไรหลากหลายมาก
วิชานี้จะมีงานกลุ่มเยอะ แต่เป็นงานกลุ่มที่จบในคาบ พอเรียนเสร็จก็ให้ไปทำงานกับกลุ่ม พอหมดเวลาคุยกันก็ให้มานำเสนอ รวดเร็ว ฉับไว
วิชานี้ได้ดูละครคณะด้วย!!! ได้ดู 2 เรื่อง ดูเสร็จเขียนรายงานวิจารณ์ละครส่ง เสียดายมากที่ไม่ได้ไปดูที่โรงละครคณะ ได้ดูใน Zoom กับดูผ่านวิดีโอแทน เสียดายจัง ถ้าไม่มีโควิดคงได้ไปทำอะไร ๆ มากกว่านี้แท้ ๆ
Thai Civ
วิชาที่เราไม่อินที่สุดในเทอมนี้ 5555 อาจเพราะการเรียนการสอนวิชานี้แทบไม่ต่างจากที่เราเคยเรียนมาตอนมัธยมเท่าไหร่ด้วยแหละมั้ง มันเลยทำให้เราไม่ค่อยเปิดใจรับวิชานี้เท่าไหร่
วิชานี้เรียนเป็นคลิป มีควิซย่อย 3 ครั้ง ครั้งละ 3 ชั่วโมง เขียนมือทั้งหมด (ได้เวลาดึงสกิลการเขียนเร็วมาใช้)
ปกติวิชานี้มีทัศนศึกษาแต่เพราะโควิด… อดเหมือนกัน กลายเป็นว่าให้เราหารูปโบราณสถานแถวบ้านมาเขียนสรุปการเรียนรู้แทน…
ปีเราเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นนิดหน่อยเลยทำให้การเรียนการสอนวิชานี้มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อย ทั้งอาจารย์และพวกเราก็คือลำบากมากจริง ๆ สอบอย่างทุลักทุเล ตรวจงานอย่างทุลักทุเล ต้องปรับตัวกันทั้งสองฝ่ายจริง ๆ
ความจริงเทอมนี้เราต้องเรียน Sound Struct ด้วย แต่เพราะเราตั้งใจว่าจะย้ายเอกตอนเทอม 2 เราเลยลดรายวิชานี้แล้วไปขอ sit in อีกวิชานึงของเอกไทยแทน
วิชานั้นชื่อ APP TH LIT WRKS หรือชื่อไทยคือ แนวทางศึกษาวรรณคดีและวรรณกรรมไทย
เป็นอีกวิชาที่ชอบมาก อาจารย์น่ารัก เนื้อหาแน่นมาก บางคาบเชิญอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ มาพูดถึงการวิจารณ์วรรณกรรมแนวที่เกี่ยวกับด้านที่เขาถนัดด้วย อย่างแนวสุนทรียศาสตร์อาจารย์จากเอกปรัชญาก็มาบรรยายให้ฟัง
เป็นวิชาที่ดีมากสำหรับเรา
…แน่สิ เพราะไป sit in ไม่ต้องสอบนี่! แต่ดีจริง ๆ นะ อาจเพราะเราก็เริ่มสนใจเรื่องวรรณกรรมอยู่ด้วย พอมาเรียนวิชานี้แล้วมีอาจารย์ท่านอื่น ๆ มาร่วมบรรยาย ได้เห็นอะไรมากขึ้นแล้วมันมีความสุขมาก ๆ เลย
เทอมนี้ก็เป็นอีกเทอมที่เรียนออนไลน์ 100% ไม่รู้จะต้องอยู่แบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ความจริงเทอมนี้เราค่อนข้างมีความสุขกับวิชาเรียนนะ ได้เรียนวิชาที่สนใจเยอะเลย เนื้อหาบางวิชาก็ยากแต่โดยรวมเราก็ยังไหว ยัง enjoy แต่ถ้าได้ไปเรียนที่มหา’ลัยคงดีกว่านี้มาก ๆ เลย พอเรียนออนไลน์เราไม่ได้เจอมนุษย์แบบเห็นหน้าอะ เห็นกันแค่ใน Zoom ซึ่งเราเป็นคนที่จับอารมณ์และรับพลังงานจากคู่สนทนาจากการเจอหน้าจริง ๆ ถึงเราจะเป็นคนขี้อายและพิมพ์ได้ดีกว่าพูดก็เถอะ แต่เราชอบการพูดคุยกับคนแบบเห็นหน้ามากกว่า พอหมดคาบเรียนแล้วปิด Zoom ก็กลับมาอยู่คนเดียว ความจริงเราค่อนข้างชอบการอยู่คนเดียวเลยแหละ แต่พอสถานการณ์แบบนี้มันทำให้เราจมกับความคิดตัวเองมากเกินไป
ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติเราจะออกไปเจอเพื่อนแล้วกลับมาอยู่กับตัวเอง แต่พอออนไลน์เราใช้เวลาอยู่กับตัวเองเยอะมาก มากจนเราถึงขั้นคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาแล้วนึกเสียดายที่ตัวเองไม่ได้ใช้ชีวิตให้เต็มที่แบบที่หวังเท่าไหร่เลย ทั้งที่ปกติไม่เคยเป็นเลยนะ แต่พอเป็นแบบนี้อยู่ ๆ ก็นึกขึ้นมา แล้วก็คิดว่า
“ถ้ารู้แบบนี้ ตอนที่ยังไม่มีโควิดเราน่าจะรีบทำทุกอย่างที่เราอยากทำก็ดี”
แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าเราและทุกคนจะได้ไปเรียนที่คณะ ได้ใช้ชีวิตปกติสักวัน
เราไม่ได้สอบเข้ามาเพื่อมานั่งเรียนออนไลน์แบบนี้ไงงงง ไม่อยากจบ Zoom University อะะะะ
ป.ล. จบปี 2 เทอม 1 แล้ว เรายังไม่ได้เข้าไปเรียนห้อง 503 เลย เสียใจ
ป.ล. 2 ช่วงนี้เราพยายามจะเขียนทุกอย่างที่อยากเขียนให้ทันก่อนเปิดเทอม 2 แหละ จากการอยู่บ้านนานเกินไป ไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตสักทีเลยคิดว่าจะพยายามทำอะไรที่อยากทำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว 55555
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in