พวกเราถูกปลุกขึ้นตอนตีห้า
รู้สึกเหมือนสามวิเมื่อกี้ เพิ่งคุยเรื่องดาวกับทากะซังอยู่เลย
เป็นคืนนึงในทริปที่อยากนอนต่อมากที่สุด
อาจจะเป็นเพราะอากาศเย็นสบายบนปากปล่องด้วยมั้ง
แต่หลักๆเพราะผู้ชายที่นอนข้างๆฉันมากกว่า
พี่เหี้ยมบอกให้เราอย่าเพิ่งแปรงฟัน
ให้ตามเค้าลงไปดูทะเลสาปลาวาอีกรอบก่อน
เหล่าฮอปบิทขี้ตากรัง อมขี้ฟัน ลงไปเดินย่ำที่พื้นแก้วแปราะๆอีกครั้ง
ทะเลสาบลาวามันเปลี่ยนไปตลอด
เช้านั้นเราได้ไปยืนอีกฝั่งหนึ่ง เพราะฝั่งที่ยืนเมื่อคืนกลายเป็นฝั่งที่มีการประทุแล้ว
ภาพมันเลยแตกต่างกันนิดหน่อยแต่ก็เหมือนเมื่อคืน
แสงอาทิตย์ยามเช้าเริ่มสว่างขึ้น
เผยให้เห็นปากปล่องขนาดใหญ่ที่อยู่รายรอบตัวเรา
เห็นภาพตัวเองชัดขึ้น ว่ายืนอยู่บนลาวาสีดำใจกลางปากปล่อง
มันทำให้รู้สึกหวาดเสียวอย่างประหลาด นี่เรามาทำอะไรอยู่ที่นี่
ช่วงสุดท้ายของภูเขาไฟ
คือเดินไต่ปากปล่อง ไปอีกด้านจองภูเขาไฟ เพื่อดูเสาลาวา ที่ตั้งตระหง่าน และพ่นควันซัลเฟอร์ออกมา
มันไม่มีอะไรไปมากกว่าเสาดำๆที่พ่นควันได้
แต่ ณ จุดนั้น ภาพภูเขาไฟ Erta Ale ในมุมกว้าง เผยให้เห็นแทบจะทั้งลูก
ไกลๆนั่น เราจะเห็นทะเลสาบลาวา ครุกรุ่นอย่างโกรธๆอยู่
โดยรวมแล้ว ความยิ่งใหญ่ของ Erta Ale ความยิ่งใหญ่ของพลังภูเขาไฟ ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
มันช่างงดงาม ประทับใจและน่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน
ความรู้สึกนั้นเกิดเสมอๆแหละค่ะ
เวลามนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเราเอาตัวเองไปเทียบกับอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่า
——————————————————
เมื่อแสงมา พวกเราก็ต้องรีบลงจากปากปล่อง
ก่อนที่จะโดนย่างสด
ถึงแม่ว่าตอนนั้นจะเช้าตรู่ มากๆ แต่เหงื่อที่หลังดิฉันก็เริ่มจะออกมาต้อนรับอากาศร้อนแล้ว
พี่ไกด์หน้าเหี้ยมแจกน้ำให้พวกเราอีกสองขวด( ในเมื่อมีน้ำมากมายขนาดนี้ และเมื่อคืนดิฉันจะทนทุกข์ทรมานไปทำไมกันนะ)
แถมแครกเกอร์ให้เป็นอาหารเช้า แครกเกอร์เอธิโอเปีย ค่อนข้างอร่อย
ดิฉันซัดของตัวเองจนหมด
ระหว่างนั้น ทากะซังเข้ามานั่งข้างๆดิฉัน
เขาเปิดกระเป๋า ล้วงเอาขวดน้ำมะม่วงขึ้นมาสองขวด
เขาบอกว่าซื้อมาจากเมืองเด็กรุม เผื่อไว้ว่าบนปากปล่องไม่มีอะไรกิน เดินลงจะได้ไม่หิว
เขาแบ่งให้ดิฉันขวดนึงอย่างใจดี
ดิฉันถามหยอกเค้าว่าทำไมคุณถึงซื้อมาสองขวด คุณจะดื่มทีเดียวสองขวดเลยเหรอ
เขายิ้ม และตอบฉันมาว่า
“ซื้ออีกขวดเพราะ รู้ว่าน่าจะต้องแบ่งปัน ให้ใครสักคนบนนี้”
อุ๊ยตาย!!!!! นี่คือ อ่อย หรือ ไม่อ่อย ก็ไม่รู้
แต่ยอมรับเลย ว่ามันได้ผล (ทำไมต้องยิ้มเท่ห์แบบนั้นด้วยนะ)
(เดี๋ยวๆๆๆๆ เค้าก็แค่คนมีน้ำใจ ใครสักคนของเค้า อาจหมายถึงใครก็ได้ แล้วอีกอย่าง เค้ามีแฟนแล้ว จำใส่กะลาเอาไว้ นังบื้อ)
จากนั้นพวกเราบางคนก็แปรงฟันจากน้ำขวด
พอจัดแจงธุระตัวเองเสร็จ
ก็ทยอยกันไต่ปากปล่องลงไปข้างล่าง
พี่ไกด์บอกให้เราเดินลงไปตามสบายเลย ตอนกลางวันไม่ซีเรียสเท่าไหร่
แค่เดินให้เห็นเพื่อน เป็นพอ
พี่ตำรวจเองก็ไม่ได้เข้มงวดกับเราเหมือนเมื่อตอนกลางคืน
จากบนปากปล่องนั้น เห็นวิวด้านล่าง เป็นวงกว้างได้ชัดเจน ถ้าสายตาดีหน่อย อาจจะเห็น หมู่บ้าน
Dodom อยู่ลิบๆ
เจ๊ที่ขึ้นอูฐสองคน จะปิดหลังท้ายขบวน
แม้เจ๊ไต้หวันจะพยายามบอกว่า ขอเดินด้วยตัวเองก็ตาม เพราะกลางวันรองเท้าแตะของเจ๊ น่าจะพอเดินได้แล้ว แต่พี่ไกด์หน้าเหี้ยมก็สั่งห้าม
เห็นความขโยกเขยกของอูฐ ขาลงนั้นเสี่ยงต่อความหน้าทิ่มมาก
เอาเป็นว่า คนที่ขี่อูฐก็ไม่ได้สบายกว่าพวกเราที่เดินลงฉุยๆ เท่าไรนัก
ทางเดินลงไม่ยากเลยค่ะ
จะยากก็ตรงที่มีดวงอาทิตย์ร้อนๆเผาหลังตลอดเวลานี้แหละ
ระยะทางเท่าเมื่อคืน แต่ฉันก็รู้สึกว่า เมื่อไหร่จะถึงสักที
ทากะซังไปเดินคุยกับพี่ญี่ปุ่นอีกคน เจ๊เจนไปเดินคุยกับสาวญี่ปุ่น
คนอื่นก็มีคู่กันหมด
มีดิฉันคนเดียวเดินไปเรื่อยๆ ผ่านหินลาวา ผ่านทุ่งหญ้าทะเลทราย
จนพวกเราทั้งหมดมาถึง Dodom อย่างปลอดภัย แม้สภาพจะไม่ต่างอะไรจากหมาหอบแดด
ทุกคนต่างกระดกน้ำไปหลายลิตร แดดตอนสายนี่มันร้อนจริงๆ ถูกแล้วล่ะที่พี่เขาปลุกเราตั้งแต่เช้า
ไม่งั้น ถ้าสายกว่านี้ ต้องมีคนตายระหว่างทางแน่นอน
ที่ Dodom คนขับรถจัดขบวนต้อนรับเรากลับ เหมือนพวกเราเพิ่งได้เหรียญทองโอลิมปิกกลับประเทศ
ทุกคนเข้ามาจับมือ และแสดงความยินดี ที่เราเอาชีวิตรอดกลับมาได้
เว่อร์เบอร์นั้นเลย ทีเดียว
พร้อมกับอาหารเช้าเซตใหญ่ ที่น่าดีใจคือมีแตงโมหวานฉ่ำๆให้ด้วย
การได้กินอะไรอร่อยหลังผ่านเรื่องยากๆมานี่มันฟินจริงๆ
พวกเราเปลี่ยนเสื้อผ้า
ล้างหน้า แปรงฟัน เอาทิชชู่เปียกเช็ดจั๊กแร้ ปะแป้ง ขึ้นไปนั่งรอบนรถ เปิดแอร์เย็นๆให้กระทบผิว
ล่ำลาชาวพื้นเมืองของ Dodom (เค้าคงเหงาทีเดียว)
นั่งรถลุย เขย่าไปกับ Massage Road สองชั่วโมง
แล้วซึ่งแข่งกันในสมรภูมิทะเลทราย กันอย่างดุเดือด (รถของเจ๊ไต้หวันติดหล่มด้วย อิอิ)
ตะลุยลานลาวาหินแข็งสีดำ
ก่อนจะกลับเข้าถนน และยิงยาว 6 ชั่วโมง ขับตรงไปที่ Makele
ทางกลับนั้นไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าทางมา หลังจากพวกเราออกจากภูมิประเทศสีดำของแถบภูเขาไฟแล้ว
เมื่อรถขึ้นเขาก็จะมี สีเขียวมากขึ้นหน่อย และมีแพะภูเขาเล็มใบไม้
เมื่อรถลงล่าง ก็จะมีสีน้ำตาลมากขึ้นหน่อย แล้วก็จะเจออูฐเดินตาหวาน ช้าๆเป็นขบวน บนถนน
สลับไปอย่างๆนั้นเรื่อยไป
ทากะซังเอา โน๊ตบุคขึ้นมาแต่งรูป ซีรีส์ ที่เขาถ่ายซาฟารีในแทนซาเนียต่อ ก่อนจะผล๊อยหลับไป
เจ๊เจน อัพเดตอุณหภูมิ อยู่สองครั้ง และก็สลบไปเช่นกัน
ส่วนดิฉัน มองวิวนอกหน้าต่างอย่างว่างเปล่า คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา คิดถึงเขาคนนั้น
พยายามฝืนความง่วง ทนอยู่เป็นเพื่อน Mr.T ผู้เปิดเพลงฮิปฮอปเสียงดัง
แต่สุดท้ายความง่วงก็ได้ดิฉันไป
ดิฉันรู้ตัวอีกที เพราะได้ยินเสียงฟ้าร้อง
เสียงเม็ดฝนห่าใหญ่ ตกกระทบหลังคารถ ที่ปัดน้ำฝนทำเสียงครืดคราดอยู่ด้านหน้า
“ 19 องศา” คราวนี้ฉันหันไปยิ้มให้เทอร์โมมิเตอร์ที่ตื่นขึ้นมาก่อนดิฉัน
พ่อหนุ่มของฉันยังคงหลับสบายต่ออยู่ที่เบาะหน้า
มันก็น่าตลกเหมือนกันนะคะ ที่ไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว
ดิฉันเคยเดินย่ำอยู่ในดินแดนที่มีแต่ความแห้งแล้ง ความร้อน และไฟลาวา
เคยเกือบตายเพราะอาการขาดน้ำ และต้องบริหารการใช้น้ำอย่างจำกัดจำเขี่ย
ณ ตอนนี้ น้ำฟ้าโปรยลงมาหาพวกเราในทุกทิศทาง อากาศที่เย็นสบาย
รอบๆตัวเห็นต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวสะพรั่ง ผลิบานอย่างสดชื่น
นี่มันประเทศเดียวกันรึเปล่าเนี่ย ทำไมถึงแตกต่างกันมากขนาดนี้
ดิฉันขออนุญาต Mr.T เอากระจกรถฝั่งดิฉันลง
แล้วยื่นมือออกไปสัมผัสเม็ดฝนข้างนอก
อากาศเย็นๆ หอมๆ สดชื่นไหลเข้ามาในรถ ทุกคนในรถสูดมันฟอดใหญ่
เจ๊เจนยิ้มให้ดิฉันแวปนึง แล้วเปิดกระจกฝั่งของตัวเองลงบ้าง
ไม่ช้าทากะซังก็ตื่น แล้วก็เปิดกระจกด้วยเช่นกัน
เราทั้งสามคนคงคิดเหมือนกันว่า หลังจากเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาในทริปนี้
น้ำฝน ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ที่งดงามที่สุดอย่างนึงเลยทีเดียว
ดิฉันมองออกไปข้างนอก
เห็นคนกลุ่มหนึ่ง กำลังเดินเรียงแถวออกจากแม่น้ำ
บนหัวของทุกคนเทินด้วย ถังหรืออะไรสักอย่างที่เป็นเหมือนอุปกรณ์บรรทุกน้ำขนาดใหญ่
รอบๆนั้น ไม่ได้มีบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างให้เห็นเลย
ซึ่งแสดงว่า คนเหล่านี้ กำลังขนน้ำจากแม่น้ำ กลับไปใช้สอยที่บ้าน
น่าแปลกใจที่กลุ่มคนทั้งหมดนั้น เห็นเพียงแต่ผู้หญิงและเด็ก ที่ต้องบรรทุกถังหนักๆเหล่านั้น เดินเป็นระยะทางไกลๆ
เคนอ่านเจอเหมือนกันนะคะว่า ในสังคมชนบทของแอฟริกา
หน้าที่การขนน้ำ เข้าบ้าน จะถูกใช้เป็นหน้าที่ของผู้หญิงและเด็ก
และระยะทางจากบ้านไปแม่น้ำก็ไม่ได้ใกล้เลย
ดิฉันลองคิดดูว่า น้ำเหล่านั้น ต้องเอาไปใช้ทั้ง ดื่มกิน ชำระล้าง หุงหาประกอบอาหาร
แค่ถังเดียวที่เขาบรรทุกนั้น สำหรับคนเดียวก็ยังไม่น่าจะพอ
(เอามาตรฐานตัวเองเป็นที่ตั้ง แค่ถังเดียวดิฉันล้างก้นก็หมดแล้ว)
และสำหรับคนทั้งบ้าน เด็กและผู้หญิงเหล่านี้ ต้องขนน้ำกี่รอบกันนะ ถึงจะพอใช้ให้ทุกคน
มันเป็นงานที่หนักพอดูทีเดียว
ภาพนั้นทำให้ดิฉันตระหนักได้ว่า
ยังมีส่วนต่างๆของโลกอีกมากที่มี้คนมากมาย มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากกว่าเรา
ความทุกข์ของเราถ้าเทียบกับเขาแล้ว มันช่างเบาบางและคงจะไร้สาระมากๆ
พวกเขาคงหัวเราะเยาะเราจนฟันหัก ถ้ารู้ว่า
พวกเราร้องไห้เพียงเพราะทักใครไปในไลน์เขาอ่านแล้วไม่ตอบ
ในขณะพวกเขาอาจจะร้องไห้ เมื่อรู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเดินแบกน้ำเพิ่มอีกหลายกิโล
และคืนนี้น้ำก็ไม่พอสำหรับดื่มแล้ว
โลกใบนี้ มีความไม่เท่าเทียมกันอยู่ทุกที่ค่ะ และมันจะเป็นเช่นนั้นเสมอ
อยู่ที่ว่า เราจะเห็นคุณค่ากับสิ่งที่เรามี
แล้วใช้มันอย่างเต็มที่ เต็มศักยภาพของมันรึยัง
ไม่แน่ว่า สิ่งที่เราใช้อย่างฟุ่มเฟือยทิ้งๆขว้างๆ
ที่มุมหนึ่งของโลก เด็กบางคนอาจจะกำลังอธิษฐานขอปฏิหารณ์ทุกอย่างในโลก
ให้ได้มีสิ่งนั้นเพียงครึ่งวันก็ยังดี
................................
อ่านบทก่อนหน้า บทที่ 21 <ประตูนรกและบันไดสวรรค์>
อ่านบทต่อไป บทที่ 23 <แล้วหลังจากนั้น>
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in