การนั่งเครื่อง 8 ชั่วโมงครึ่ง ข้ามมหาสมุทธอินเดีย นั้นผ่านไปเร็วกว่าที่คิด
ดิฉันเคยจินตนาการว่าการขดตัวอยู่ในเก้าอี้ชั้นประหยัดอาจทำให้ 8 ชั่วโมงนั้นอึดอัดเกินไป
แต่สิ่งที่น่าอึดอัดอย่างเดียวบนเที่ยวบินเที่ยวนั้นคือ ถูกปลุกมากินของอร่อยๆบ่อยๆ(ซึ่งก็โอเค)
เครื่องผ่านกลุ่มเมฆขนาดใหญ่ลงไปสู่สนามบิน Bole ใน Addis Ababa เมืองหลวงของเอธิโอเปีย
แสงสว่างจ้าบนฟ้า เปลี่ยนเป็นความขมุกขมัวทันที
อากาศก้อนนึงพัดหวือ ตีใส่เครื่องจนตกหลุมอากาศ เสียวท้องน้อย
ก่อนเมฆจะคลี่คลาย เผยให้เห็นภูมิประเทศสีน้ำตาลแกมเขียวขนาดใหญ่ มีภูเขาให้เห็นอยู่ทั่วไป
Addis Ababa ต้อนรับเราด้วยสีหน้าที่อึมครึม เฉยชา คาดเดาอารมณ์ไม่ถูก
แต่นัยยะหนึ่งเหมือนคนพึ่งตื่นนอนมากกว่า (ก็มันเพิ่ง 8 โมงเช้าวันอาทิตย์นี่นา)
สนามบิน ใหญ่และได้มาตรฐานทีเดียว สมเป็นประตูเปิดสู่ประเทศ
คนไทยอย่างเราต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง
โดยทำ VISA ON ARRIVAL ได้ที่สนามบินเลย
ราคา 50 US Dollars อยู่ได้ 30 วัน
โดยเตรียมหลักฐานแค่ 3 อย่าง
1.ใบปรินซ์กระดาษของตั๋วเครื่องบินไปกลับ (เค้าไม่ยอมดูแบบที่เป็น email ในมือถือนะคะ ต้องเตรียมแบบกระดาษไปค่ะ)
2. ที่อยู่และ เบอร์โทรที่พักเป็นหลักแหล่งในเอธิโอเปีย (จะเป็นโรงแรมหรือ บริษัททัวร์ที่เราจองก็ได้ค่ะ เค้าจะถาม)
3. เงิน 50 US Dollars
ไม่ต้องเตรียมรูปถ่ายไปค่ะ
จะมีช่วงนึงที่พนักงานเค้าจะยึดพาสปอร์ตเราไป ไม่ต้องตกใจค่ะ เค้าจะบอกให้เราไปจ่ายเงินในช่องข้างหลัง และค่อยจะได้รับพาสปอร์ตคืน
(มีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นสองคนตกใจว่าโดนยึด และไม่เข้าใจว่าต้องไปรับที่ช่องข้างหลัง)
ภาพช่องต่อคิวทำ Visa on arrival ที่สนามบิน Bole เมือง Addis Ababa
ดิฉันเนื่องจากดิฉันมีเวลาแค่วันเดียวที่เมืองหลวง
จีงติดต่อ one-day tour ในเมือง Addis Ababa ไว้ค่ะ
บริษัททัวร์ท้องถิ่นบอกในอีเมลล์ตั้งแต่ที่ไทยว่า
ให้เดินออกไปที่ลานจอดรถสนามบิน แล้วจะมีคนขับรถมารับคุณเอง
ดิฉันก็แอบไม่มั่นใจ เพราะ รูปดิฉันก็ไม่เคยให้เค้ามาก่อน
ข้อมูลของหน้าตาคนขับรถหรืออะไรก็ไม่ได้รับ
หรือเค้าจะเขียนป้ายชื่อใบโตๆ ถือไว้หน้าสนามบิน เหมือนในหนังฝรั่ง
ต้องเป็นวิธีนี้แน่ๆ
ดิฉันเดินออกไปจากสนามบินด้วยความกล้าๆกลัวๆ ด้วยว่านี่เป็นครั้งแรกของการมาเยือน กาฬทวีป
ไม่มีประสบการณ์ใดๆ ว่าคนข้างนอกจะปฏิบัติกับเรายังไง
ถ้าเค้าไม่ชอบเราล่ะ ถ้าเค้าใจร้ายกับเราล่ะ
แค่ก้าวออกไปจากประตูสนามบิน ก็เหมือนไม่มีอะไรคุ้มกะลาหัวแล้ว
ดิฉันพยามยามมองหาชื่อตัวเอง บนป้ายเขียน นับสิบ
แต่ก็ไม่มี
ดิฉันพยายามเดินหาแต่ก็ไยังไม่มีอีก วนหาอีกรอบก็แล้ว
ใจดิฉันแป้วไปอยู่ที่ตาตุ่ม
ถ้าบริษัททัวร์ที่เราจองไว้ไม่มีจริงล่ะ ถ้าอีเมล์ทั้งหมดคือการหลวกลวงล่ะ
เคยได้ยินทัวร์ผีที่หลอกนักท่องเที่ยวไหม(แบบที่เห็นในข่าวแถวพัทยา แถวอยุธยา)
นี่เราถูกหลอกให้มาลอยแพในกาฬทวีปที่กว้างใหญ่อย่างนี้คนเดียวรึเปล่านะ
ดิฉันคิดอะไรไปต่างๆนานา
แต่ก็คิดเหมือนกันค่ะ ว่าอีกสักพักถ้าไม่เจอ คงตัดสินใจเดินออกไปผจญเมืองนี้ด้วยตัวเอง
เหมือนนางเอกลุยๆ ในหนังเกี่ยวกับแอฟริกา ที่ออกไปตามหาหนทางยับยั้งโรคระบาดหรืองูยักษ์อะไรสักอย่าง
ไม่ทันที่นางเอกจะได้ออกไปมีหนังของตัวเอง
สักพัก ดิฉันก็โดนสะกิดจากข้างหลัง
ผู้ชายชาวเอธิโอเปียตัวสูงใหญ่ หนวดเคราครึ้มดกดำ ยืนทาบเงาทะมึนอยู่หลังดิฉัน
ดิฉันสารภาพว่าแอบสะดุ้งนิดนึงตอนหันไปเจอเขา
คนขับรถจากบริษัททัวร์แนะนำตัว
ถามชื่อดิฉันเพื่อเชคความถูกต้อง
ดิฉันถามเค้าว่า เค้ารู้ได้ยังไงว่า เค้าต้องมาสะกิดถูกคน
เค้าก็บอกพลางอมยิ้มขำว่า
“ก็คุณเป็นคนเอเชีย และคุณก็ดูงงที่สุด”
จ่ะ งงสิยะ ข้อมูลอะไรก็ไม่มีให้
นาทีนั้นดิฉันอยากอีเมล์ไปด่าบริษัททัวร์ที่จองไว้มากๆ
แต่ก็ตามเค้าขึ้นรถไปอย่างว่าง่าย
…………
คนรถพาดิฉันขึ้นรถขับออกไปจากสนามบิน
ต้องยอมรับค่ะว่า ช่วงสองข้างทางแรกๆ แถวสนามบิน
เด็มไปด้วยตึกทรงทันสมัย และอาคารที่ดูดี
แต่ตอนนั้นก็เช้ามาก เริ่มเห็นผู้คนสองข้างถนนออกมาขวักไขว่ ทุกคนดูทันสมัย ดูอิ่มเอิบแข็งแรง
เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ จึงดูไม่มีใครเร่งรีบมากนัก ทุกคนดูมีความสุขกับชีวิตเมือง
ที่นั้นถ้าไม่นับป้ายโฆษณาสินค้าแปลกๆที่ไม่เคยเห็น
เอาจริงๆก็ไม่ต่างอะไรจากบางกอกบ้านเราเลย
คนรถให้ข้อมูลว่า แถบใกล้สนามบิน เรียกว่าย่าน Bole (โบเล่ ชื่อเดียวกับสนามบิน)
เป็นย่านเมืองใหม่
เพิ่งพัฒนาขึ้นมาไม่กี่ปี
เป็นย่านธุรกิจ ย่านทันสมัยของเมืองหลวง ผู้คนเลยศิวิไลซ์ หน่อยๆ
แต่เพวกเขากำลังจะพาดิฉันไปส่งพักที่โรงแรมอีกย่านนึง
รถตู้ค่อยๆพาออกไปจากความศิวิไลซ์เรื่อยๆ
เริ่มออกไปเห็นตึกเก่าๆ และบ้านที่ดูโทรมขึ้น แต่มันก็ต่างจากภาพในหัวที่คิดไว้บทที่แล้วมากโข
คนรถบอกว่า เดี๋ยวจะพาดิฉันไปเก็บของและอาบน้ำที่โรงแรมก่อน
แล้วค่อยเริ่ม one-day tour กัน
ดิฉันตกลงอย่างว่าง่าย เพราะอยากให้ร่างกายสดชื่นเต็มที่
เพื่อพร้อมออกไปแจกความสดใสแก่ชาวกาฬทวีป
แต่เหมือนเคราะห์กรรมที่เคยแกล้งพ่อค้าชาวโปรตุเกสที่มาติดต่อกับสยาม ตั้งแต่ชาติที่แล้ว
มันจะกลับมาจองเวรคนต่างบ้านต่างเมืองอย่างดิฉันกันตอนนั้น
ชั่วขณะที่คนรถบอกว่า กำลังจะพาดิฉันไปชมอะไรสักอย่างในเมือง
ฝนห่าใหญ่ก็เทจากบนฟ้าอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
คำว่าเท อาจจะน้อยไปกับสถานการณ์ในตอนนั้น
ถ้าจะให้เห็นภาพ เมันเหมือนเทวดาทั้งสวรรค์เอธิโอเปียถูกเกณฑ์ให้แบกถังน้ำใหญ่ๆมาตั้งไว้เรียงกัน
แล้วนับนึง ส่อง ซั่ม ให้สัญญาณ เอาตีนยันถังน้ำคว่ำ
เทน้ำโจ้ก!!!เดียวลงมารดใส่ดิฉันซะมากกว่า
ฝนหนักมาจนรถทุกคันบรถนนมองอะไรไม่เห็น
รถดิฉันเองต้องค่อยๆคลานไปบนถนน อย่างเชื่องช้าระมัดระวัง
มองออกไปนอกหน้าต่าง เไม่สามารถมองเห็นตึกหรือถนนข้างนออกนั้นได้เลย
Addis ทั้งเมืองค่อยๆเลือนไปหลับหลังม่านน้ำฝนสีเทาทมิฬ
น้ำบนถนนเริ่มเจิ่งนองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน รถตู้ดิฉัน ก็กลายเป็นเรือยนต์ เล่นไปบนผืนน้ำสีน้ำตาล
คนรถบอกว่า
สงสัยแผนตอนเช้าคงต้องยกเลิกแล้ว
ฝนตกขนาดนี้ คุณไปเที่ยวไหนไม่ได้หรอก
เดี๋ยวผมจะไปส่งที่โรงแรมนะ
ยังไม่ทันจะเห็นด้วยหรือเอออออะไร
รู้ตัวอีกทีดิฉันและกระเป๋าก็ถูกเด้งออกมาอยู่ที่หน้าลอปบี้ของโรงแรมแห่งหนึ่ง
คนรถบอกกับดิฉันอย่างเร็วๆว่า เดี๋ยวตอนบ่ายถ้าฝนหยุดจะมารับอีกที
แล้วล่ำลาดิฉัน ไวปานแสงแฟลชของกล้องถ่ายรูป
ประตูรถปิดปึ่ง รถตู้เคลื่อนฝ่าม่านฝนออกไปอย่างรวดเร็ว
ทิ้งให้ดิฉันยืนงง มองตามตูดรถที่ถูกกลืนเข้าไปในม่านฝน
ถ้าเป็นภาพในอินตราแกรมคงมีแคปชั่นว่า
“ไปก่อนน้า บัยย์”
ดิฉันยืนงงอยู่หน้าโรงแรมตรงนั้น
กำลังจะหยิบกระเป๋าไป เชคอินขึ้นห้องที่โรงแรม
แต่ทันทีที่เปิดประตูเข้าห้องเท่านั้นแหละ
เหมือนน้ำที่เทวดายันใส่เมื่อกี้จะหมด
แล้วฝนห่าใหญ่เมื่อกี้ ก็หยุดสนิท
ท้องฟ้าในปิ๊ง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
(มีแสงแดดอุ่นๆ)
(มีเสียงนกร้องจิ๊บๆ ออกหากินร่าเริงแจ่มใส)
พายุหล่อนจะรีบไปไหน
แล้วทัวร์ตอนนี้ยกเลิกคืออะไร
แล้วเงินที่จ่ายไปจะได้คืนไหม
สรุปว่า โปรแกรมทัวร์ Addis ครึ่งตอนเช้าคือ
สูดกลิ่นไอดินของเมืองหลวง ขับกล่อมด้วยเสียงนักกระจิบท้องถิ่น
ผ่านหน้าต่างสี่เหลี่ยมเล็กๆ ของโรงแรมชานเมือง
อ้อพนักงานเพิ่งบอกว่า เสาอากาศและเสาสัญญาณถูกฟ้าผ่าจากพายุเมื่อกี้
ทีวีและอินเตอร์เนตใช้ไม่ได้
กิจกรรมทั้งเช้าในตอนนั้น ก็มีให้เลือก แค่ดำดิ่งไปในความมืดของหน้าจอดำๆ
หรือเลือกที่จะอยู่กับตัวเอง เฝ้ามองจิต นั่งสมาธิให้ได้สัมโพธิญาณ
เกร๋ซะ
ไม่ซ้ำใครซะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in