เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I<Ethiopia>U : มี<เอธิโอเปีย>ระหว่างเราArmmie Born TobeBrave
บทที่ 18 <เดินทางสู่ปากนรก>
  • “พวกเราต้องแวะรอตำรวจน่ะครับ”

    ฮ๊ะ ทำไมต้องมีตำรวจ 

    ดิฉันสงสัยตอนที่รถไปจอดแวะที่เมืองชนบทๆห่างไกล และดูแห้งแล้งเมืองหนึ่ง (แน่นอนว่ามันร้อนมากด้วย)


    ไอแดดที่นี่ร้อนจริงๆ อาจจะไม่เท่า Danakil Depression

    แต่ในเมืองที่มีคนอยู่เยอะขนาดนี้ มันออกจะแปลกใจสักหน่อยที่มันร้อนขนาดนี้

    มองไปรอบๆ เห็นแต่ฝุ่นทรายสีน้ำตาลปลิวอย่างสิ้นหวัง ไปทั่วเมือง

    ที่ไม่เคยเห็นในเมืองอื่น คงจะเป็น เตนท์และแทงค์น้ำที่มี ตราสีฟ้าของ UNHCR กระจายให้เห็นอยู่ทั่วเมือง

    เมืองนี้เป็นเมืองของผู้ลี้ภัยเหรอ

    หรือนี่เป็นเขตผู้ลี้ภัย ซึงตอนนี้อาจจะเป็นคนเอธิโอเปียแล้ว แต่ก็นั่นแหละค่ะ 

    คำถามสำคัญคือ ทำไมเราต้องรอตำรวจ


    เมืองเล็กๆที่เราแวะพักรอตำรวจ


    ยังจำเรื่องของคืนรอบกองไฟที่พี่ไกด์หน้าเหี้ยมเล่าให้เราฟังได้ไหมคะ

    การแยกประเทศของเอริเทรียออกจาเอธิโอเปีย 

    มันมีผลมากกว่าการพลัดพรากของครอบครัว หรือความทุกข์ระดับคนรากหญ้าในทั้งสองประเทศ

    ผลกระเพื่อมจากเหตุการณ์นั้น มันส่งผลไปไกลและแทรกซึมกว่าที่ใครคาดคิด

    ในดินแดนนี้ ทั้งบริเวณ Danakil Depression และภูเขาไฟ Erta Ale ที่เรากำลังจะเดินทางไปกันในวันนี้

    มันเป็นพื้นที่อ่อนไหวทางการเมืองมาทันทีที่แยกประเทศ


    ถึงแม้ดินแดนนี้จะร้อน แห้งแล้ง นรกแตกยังไง

    แต่มันก็ยังมีผลประโยชน์ และเป็นแหล่งของอำนาจแก่คนบางกลุ่มอยู่

    หลายคนที่ไม่พอใจการแยกประเทศอยู่แล้ว ก็รวมกลุ่มกันเป็นกบฏ 

    ออกไปก่อการต่างๆ เพื่อต่อต้านอำนาจรัฐ 

    และใช้ชีวิตไปด้วยแรงผลักดันทางอุดมการณ์หรือจุดประสงค์บางอย่างที่เขาคิดว่ามันเหนือกว่าหลักศีลธรรมพื้นฐาน เช่นการทำร้ายชีวิตเพื่อนมนุษย์


    ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ทราบแน่ชัดว่ากลุ่มกบฏแต่ละกลุ่มที่เคลื่อนไหวในแถบนี้ มีความต้องการอะไรที่แน่ชัด

    บ้างก็ว่า ต้องการที่จะสถาปนารัฐ Afar ใหม่ ขึ้นมาปกครองตัวเอง

    บ้างก็ว่า ต้องการที่จะรวม Afar   เข้ากับ เอริเทรียให้รู้แล้วรู้รอด


    ดิฉันไม่ขอตัดสิน ว่าใครผิด หรือถูกกับเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นแถวนั้น

    เพราะไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง หรือมาใช้ชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกับเขา

    บางที ที่นั่น อาจจะมีความอึดอัด หรือผลประโยชน์บางอย่างที่เป็นตัวขับเคลื่อนหล่อเลี้ยงความขัดแย้งให้มีอยู่

    เพราะเอาเข้าจริงๆ ไม่มีชาวบ้าน ร้านตลาดคนไหน อยากจะมีชีวิตลุ่มๆดอนๆ ในเขตเสี่ยงภัยความขัดแย้งกันหรอก


    ยิ่งไปกว่านั้น นักท่องเที่ยวอย่างเรา ยิ่งเป็นเป้าหมายของคนพวกบางกลุ่ม ที่อยากจะสร้างสถานการณ์จุดชนวนให้เกิดข้อต่อรองบางอย่าง 

    เพราะยังไงเสียหน้าตาพวกเราก็แตกต่างจากพวกเค้ามากอยู่ 

    เป็นการง่ายทีเดียวที่เค้าจะตัดสินใจทำอะไรแรงๆได้  โดยที่ความรู้สึกผิดมีน้อยลง


    โดยพื้นที่นี้ กระทรวงต่างประเทศของหลายประเทศ ประกาศให้เป็นพื้นที่ ที่นักท่องเที่ยวควรหลีกเลี่ยง 

    ชัดที่สุดคือเวปไซต์กระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ ที่ขึ้นเตือนคนของเค้าเกี่ยวกับบริเวณนี้ตลอด ไม่เคยปลดออกเลย

    พี่ไกด์เล่าให้ฟังว่า มีนักท่องเที่ยวหลายต่อหลายคน  เห็นความงามน่าสะพรึงของ Erta Ale ตามรูปต่างๆแล้วเกิดอยากมาลุยด้วยตัวเอง โดยเดินทางขึ้นไปเท่ห์ๆ เองแบบไม่มีการ์ด ไม่มีทหารตำรวจคุ้มกัน 


    ในปี 2012  เกิดเหตุการณ์ที่นักท่องเที่ยวอังกฤษจำนวนนึง โดนกลุ่มกบฏจับไปเป็นตัวประกัน ระหว่างที่เดินทางขึ้นไปภูเขาไฟ Erta Ale(ที่ๆพวกเรากำลังจะไป)


    ซึ่งดิฉันเห็นความตึงเครียดชัดเจนของไกด์ที่แสดงถึงความจำเป็นในการรอตำรวจกลุ่มใหญ่ เพื่อเดินทางออกร่วมทริปกับเราไปตลอดทาง

    ดังนั้นอย่างที่ดิฉันบอก พื้นที่แห่งนี้ ไม่สามารถมาเที่ยวด้วยตนเองได้  ต้องจ้างทัวร์มีการ์ดคุ้มกันอย่างรัดกุมพอสมควร 

    ไม่งั้นอาจโดนยิง  

    อาจถูกจับเป็นตัวประกันเรียกค่าไถ่

    หรือไม่ก็แห้งตายเพราะความร้อน และความกันดาร ถ้าเกิดหลงทางขึ้นมา


  • พอพี่ตำรวจเต็มคันรถมาพร้อม

    พวกเราก็พร้อมที่จะเดินทางต่อ

    ซึ่งทางมันก็จะเหมือนทางเดิมๆ

    ที่ขึ้นเขา ก็จะเห็นสีเขียวๆ อากาศเย็นๆ และเจอฝูงแพะภูเขา

    พอลงล่าง ก็จะเห็นสีน้ำตาลมากหน่อย อากาศร้อน และเจ๊เจนจะบ่นกระปอดกระแปด


    เริ่มออกเดินทาง โดยมีรถตำรวจนำ

    โดยการเดินทางวันนี้ค่อนข้างยาวนาน

    มีจอดแวะให้ ผู้หญิง เข้าห้องน้ำบ้างสองสามครั้ง (ซึ่งห้องน้ำก็คือทุ่งโล่ง หาพุ่มไม้ที่ชอบตามอัธยาศัย)


    ทากะซังงัดโน๊ตบุคออกมาแต่งรูป ที่ถ่ายจากกล้องของเขา

    เหมือนว่าตอนนี้เขาแต่งรูปที่ถ่ายจากแทนซาเนียอยู่

    สิงโต มาล้าย ยีราฟ สิงสาราสัตว์ในซาฟารี สวยๆเต็มหน้าจอไปหมด

    ทากะซังทำงานอย่างต่อเนื่องแม้รถโครงเครงไปมา จนดิฉันตาลาย

    เขาแอบจึ๊ปากใส่รูปบางรูปที่เขาคิดว่าถ่ายมาไม่สวย

    แต่ดิฉันมองแล้ว รูปนั้นพอที่จะปรินซ์เป็นโปสเตอร์ใส่กรอบตกแต่งห้องรับแขก หรือแปะเป็นวอลเปเปอร์ที่ผนังร้านก๋วยเตี๋ยวเรือได้เลยนะคะ


    ส่วนเจ๊เจนหลังจากอัพเดตอุณหภูมิแปปนึง

    แล้วก็หลับอ้าปากหว๋อ อยู่ที่เบาะข้างๆดิฉัน 

    ดิฉันเอามือพลักหัวเจ้เจนออกจากไหล่สองสามครั้ง พอเป็นกระไสย

    ในวันนี้ดิฉันเลยไม่ค่อยมีข้อมูลอุณหภูมิเท่าไรนัก

    สักพัก ทากะซังก็ปิดโน๊ตบุค แล้วสลบอ้าปากหวอตามไปติดๆ

    เหลือดิฉันที่อยู่เป็นเพื่อน Mr.T คนรถ โยกหัวไปกับเพลงฮิปฮอป และดูวิวข้างทาง


    มันน่าแปลกอยู่อย่างนึงที่ รถวิ่งไปสักพัก

    ภูเขาที่ควรจะเป็นสีน้ำตาล แบบที่เคยเจอมาหลายวัน 

    กลับเป็นสีดำทั้งลูก

    พื้นดิน ที่ควรจะเป็นสีขาวน้ำตาลมีต้นหญ้าหรอมแหรม

    มันก็กลายเป็นสีดำอีก

    ไม่พอ พื้นมันจับตัวเป็นก้อนแข็งๆ เหมือนลาวาที่แข็งตัวแล้ว แบบที่เคยเห็นในสารคดี

    ยิ่งรถวิ่งไปลึกเข้า

    เผลอแปปเดียวพวกเราก็เหมือนแล่นเข้าไปในดินแดนมรณะต้องคำสาป

    ของแม่มดอะไรสักอย่าง หรือดินแดนมอร์ดอร์ของเซารอน

    รายล้อมไปด้วยภูเขาและพื้นดินสีดำของลาวา

    เหมือนถนนและท้องฟ้า เป็นสองสิ่งเท่านั้นที่ไม่ใช่สีดำ

    บางจุด เห็นคนงานและเครื่องจักร กำลังขุดเอาหินสีดำๆใหญ่ๆบนพื้นนั้น ออกไปใช้ประโยชน์สักทาง

    จากการสั่นของเครื่องจักรระหว่างทำงาน พื้นดินนั่นมันต้องแข็งมากๆแน่ๆ

    ภูมิประเทศเริ่มเปลี่ยนเป็นหินสีดำๆ
    หินสีดำจากลาวาสมัยโบราณที่แห็งตัว ยิ่งรู้สึกว่าเข้าใกล้ดินแดนแห่งความตาย


    เรามุ่งไปตามทางหลวงที่รัฐบาลเอธิโอเปียเพิ่งสร้างใหม่

    ถนนดีมากถึงมากที่สุด

    ก่อนที่คนรถจะเบี่ยงพวกมาลัยไปทางซ้าย

    ออกจากทางหลวง

    ไปวิ่งตะลุยลงบนพื้นลาวาแข็ง 

    ทันทีที่ล้อสัมผัสกระพื้นลาวาดำมะเมี่ยม รถก็เขย่าอย่างแรงจนก้นดิฉันลอยขึ้นครึ่งฟุต

    ทากะซังและเจ๊เจนถูกกระชากให้ตื่นทันที

    ทั้งสองคงตกตะลึงเล็กน้อยว่าตัวเองมาโผล่ที่ไหน

    เราฝ่าดงลาวาขรุขระไปเรื่อยๆ 

    ข้างๆยอมรับว่ามันไม่เหมือนโลกมนุษย์ไปทุกที

    แล้วรถทุกคันก็จอดกึก

    ทุกคนไม่แน่ใจว่า เราจะจอดกลางดงลาวากันทำไม

    แต่เมื่อเค้าจอด เราก็น่าจะออกไปดูข้างนอกสักหน่อย 


     “49 องศา” เทอร์โมมิเตอร์ประจำรถกลับมาทำงาน

    เหมือนคนขับรถเขาจะสับสนเส้นทางกัน เลยออกไปประชุมกันกลางแดดร้อน ร่วมกับพี่ๆตำรวจ (เอรึมีข่าวอะไรน่ากังวล) 

    ดิฉันถือกล้องออกไปถ่ายเนินลาวา

    แต่ทันทีที่แสงแดดและอากาศภายนอกกระทบผิว มันร้อนและแสบผิวมาก

    ดิฉันพยายามใช้กล้องมือถือถ่ายพาโนรามา แต่กล้องขึ้นว่า ทำงานไม่ได้เพราะอุณหภูมิร้อนเกินไป

    แสงแดดตอนเที่ยงที่ทุ่งลาวา มันไม่ใช่ที่ที่ดีนักที่มนุษย์จะอาศัยอยู่อย่างสบายใจ

    ทุ่งลาวาหิน เรียงตัวเหมือนระลอกคลื่นในมหาสมุทธสีดำ 

    เหมือนมันเคยเป็นของเหลวเคลื่อนที่ แต่มันคงหยุดนิ่งมาหลายพันปีแล้ว

    ด้วยความกว้างใหญ่ของมัน เดาว่าบริเวณนี้ ต้องเคยมีภูเขาไฟที่ทรงพลังมากๆ

    และระเบิดตู้มครั้งใหญ่ กระจายลาวาออกเป็นบริเวณกว้าง 

    ไม่แน่ มันอาจจะมีส่วนทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ก็เป็นได้

    อะไรก็ตาม ในช่วงสองสามวันนี้ ที่มาเที่ยวนี้

    ดิฉัน ขอให้มันสงบเสงี่ยมไปซักพักก็แล้วกัน เพราะดิฉันยังไม่อยากสูญพันธุ์ (นี่ยังซิงอยู่เลย)




    ดิฉันพยายามจะฉี่ เพราะมีคนบอกว่า ทางต่อไปมันจะแย่มากๆ และไม่สามารถจอดแวะได้

    ดังนั้นถ้ารถมีโอกาสจอดแล้ว ควรจะเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย

    ใช่ค่ะ ห้องน้ำในที่นี่ก็คือ ดงลาวาอันร้อนระอุ ที่อาจจะเผาจิ๊มิคุณให้สุกได้ เพียงแค่เปิดมันออกมา

    โอ้มันร้อนมาก แสบไปหมดทุกส่วนที่สัมผัสแสงแดด

    นี่ไม่แน่ใจเหมือนกันนะคะว่า ฉี่ที่ออกมา มันตกลงถึงพื้นรึเปล่า รึระเหยไปจนหมด  (อันนี้ก็เว่อร์ไป)

    แต่ที่รู้ๆก็คือ ฉี่เมื่อสัมผัสกับหินลาวาสีดำร้อนๆแล้ว มีเสียงฉ่าาาา!!!ขึ้นมาทันที (อันนี้ไม่เว่อร์)


    พี่ตำรวจกับพี่คนรถตกลงกันได้แล้ว

    เราก็ไปต่อ

    รถวิ่งเข้าไปเหมือนผ่านด่านในเกมส์ ด่านที่ผ่านมาคือหินลาวาแข็งร้อนระอุ

    และด่านต่อไปก็คือ ด่านทะเลทราย





    ทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาล สีน้ำตาลขาว

    มีอูฐพื้นเมือง (ที่ไม่มีคนเลี้ยง เป็นอูฐตามธรรมชาติ) เดินเยื้องย่าง คิดบวก โลกสวย ประกอบฉาก

    ทะเลทรายมาพร้อมกับพื้น ที่หลวมโพรก ต่างจากความแข็งเมื่อสักครู่

    แต่มันไม่ได้ทำให้พวกเราสบายขึ้นเลย 

    รถของเราต้องขับเบี่ยงซ้ายขวา เพราะต้องหลบบริเวณทรายที่อ่อนยวบจนเกินไปล้ออาจติดหล่มได้

    คาราวานของเราอาศัยวิ่งตามรถคันหน้า เพื่อความปลอดภัยและพิสูจน์เส้นทางแล้วว่าตรงนั้นไม่ติดหล่มแน่

    แต่ปัญหาคือรถคันหน้าวิ่งร็วยิ่งกว่า Fast 7

    รถทั้งขบวนเลยต้องวิ่งเร็วตามไปด้วย(ซึ่งอาจจะเป็นเคล็ดลับไม่ให้ติดหล่มบ่อทราย)


    ผลก็คือ พวกเราทั้งสามคน ถูกเหวี่ยงไปซ้ายที่ ขวาที ตามจังหวะที่รถเอี้ยวซ้ายเอี้ยวขวา หลบหลุมทราย

    รถวิ่งเร็วจี๋ ทิ้งฝุ่นทรายฟุ้งขึ้นเต็มท้องฟ้าด้านหลัง

    มีจังหวะนึงที่รถของเราเร่งทำความเร็วแข่งแซงรถคันหน้า เพื่อจะได้ขึ้นนำบ้าง

    จังหวะที่รถสองคันแข่งกัน ถ้าเปิดดนตรีประกอบของหนัง Mad Max: Fury Road ด้วยคงจะเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม


    ไม่นาน รถคันที่เหลือก็ไม่ได้วิ่งตามรถคันหน้าอีกแล้ว 

    รถทั้งหกคัน(รวมรถพี่ตำรวจ) ก็วิ่งแข่งกัน อย่างสนุกสนาน

    Mr.T คนรถของเราเร่งดนตรีฮิปฮอปในรถให้ดังขึ้น เหมือนเค้าจะสติหลุด บ้าระห่ำไปแล้ว 

    มีหลายทีทีเดียวที่รถคันของดิฉันขึ้นนำเป็นจ่าฝูง

    ทากะซังและดิฉันเหมือนจะตื่นเต้นมากๆ แล้วลุ้น ให้ Mr.T เร่งรถให้พ้นจากคันที่ไล่จี้ตูดมา

    ส่วนเจ้เจน ผู้ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ บ่นกระปอดกระแปดว่า “นี่พวกนายกำลังทำอะไรกันยะ”




     ถ้ามันยังสะใจไม่พอ

    เพิ่มระดับเข้าไปอีกค่ะ

    ระหว่างที่รถทั้งหกวิ่งแห่งกันในทะเลทรายอันกว้างใหญ่

     “ข้างหน้านั่นอะไรน่ะ”  เจ๊เจนถามขึ้น

    กำแพงฝุ่นสีน้ำตาลทึบทะมึน ขนาดใหญ่ขวางอยู่เบื้องหน้า มันสูงสักสิบเมตรได้มั้ง มันค่อยๆกลืนต้นไม้ใบหญ้าบริเวณนั้นให้ขายหลุบเข้าไปในตัวมันอย่างน่ากลัว 

    “พายุทราย” 

    Mr.T บอกท่าทีเค้าไม่มีอาการตกใจเลยแม้แต่นิด ผิดกับเจ๊เจนที่หน้าถอดสี แม้แต่ทากะซังและดิฉันเองก็แอบกลัวอยู่

    แต่รถคันแรกข้างหน้าเรา วิ่งหลุบเข้าไปในกำแพงพายุทราย

    Mr.T เร่งเครื่อง แล้วรถเราก็พุ่งตรงตามเข้าหาพายุทรายเบื้องหน้าอย่างไม่ยี่หร่ะ

    สารภาพว่า ดิฉันแอบบกลั้นหายใจแวปนึง ตอนที่รถสัมผัสกับพายุทราย

    ม่านฝุ่นสีน้ำตาลทึบทะมึน กวาดผ่านกระจกเราไปหนึ่งวูบ   

    บรรยากาศโดยรอบเหมือนจะดับความสว่างของแสงลงไปสักเจ็ดระดับ 

    รถวิ่งอยู่ในความขมุกขมัวอยู่แค่เพียงไม่กี่วินาที ก่อนที่พายุทรายจะผ่านรถไปข้างหลัง

    แล้วฟ้าก็ค่อยๆสว่าง เจ๊เจนถอนหายใจแรง ดิฉันกลับมาหายใจปกติ ทากะซังหัวเราะด้วยความตื่นเต้น 


    ยังค่ะ ยังไม่หมด 

    หลังจากผ่านด่านพายุทราย มาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว 

    รถทั้งหกก็โผล่ออกมาจากพายุทราย และ กลับเข้าสนามแข่งกันอย่างดุเดือดกันอีกครั้ง

    พวกเราหลบอูฐ หลบต้นไม้ หลบเนินทราย กลับขึ้นมาไล่บี้ รถคนหน้าแบบหายใจรถต้นคอ

     “นั่นอะไรน่ะ” เจ๊เจนผู้มีซีน คอยเรียกให้คนอื่นดูสิ่งต่างๆ รอบรถ ชี้ไปที่ด้านข้างรถ

    ลมหมุนขนาดปลานกลางค่อยๆก่อตัวขึ้น หมุนวนเอาทรายเบื้องล่าง ขึ้นไปบนท้องฟ้า  อูฐสองสามตัวให้ว่วิ่งหนีลมนั่นอย่างตื่นกัว  ลมนั่นกำลังหมุนมาทางเรา

     “ทอร์นาโด” 

    Mr.T ที่ตอนนี้คาบไม้จิ้มฟันอยู่ เอ่ยออกมาเสียงเรียบ

    จะให้เครดิตมันเป็นทอร์นาโด ก็อาจจะดูน่ากลัวเกินไปนิด เอาล่ะ มันใหญ่กว่าลมหมุนตอนหน้าแล้งบ้านเราอยู่หลายขุม แต่มันก็ไม่ได้ใหญ่ยักษ์แบบในหนังเรื่อง Twister 


      มันอาจจะเกิดจากทรายที่รับความร้อนจากดวงอาทิตย์มากๆ ทำให้อากาศบริเวณนั้น ร้อนมากกว่าอากาศด้านบน มันเลยยกตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว อากาศร้อนบริเวณข้างๆที่อยากจะลอยขึ้นด้วย เลยหมุนรอบอากาศที่ยกตัว เกิดเป็นลมหมุนในทะเลทรายขึ้นมา


    ลมหมุนที่พัดทุกอย่างขึ้นฟ้า ขอโทษที่ถ่ายไม่ชัดค่ะ เพราะตอนนั้นทุกคนตื่นเต้นมาก


    ไม่ทันจะได้ตั้งตัว

    อีกฝั่งหนึ่งของหน้าต่างรถ ฝั่งดิฉัน  ลมหมุนอีกลูกก็ก่อตัวขึ้นข้างๆ

    อีกลูกก็ก่อตัวขึ้นข้างหล้ง 

    และน่าตื่นเต้นที่สุด ลูกที่สี่ ที่ข้างหน้าของพวกเรา

    ลมหมุนลูกข้างหลังกำลังเคลื่อนไปโจมตี รถที่ตามพวกเรามา รถคันนั้นหลบแฉลบไปข้างๆ อย่างทันท่วงที

    ส่วนลูกฝั่งข้างเจ๊เจน และลูกข้างหน้ากำลังเคลื่อนเข้าขารถของเรา

    แน่เลยว่า เจ๊เจนหน้าถอดสีเป็นครั้งที่สอง

    ทากะซังก็ดูเหมือนไม่สนุกเท่าตอนฝ่าพายุทราย

    ดิฉันเริ่มเว้นจังหวะหายใจเพื่อเตรียมตัว กลั้นหายใจอีกรอบ 

    Mr.T ยังคงชิล และเร่งบีทเพลงฮิปฮอป

    เราไม่มีทางหนีได้เลย ทางด้านดิฉัน ก็เป็นดงไม้ทะเลทรายที่รถไม่น่าจะวิ่งทับได้

    ทางด้านเจ๊เจน ลมหมุนอีกลูกก็ไล่เข้ามาหา

    มีทางเดียวที่เรากำลังจะไปคือด้านหน้า ที่มีลมหมุนอีกลูก รออยู่

    ไม่มีทางเลือก เราต้องฝ่ามันไปแบบฝ่าพายุทราย Mr.T คงจะคิดแบบเดียวกัน เขาเร่งรถพุ่งตรงเข้าหาลมหมุน

    ขณะที่เข้าใกล้ ฝุ่นทรายรอบๆลมหมุนยกตัวขึ้นมา ทำให้ทัศนวิสัยด้านหน้ามองแทบไม่เห็น

    ชั่วขณะอึดใจ  Mr.T เหยียบมิดเร่งเครื่องครั้งสุดท้าย  เสียงเครื่องยนต์คำรามกึกก้อง ขณะที่กระจังด้านหน้า สัมผัสเข้ากับตัวของลมหมุน เสียงวีดหวิว และการกระทบ เกิดขึ้นในจังหวะชนนั้น

    และรถของเราก็พุ่งออกมาจากลมหมุนอย่างปลอดภัย

    พร้อมกับสลายตัวมันให้กลายเป็นแค่อากาศธรรมดา ด้วยว่า การแทรกของรถรบกวนการเคลื่อนที่ของมวลอากาศ


    Mr.T เหมือนจะยิ้มสะใจ และขยิบตาให้ดิฉันผ่านกระจกมองหลัง 

    เจ๊เจนถอนหายใจอีกครั้ง เป็นคำบอกว่า ฉันมาทำอะไรที่นี่


    หลังจากนั้น

    ราวบ่ายสอง พวกเราแวะพักกินข้าวเที่ยงในเมืองทะเลทรายเมืองหนึ่ง

    โชคไม่ดีที่พอเราไปถึงเมืองนั้น พายุทรายอีกลูกกำลังถล่มเมืองนั้นอยู่

    เราทุกคนต้องรีบวิ่งลงจากรถ เอาผ้าปิดปากจมูก ตรงไปที่กระท่อมร้านอาหารอย่างรวดเร็ว

    ลมข้างนอกกรรโชกซะจน ต้องเอาก้อนหินหนักๆกันประตูเอาไว้ เพื่อไม่ให้ลมตีเข้ามา

    แต่ยังไงก็ตาม ทรายจากพายุ มันพัดเข้ามาแทรกตามช่องต่างๆของกระท่อม ทรายจำนวนมากตกลงมาใส่หน้าใส่หัวเราอย่างไม่ปราณีปราศัย ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ ดิฉันเอาผ้าปิดจมูก จนผ้าสีแดงของดิฉันกลายเป็นสีน้ำตาล

    อาหารเที่ยงซึ่งเป็นผัดมักกะโรนีทูน่า ก็กลายเป็นก้อนโคลนสีน้ำตาลปนทราย ทุกคำเจือด้วยรสของดินทราย เฝื่อนๆ

    หลายคนถึงกับไม่ยอมกิน หรือเขี่ยกินข้างใต้บริเวณไม่โดนทราย

    แต่ดิฉันหิวมาก จะยัดเข้าไปหมด ไม่สนว่ามันจะทรายแค่ไหน (นี่ช่วยกินของคนอื่นให้หมดด้วย)

    จุดแวะพักกินข้าวกลางทะเลทราย 


    สภาพการกินอาหารกลางทะเลทราย เห็นอย่างนี้ฝุ่นทรายพัดเข้ามาทุกที่

    เราฝ่าพายุทรายออกไปขึ้นรถอีกที

    และทางช่วงสุดท้าย

    ได้รับการขนานนามว่าเป็น “Massage road”

    เพราะมันเป็นทางที่ขรุขระ มากๆ จาก การแข็งตัวของลาวา

    ความขรุขระนี้ทำให้รถทุกคันต้องค่อยๆ ไต่ไปตามถนน ความเร็วไม่เกิน 20

    มันขโยกเขยกกว่าทุกถนนที่ดิฉันรู้จักมาทั้งชีวิต 

    มันไม่มีความเรียบเอาะเลย ทุกการเคลื่อนที่จะมีการเขย่าอย่างน้อย 2-3 สโตรค

    แถมเบี่ยงทางซ้ายทีและขวาที่

    สภาพของถนนนวด

    เข้าใจเลยว่าชื่อ  “ ถนนนวด” มาจากอะไร 

    เพราะแค่นั่งรถแล่นไปตามถนนเส้นนี้ ร่างกายทุกส่วนก็เหมือนได้รับการนวดตลอดการเดินทาง

    ติดว่าเหมือนมันจะนวดแรงไปหน่อย แทนที่จะสบาย กลับสะบักสะบอมไปเแทบทุกส่วน

    และมันกินเวลายาวนานถึง 2 ชั่วโมง


    ก่อนที่รถจะหยุดการขโยกขเยก

    และหยุดจอดอย่างสงบที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง


     Mr.T สร้างซีนขึ้น ด้วยการกล่าวแนะนำว่า

    “ขอต้อนรับสู่ Dodom หมู่บ้านสุดท้ายของมนุษย์ ก่อนจะถึงปากนรก”


    เชดดดดดดดดดดดด เท่ห์ชะมัด


    .....................



    อ่านบทก่อนหน้า บทที่ 17  < Abaala เมืองเด็กรุม>


    อ่านบทต่อไป บทที่ 19  < ก่อนถึงนรก >

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in