เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I<Ethiopia>U : มี<เอธิโอเปีย>ระหว่างเราArmmie Born TobeBrave
บทที่ 21 <ประตูนรกและบันไดสวรรค์>
  • ดิฉันดีขึ้นเยอะทีเดียวหลังจากกระดกน้ำไปหลายขวด

    โอ้ เริ่ด

    ต่อให้บอกให้ดิฉันปีนลงแล้วขึ้นอีกรอบ ดิฉันก็ไม่หวั่น (ไม่แล้วค่ะ รอบเดียวพอ)


    การไปดู  Erta Ale ของจริงนั้น ต้องเดินลงไปในปากปล่องภูเขาไฟ

    แล้วเดินเข้าไปดูการปะทุของไฟใกล้ๆ ที่ใจกลาง 

    ตรงจุดที่มีลาวาสีแดงฉานสาดแสงแดงร้อน ขึ้นไปบนท้องฟ้า

    ดิฉันรู้สึกฮึกเฮิมราวกับโฟรโด ที่ต้องใจเอาแหวนเอกธำมรงค์ไปทิ้งในภูมรณะ


    เหล่าฮอบบิททั้งหลาย(ลูกทัวร์ ) เดินตามคนแคระ (พี่หัวหน้าไกด์หน้าเหี้ยม) ไต่ลงไปในปากปล่องภูเขาไฟ

    ใช่ค่ะ พวกเราลงไปในปากปล่องภูเขาไฟ

    เดินบนลาวาร้อนๆ ที่เพิ่งเย็นตัวแข็ง

    และต้องเดินตามพี่ไกด์เท่านั้น

    เพราะไม่มีใครแน่ใจว่า บางจุดมันอาจจะบางเกินไป ที่จะรับน้ำหนักพวกเราแต่ละคนได้รึเปล่า

    ความเสี่ยงที่พวกเราจะเหยียบทะลุชั้นลาวาแข็ง ลงไปมอดไหม้เป็นจุล กับแมกม่าภูเขาไฟข้างล่างนั้นก็พอมี

    ว้าว เลยใช่ไหมค่ะ

    ระหว่างความเป็นความตายในเวลานั้น มีเส้นบางๆ สีดำเปราะๆ กั้นอยู่เท่านั้นเอง

    และนรกในโลกแห่งความตาย ก็มาให้เห็นในโลกจริงเบื้องหน้าดิฉันแล้วในตอนนั้น


    ประเภทของภูเขาไฟทั่วโลกนั้น มีอยู่ 3 ประเภทคร่าวๆตามรูปร่างค่ะ

     แบบแรก คือ Cinder Cone  

    ก็คือภูเขาไฟแบบง่ายๆ ที่แมกม่าถูกดันขึ้นมา แล้วทับถมกันสูงขึ้น แต่มีปล่องส่วนกลางแตกปละถล่มลงมา เพราะส่วนประกอบของแมกม่าจะมีอากาศหรือไอน้ำผสมอยู่ รับน้ำหนักของตัวเองไม่ไหว ทำให้ภูเขาไฟแบบนี้ รูปร่างจะ กว้างเป็นรูปชามแบนๆ กว้างๆ ไม่สูงมากนัก ตัวอย่างของภูเขาไฟประเภทนี้คือ ภูเขาไฟ Bromo ประเทศอินโดนิเซีย


    แบบที่สอง คือ  Composite Volcanoes 

    พวกนี้จะเป็นแบบสวย ก็คืออะไรต่างๆที่ภูเขาไฟพ่นขึ้นมา  ส่วนใหญ่จะเป็นเถ้าถ่านภูเขาไฟ มันพุ่งขึ้นสูงมากๆ แล้วตกลงมาทับถมกันเป็นชั้นๆสูงขึ้น อย่างสมดุลในทุกสัดส่วนผ่านเวลาหลายล้านปี ภูเขาไฟพวกนี้มักจะสูงและสวย ตัวอย่างภูเขาไฟประเภทนี้คือ ภูเขาไฟฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น


    และแบบสุดท้าย  Shield Volcanoes

     พวกนี้จะแบบๆกว้างๆเหมือนรูปโล่ ตัวภูเขาไฟทั้งหมดส่วนใหญ่ประกอบขึ้นจากลาวาล้วน แทบไม่มีอย่างอื่นปน และลาวา พวกนี้ลาวามักจะไหลแผ่กระจายกว้างไม่หนืดมาก ทำให้ภูเขาไฟแบน เพราะความแผ่ ตัวอย่างภูเขาไฟประเภทนี้คือ ภูเขาไฟที่ฮาวาย และ Erta Ale ของพวกเราที่เอธิโอเปียนี้เอง



    Erta Ale แปลว่า “Smoking Mountian”  มีความสูงแค่เพียง 600 M  เหนือระดับน้ำทะเลเท่านั้น แต่มีความกว้าง ของตัวภูเขาไฟถึง   3 กิโลเมตร มันมีชื่อเสียงโด่งดัง จากทะเลสาบลาวาใจกลางปากปล่องที่มีหลงเหลือไม่กี่ที่ในโลก โดยรวมแล้วมันถือว่าเป็นภูเขาไฟที่เป็นมิตรแห่งนึง แต่ก็มีวันที่นางโกรธบ้าง เช่นในปี 2012 วันที่ 4 มกราคม มันเกิดระเบิดขึ้น พ่นลาวาไปจนถึงหมู่บ้าน( ร้าง) ริมปากปล่อง ที่เราออกมาจากมันเมื่อกี้ คร่าชิวิต  นักท่องเที่ยว และนักวิทยาศาสตร์ไปหลายคน 


    ทะเลสาบลาวานั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บางทีถ้าคุณอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วดูรูปในหนังสือ มันอาจจะเปลี่ยนรูปร่าง หรือสถานที่ไปแล้วจากเดิม


    ดิฉันและหมู่ฮอบบิทเดินเท้าตามพี่หน้าเหี้ยมไปที่ทะเลสาบลาวา

    ทุกย่างก้าว จะมีเสียงเปราะ แป๊ะๆ เหมือนเหยียบบนกระเบื้องแก้วที่กำลังร้าว และกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

    บางจุดเปราะมาก ถึงกับเมื่อเหยียบลงไป จะมีเเสียง เพร้งแก้วแตก และกลายเป็นหลุมยุบ ให้ตกใจและต้องรีบชักเท้ากลับออกมาทันที

    ไม่เพียงเท่านั้น รอยแยกทุกรอยแยกจะมีไอควันร้อนๆ พ่นผุยๆออกมาตามรอยแยกให้ฝ่าเท้า 

    เพื่อบอกใบ้ว่า ข้างล่างพื้นแก้วแตกนี่ ร้อนไม่ใช่เล่นๆนะจ๊ะ

    พวกเราต่างเดินอยู่บนความไม่เสถียร ความไม่มั่นคง และความเสี่ยง

    แต่ทะเลสาบลาวา ที่แดงเรืองรองในความมืด ที่ใจกลางนั้น ก็ดึงดูดเราให้เดินเข้าหามัน 

    แบบไม่คิดถึงชิวิตหลังความตายเลย



    ทะเลสาบลาวานั้น มันปะทุกันให้เห็นสดๆ

    มีลาวาที่ไหลวนอย่างต่อเนื่อง เคลื่อนโต้ตอบกันภายในนั้น 

    แผ่นลาวาสีดำ ค่อยๆละลาย หายไปในน้ำลาวาสีแดง ขณะที่น้ำลาวาสีแดงก็แข็งขึ้นเป็นแผ่นลาวาสีดำ 

    วนเวียนอยู่อย่างนั้น จุดไหนที่มีการปะทะกัน มันก็จะปะทุปุ๊ ขับพลังงานดีดลาวาขึ้นระเบิดเป็นดอกไม้ไฟ

    มีหลายครั้งทีเดียวที่ดอกไม้ไฟจากการประทุนั้นใหญ่มาก จนทุกคนต้องกระโดดหลบถอยออกมาสองสามก้าว

    แต่มันก็ไม่มีอะไรที่น่ากลัว หรือเป็นอันตราย



    ความร้อนของสะเลสาปลาวา เป่าอากาศรอบๆ ให้หมุนวน เป็นเสียงวีดหวิวไปทั่วบริเวณ

    นอกจากนี้ การแผ่รังสีความร้อนออกมาจากลาวา ทำให้ดิฉันรู้สึกแสบร้อนร่างกายในด้านที่หันเข้าหาทะเลสาบ

    มีอยู่หลายครั้งทีเดียวที่ดิฉัน ต้องพักการถ่ายรูป แล้วกลับหลังหันออกมาจากรังสีความร้อน โดยเฉพาะ บริเวณโหนกแก้ม และหลังมือ(ที่ถือกล้อง) จะรู้สึกแสบแดงมากกว่าบริเวณอื่น






    ทุกคนในตอนนั้นไม่มีใครพูดจากัน 

    ต่างยืนรอบปากขอบทะเลสาปลาวากันอย่างพร้อมเพรียง ตั้งขาตั้งกล้อง ถือกล้อง ถือไอโฟน

     ถ่ายรูปทะเลสาบในมุมต่างๆของตัวเองอย่างดีที่สุด

    จากที่บอกว่า ทะเลสาบมันมีการหมุนวนของลาวาอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นรูปที่ถ่ายออกมา จะไม่มีทางซ้ำกันเลย 

    เหมือนมีมนต์สะกดให้พวกเราทุกคน ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ

    เพื่อต้องการรูปที่ดีที่สุด สวยที่สุด ปะทุปังที่สุด 

    ไม่มีใครสนใจอะไรอย่างอื่นนอกจากการถ่ายรูป แม้แต่เวลา


    เรารู้ตัวอีกทีคือ ตอนที่พี่ไกด์หน้าเหี้ยม ไล่ต้อนพวกเราให้กลับขึ้นไปนอนที่หมู่บ้านได้แล้ว

    เพราะเวลาล่วงเลยมาจนถึงตีสอง


    พวกเราต่างว่าง่าย 

    เพราะไม่อยากเดินฝ่าลาวาเปราะขึ้นไปเอง โดยไม่มีคนนำ

    อากาศบนปล่องคืนนั้นมันไม่ร้อนเท่าไรนัก แต่ก็ถือว่าไม่เย็นสบาย


    ไกด์ไม่ให้พวกเรานอนในกระท่อมหิน

    แต่ออกมานอนที่โครงวงกลมของซากกระท่อมที่พังแล้วแทน  ไม่มีหลังคา 

    พวกเราได้รับแจกฝูกที่นอนมาคนละอัน

    แล้วให้เราเลือกกันเองเลย ว่าจะปูที่นอน ในซากกระท่อมไหนก็ได้ ตามความพอใจ

    ส่วนเหล่าไกด์จะแยกออกไป นอนในกระท่อมเอง ที่มุมหนึ่งของหมู่บ้านใกล้ๆกับที่ผูกอูฐ


    อเมริกันสี่คนไปจองซากกระท่อมที่ดีที่สุดให้ตัวเอง

    เจ๊เจนก็ไปแทคทีมกับเจ๊ไต้หวันนักขี่อูฐ นอนในซากที่ดูกว้างที่สุด

    คู่รักเกย์ชาวออสเตรีย ก็หลบมุมไปนอนด้วยกัน 

    ดิฉัน เดาว่า ทากะซังคงจะไปนอนกับหนุ่มญี่ปุ่นและสาวญี่ปุ่นอีกคน ที่มาพร้อมกับกรุปเจ๊ไต้หวัน 

    ดิฉันเลย เดินออกไปจากกลุ่มไปปูนอนในซากกระท่อมไกลๆ กระท่อมหนึ่งคนเดียว

     แต่ตรงนั้นมันเอียงเห็นท้องฟ้าในมุมกว้างพอดีไม่มีอะไรบัง


    สักพักดิฉันกำลังจะคล้อยหลับไปอย่างเดียวดาย

    เสียงขลุกขลักและเสียงของกระทบพื้นก็ดังข้างๆดิฉัน 

    และเสียงถอนหายใจอย่างสบายบอกให้รู้ว่าใครสักคนกำลังทิ้งตัวลงนอน

    ดิฉันลืมตาขึ้น  หันไปเห็นทากะซัง หน้าตาดูเหนื่อยอ่อนแต่กระนั้นก็ดูมีความสุข

    เหมือนนักกีฬาที่ซ้อมมาหลายเดือน แล้วเพิ่งจบการแข่งขันด้วยชัยชนะที่ตั้งเป้าไว้

    เขาพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้ามาทางดิฉัน 

    หัวหนุนแขนที่ตอนนี้เสื้อยืดตัวฟิตดึงรั้งให้เห็นกล้ามแขนอันแข็งแกร่ง

    เขาส่งยิ้มให้ดิฉันท่ามกลางความมืด และแสงดาว


    ดิฉันยิ้มตอบ


    “คุณไม่ไปนอนกับเพื่อนญี่ปุ่นสองคนนั่นเหรอ”


    “ไม่ล่ะ สองคนนั้นเค้ามาด้วยกัน แล้วที่นอนตรงนั้นมันไม่พอ มานอนกับคุณดีกว่า”


    หัวใจดิฉันเต้นไม่เป็นส่ำ รีบหันมองขึ้นฟ้า เพราะแม้จะมืด แต่ก็กลัวเขาเห็นว่าดิฉันหน้าแดง ในตอนนั้นไม่รู้จะรับมือกับคำพูดของเขายังไงดีแล้ว เลยตอบกลับไปแค่ว่า.....


    “ขอบคุณ” 


    “ขอบคุณทำไมกัน เราเป็นเพื่อนกันนี่นา”


    “ขอบคุณ ที่เป็นเพื่อนกับฉัน”  ตอบได้โง่ชะมัด ในใจดิฉันคิด


    “คุณนี่ก็ตลกดีนะ คนไทยนี่ ตลกและใจดีอย่างนี้ทุกคนรึเปล่า”


    “ฉันใจดีเหรอ” ดิฉันเผลอหันไปสบตาเขาแวปนึง เพราะไม่คิดว่าเขาจะชม


    “ใช่สิ คุณใจดี” เขายืนยันจากสายตา


    “55555 นอนเถอะ” ดิฉันแก้เขินโดยการหันไปมองฟ้าอีกครั้ง คราวนี้เขาเองก็พลิกตัวนอนหงาย และมองฟ้าพร้อมๆดิฉัน


    “คืนนี้ดาวสวยนะ คุณดูสิ เห็นทางช้างเผือกด้วย สวยมากเลย”


    ดิฉันมองตามขึ้นไป ดาวข้างบนนั้นสวยมากจริงๆ แสงดาวดารดาษกระจายทั่วท้องฟ้า ดาวน้อยดาวใหญ่ ดาวฤกษ์ดาวเคราะห์ ตลอดจนดาวจักรราศีทั้งหลาย มาเดินขบวนพาเหรดไต่เต็มท้องฟ้าในคืนนั้น  แถบสีขาวนวลของทางช้างเผือก ระบายจางๆ พาดผ่านเหนือหัวเราทั้งคู่  มันระยิบระยับทอดตัวเอียงจากฟ้ามุมหนึ่งขึ้นไปที่บนมุมหนึ่งในลานสายตา เหมือนบันไดสวยๆ ที่จะเชื้อเชิญใครก็ตาม ให้ขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์


    “ใช่ค่ะดาวสวยมาก ทากะซัง คุณไม่เอาขาตั้งกล้องมาถ่ายรูปทางช้างเผือกที่มีฉากหลังแดงๆของประตูนรกเหรอ"


    ช่างภาพมืออาชีพ ที่นอนข้างๆดิฉัน ยิ้มกว้าง แล้วถอนหายใจเบาๆอย่างสดชื่น ยกแขนสองข้างขึ้นมาหนุนท้ายทอยแบบสบายๆ เงยหน้ามองบันไดสวรรค์ข้างบน แล้วพูดกับดิฉันว่า


            "ความงดงามบางอย่าง ก็อยากจะจ้องมองมันให้นานที่สุด ไม่อยากเสียเวลาไปกับการถ่ายรูป”


           ดิฉันแทบจะทนความเท่ห์ของเค้าไม่ไหวแล้วในตอนนั้น

           เราทั้งคู่ดูดาวไปเรื่อยๆ ฟังเสียงลมหวัดหวิวและเสียงปะทุปุปะ ของภูเขาไฟ

          

           แล้วดิฉันก็ผล็อยหลับไปข้างๆเขา


    ......................


    อ่านบทก่อนหน้า บทที่ 20  <สู่ปาดปล่องประตูนรก>


    อ่านบทต่อไป บทที่ 22 < เดินทางกลับ>



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in