Nick Cave & The Bad Seeds - The Red Right Hand
Album: Let Love In (Track 5, 1994)
- มีการวิเคราะห์กันว่า Red right hand มีส่วนอ้างอิงมาจากวรรณกรรมเรื่อง Paradise Lost ของ John Milton เป็นเรื่องตามตำนานไบเบิลที่อีฟและอดัมเป็นตัวเอกอาศัยอยู่ในสวนอีเดน ในขณะที่ซาตานพยายามจะโค่นอำนาจของพระเจ้าแต่ไม่สำเร็จจึงพยายามมาทำร้ายสิ่งที่พระเจ้ารักและหวงแหนอย่าง อีฟและอดัม
- ตามนิยายคำว่า Red right hand ปรากฏในเล่ม 2 ตอนที่ซาตานถกเถียงกับคนของตนเรื่องสงคราม เทวทูตห้ามปรามและพูดถึงมือขวาสีแดงแทนความโกรธาของพระเจ้าที่อาจกลับมาลงทัณฑ์
แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเชื่อว่าตราสัญลักษณ์ของปิศาจจะอยู่บริเวณหน้าผาก (ที่เห็นบ่อยๆตามหนัง) หรือมือขวา ด้วยเหตุนี้จึงมีประเด็นถกเถียงกันว่าแท้จริงแล้วหมายถึงเงื้อมมือสีแดงข้างขวาที่พูดถึงในเพลงนั้นเป็นมือของซาตาน หรือหมายถึงการลงทัณฑ์จากตัวของพระเจ้าเองกันแน่
- โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าตัวเพลงทำให้ตัวเจ้าของมือสีแดงนี้ลึกลับและน่าค้นหาอยู่ตลอดเวลา ท่วงทำนองและเนื้อหาทำให้ผู้ฟังรู้สึกอยู่ตั้งคำถามอยู่เสมอว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่ เหมือนกับการถกเถียงที่เกิดขึ้นว่ามือสีแดงนี้เป็นของพระเจ้าหรือสัญลักษณ์ซาตาน
- ตัวเพลงปูบรรยากาศให้เห็นภาพชายหนุ่มหล่อเหลา ใจกว้าง ดูร่ำรวย น่าเข้าหา ช่วยเหลือคนราวกับเทพเจ้าที่ลงมาช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก แต่ในขณะเดียวกันเนื้อเพลงก็วาดภาพให้ชายคนนี้มีมือสีแดงที่อาจหมายถึงเลือด สร้างความน่าหวาดกลัวแก่ผู้ฟัง ภาพลักษณ์ของเจ้าของมือขวาค่อยๆเปลี่ยนไปในช่วงท้ายของเพลง
[Verse 1]
Take a little walk to the edge of town and go across the tracks
เดินเล่นรอบชานเมืองและข้ามรางรถไฟดูเสียหน่อย
Where the viaduct looms, like a bird of doom as it shifts and cracks
ที่ที่สะพานรถไฟปรากฏขึ้นอย่างเลือนลาง ราวกับนกแห่งหายนะขณะที่มันขยับตัวและแตกร้าว
Where secrets lie in the border fires in the humming wires
สถานที่ที่ความลับนอนอยู่ในเปลวไฟล้อมรอบด้วยขดลวดที่ส่งเสียงร้องเพลงคลอ
(ตรงนี้อาจตีความได้ว่าคนในเพลงพยายามจะเดินทางข้ามไปยังดินแดนที่มนุษย์ไม่เคยค้นพบเพื่อเจอกับเจ้าของมือขวา เห็นได้จากการบรรยายว่ามีการเดินออกไปถึงชานเมืองและข้ามรางรถไฟ ปกติชานชาลาในเขตนอกเมืองมักจะแบ่งออกเป็นสองฟาก ฟากหนึ่งเป็นที่นั่งรอให้คนใช้บริการ อีกฟากจะเป็นสถานที่ค่อนข้างรกร้าง แต่คนในเพลงก็ยังคงเลือกข้ามรางรถไฟไปต่อทั้ง ๆ ที่ข้างหน้าควรจะไม่มีอะไรให้ค้นหามากนัก เพลงบรรยายให้เราเห็นอีกว่าเขาเดินจนไปผ่านเจอสะพานท่ามกลางบรรยากาศที่สลัว เจอขดลวดส่งเสียงประหลาดและยังที่มีแปลวไฟล้อมรอบ ผู้ฟังเร่ิ่มเห็นภาพที่ดูน่ากลัว เนื้อเพลงท่อนต่อถัดมา "รู้ใช่ไหมว่าไปแล้วจะไม่ได้กลับมา" ก็ถือเป็นการสนับสนุนการตีความข้างต้นได้)
Hey man, you know you're never coming back
เฮ้ นายก็รู้ใช่ไหมว่าจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว
Past the square, past the bridge, past the mills, past the stacks
เดินผ่านลานกว้าง ผ่านสะพาน ผ่านโรงสี ผ่านกองฟาง
On a gathering storm comes a tall handsome man
ในขณะที่พายุกำลังก่อตัว ชายตัวสูงหล่อเหลาก็ปรากฏตัวขึ้น
In a dusty black coat with a red right hand
ในชุดคลุมสีดำเปื้อนฝุ่นพร้อมกับแขนขวาสีแดง
[Verse 2]
He'll wrap you in his arms, tell you that you've been a good boy
เขาจะโอบกอดคุณในอ้อมแขน บอกว่าที่ผ่านมาคุณเป็นเด็กดีมาตลอด
He'll rekindle all the dreams, it took you a lifetime to destroy
เขาจะจุดประกายความฝันทั้งหมด ฝันที่จะต้องใช้เวลาชั่วชีวิตในการทำลาย
He'll reach deep into the hole, heal your shrinking soul
เขาจะล้วงลึกเข้าไปในช่องโหว่ภายในตัวคุณ รักษาจิตวิญญาณอันห่อเหี่ยว
But there won't be a single thing that you can do
แต่คุณจะทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
He's a god, he's a man, he's a ghost, he's a guru
เขาคือพระเจ้า เขาคือมนุษย์ เขาคือผีร้าย เขาคือผู้รู้
They're whispering his name through this disappearing land
พวกมันกำลังกระซิบเรียกนามของเขาผ่านดินแดนที่กำลังเลือนหายไปแห่งนี้
But hidden in his coat is a red right hand
แต่ภายใต้เสื้อคลุมของเขาคือมือขวาสีแดงฉาน
[Verse 3]
You don't have no money? He'll get you some
คุณไม่มีเงินหรอ เขาจะมอบให้คุณเอง
You don't have no car? He'll get you one
คุณไม่มีรถงั้นหรอ เอาสิ เขาจะซื้อให้หนึ่งคัน
You don't have no self-respect, you feel like an insect
คุณไม่เคารพตัวเอง คุณก็จะรู้สึกเหมือนกับแมลง
Well don't you worry buddy 'cause here he comes
แต่ไม่เป็นไรหรอกเพื่อนยาก เพราะเขาอยู่นี่แล้วไง
Through the ghettos and the barrio and the Bowery and the slums
ผ่านชุมชนแออัด ผ่านละแวกเพื่อนบ้านผู้ยากไร้ ผ่านถนนโบเวอรี่ และสลัม
**barrio ถือเป็นเขตที่ค่อนข้างยากจนในอเมริกา ส่วนใหญ่เป็นบริเวณที่อยู่อาศัยของคนที่พูดภาษาสเปนเป็นหลัก (Cambridge Dictionary) in the US, a part of a city where poor, mainly Spanish-speaking people live
**Oxford Learner’s Dictionaries เขียนไว้ว่า Bowery เป็นบริเวณที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแมนฮัตตัน เป็นที่รู้กันว่าเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างยากจน เต็มไปด้วยคนไร้บ้านจนถึงปี 1990
(คิดว่าตัวเพลงพยายามบอกว่าเจ้าของมือสีแดงนี้ผ่านไปแต่สถานที่ที่ยากไร้ สิ้นหวัง ทั้งสลัม กองฟาง รางรถไฟพุพัง โรงสี ให้ภาพเมืองที่ไม่ได้เจริญมากนัก เจ้าของหัตถ์ขวานี้เปรียบดูเหมือนความหวังในสถานที่อันสิ้นหวัง แต่ก็แฝงความน่าหวาดกลัวเอาไว้ด้วยเช่นกันเนื่องจากหัตถ์สีแดงคล้ายกับสีของเลือด
ผู้คนกล่าวว่าเขาเป็นทั้งผี มนุษย์ และพระเจ้า อาจสะท้อนถึงความไม่แน่ใจที่เกิดขึ้นว่าคนผู้นี้เป็นเช่นไรกันแน่ ผู้เขียนเริ่มปลูกความสงสัยลงในจิตใจของผู้ฟัง)
A shadow is cast wherever he stands
เงาจะสะท้อนไปยังทุกที่ที่เขายืน
Stacks of green paper in his red right hand
กองกระดาษสีเขียวอยู่ในมือขวาสีแดง
** green paper อ้างอิงจาก Cambridge Dictionary นิยามไว้ว่าเอกสารที่เป็นของราชการ โดยเฉพาะพวกเอกสารเกี่ยวกับกฎหมาย
(มีคนตีความไว้ว่าเพลงอาจหมายถึงพวกข้าราชการที่ทำการโกงกินด้วยนะคะจากท่อนนี้ หากมองบริบทประกอบ ทั้งชุดคลุมสีดำและบรรยากาศโดยรอบที่ซอมซ่อ อาจเปรียบเหมือนราชการที่วางแผนโกงกินกับผู้คนยากไร้ นอกจากเอกสารราชการ กองกระดาษสีเขียวก็อาจจะหมายถึงเงินที่รวมกันจนเป็นกอบเป็นกำก็ได้)
[Instrumental Break 02:39-04:01]
[Organ Solo]
[Verse 4]
You'll see him in your nightmares, you'll see him in your dreams
คุณจะเจอเขาในฝันร้าย คุณจะพบขาในห้วงฝัน
He'll appear out of nowhere but he ain't what he seems
เขาจะมาปรากฏตัวขึ้นมาโดยไม่มีใครรู้เห็น แต่เขาไม่ได้เป็นแบบที่เขาดูภายนอกหรอก
You'll see him in your head, on the TV screen
คุณจะเห็นเขาในหัวของคุณ จะพบเขาบนทีวี
Hey buddy, I'm warning you to turn it off
แต่ว่าเพื่อนยาก ฉันขอเตือนให้นายปิดทีวีนั่นเสียเถอะ
He's a ghost, he's a god, he's a man, he's a guru
เขาคือผีร้าย เขาคือพระเจ้า เขาคือมนุษย์ เขาคือผู้รู้
You're one microscopic cog in his catastrophic plan
คุณเป็นฟันเฟืองเล็ก ๆ ตัวหนึ่งในแผนการที่เปี่ยมไปด้วยหายนะของเขาเท่านั้น
Designed and directed by his red right hand
วางแผนและกำกับโดยหัตถ์ขวาสีแดงของเขา
[Instrumental Outro]
[Organ Solo]
อยากขอชวนคุยแซ่บ: เรื่อง John Milton คนเขียน Paradise Lost ที่เขาว่ากันว่าอาจเป็นที่มาของคำว่า the red right hand ทุกคนลองไปหาประวัติชีวิตเขามาอ่านเพิ่มเติมได้นะคะ น่าสนใจมากกกก
คือต้องท้าวความก่อนว่ามิลตันเองเป็นคนสนิทและทำงานให้กับโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ผู้ชนะจากสงครามกลางเมืองของอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 17 ครอมเวลล์สามารถพลิกฟ้าคว่ำอำนาจของราชวงศ์สจ๊วตลงและสามารถนำตัวกษัตริย์ชาร์ลที่ 1 มาตัดหัวต่อหน้าประชาชนอย่างอุกอาจ สร้างความสะเทือนขวัญแก่ผู้คนเป็นอย่างมาก
ภายหลังโอลิเวอร์ ครอมเวลล์เสียชีวิตลงด้วยอาการป่วย ขั้วอำนาจหันเหกลับ ในฐานะคนสนิทและนักเขียนคู่บุญของขั้วอำนาจเก่า จอห์น มิลตันจะสามารถรอดตัวโดยไร้รอยขีดข่วนไปได้อย่างไร ชีวิตช่วงหลังเรียกได้ว่าตกอับ กลายเป็นพยัคฆ์ตกที่ราบโดยสมบูรณ์แบบ โดนคิดบัญชีคืนแบบทบต้นและดอก
ตอนแรกมิลตันถูกขังคุก รอโดนโทษประหารโดยการตัดคอ แต่ดูเหมือนในโชคร้ายเขาก็ยังมีโชคดีอยู่บ้าง เพื่อนนักเขียนอย่างแอนดรู มาร์เวลเข้ามาช่วยจึงรอดพันจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด
บั้นปลายชีวิตของมิลตัน ดวงตาของเขาก็มืดบอดในที่สุด ดวงตาที่มองไม่เห็นคือฝันร้ายขั้นสูงสุดของกวี ดวงตามีความสำคัญมากในงานเขียนและสร้างสรรค์ผลงาน กลอนต่าง ๆ ล้วนมีรูปแบบและขนบตามชนิดของมัน ดังนั้นการสร้างสรรค์งานเขียนของมิลตันจึงเป็นไปด้วยความยากลำบากเป็นอย่างมาก เขาต้องอาศัยผู้อื่นให้ช่วยถ่ายทอดคำพูดของเขาให้กลายเป็นลายลักษณ์อักษร
Paradise Lost ถูกเขียนขึ้นในช่วงบั้นปลายชีวิตนี้ หากเคยอ่าน Paradise Lost นักอ่านต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าซาตานเท่ระเบิด กินรอบวงจนตัวเอกอย่างอีฟอดัมต้องน้ำตาร่วง สาเหตุหนึ่งอาจมาจากความคล้ายคลึงและประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกันของมิลตันและซาตาน การที่ซาตานพยายามต่อต้านพระเจ้าแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้นั้นเปรียบได้เหมือนกับมิลตันที่ร่วมท้าทายอำนาจราชวงศ์แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้จนมีจุดจบที่น่าเวทนาไม่ต่างกัน
Paradise Lost ถือเป็นเรื่องแรกๆที่มีการบรรยายถึงนรกไว้อย่างเรียบง่ายว่าเป็นเพียงแค่ “ความมืดที่มองเห็น (Visible Darkness)” ไม่ได้หวือหวาหากเทียบกับวรรณกรรมในยุคเดียวกัน
ด้วยองค์ประกอบอันเรียบง่าย เนื้อเรื่องดำเนินไปตามคัมภีร์ไบเบิลอย่างที่ทุกคนรับรู้ แต่ด้วยปลายปากกาและประสบการณ์ชีวิตที่ขึ้นไปถึงจุดสูงและร่วงหล่นของมิลตัน Paradise Lost จึงกลายเป็นผลงานชิ้นเอกเรื่องหนึ่งของยุค มิลตันกลายเป็นกวีคนสำคัญถัดไปต่อจากเชคสเปียร์
ส่วนตัวประทับใจตอนที่ซาตานบอกว่าตัวเองรู้ว่าจะพ่ายแพ้แต่ก็ยังคงเลือกที่จะต่อสู้มาก ๆ เลยค่ะ ซาตานพูดประมาณว่า ในขณะที่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สู้โดยรู้ว่าตนจะชนะแต่ซาตานกลับกล้าลุกขึ้นต่อต้านกับพระเจ้าผู้ไม่อาจโค่นล้ม เป็นเช่นนี้แล้ว พระเจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าซาตานที่รู้ว่าจะพ่ายแต่ก็ยังคงลุกขึ้นสู้นั้นนับว่ากล้าหาญและองอาจกว่าท่านมาก ตอนอ่านรู้สึกขนลุกสุด ๆ ไอ้นี่มันเท่ไม่ไหว 555555555
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้กันนะคะ ทุกคนเก่งมาก 5555555
ปล. ผิดพลาดประการใด แจ้งได้เลยนะคะ ยินดีแก้ไขค่ะ
References
Biography. (2019). John Milton, English poet, pamphleteer, and historian. Retrieved from Biography: https://www.biography.com/authors-writers/john-milton
Haven, C. L. (2020). The Patient Ambition of John Milton: A Conversation with Thom Satterlee. Retrieved from LARB Los Angeles Review of Books: https://lareviewofbooks.org/article/the-patient-ambition-of-john-milton-a-conversation-with-thom-satterlee/
Labriola, A. C. (2023). John Milton English Poet. Retrieved from Britannica: https://www.britannica.com/biography/John-Milton
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in