เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
me : 2020panpanmeme
God Has Good PlansDay - 1

  • With Plan “Good news: Encourment for a World in Crisis

    For I know the plans I have for you,” says the Lord. 
    “They are plans for good and not for disaster, to give you a future and a hope. (NLT)
    สิ่งที่เราเผชิญกันอยู่ตอนนี้ มันย่ำแย่เกินไป
    ลำพังใช้ชีวิต ในตอนที่ไม่มีโรคระบาดนี้
    ฉันก็ย่ำแย่ เจียนตายแล้ว

    แต่ไบเบิ้ลข้อนี้ทำให้ฉันรู้สึกว่า
    สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มันมี ‘สิ่งดีดี’ ซ่อนอยู่ ให้เราค้นหา

    ถ้าได้ลองอ่านหนังสือ Jeremiah จนจบ
    เราอาจจะรู้สึกว่าพระเจ้าใจร้ายมาก
    พระเจ้าสั่งให้อิสราเอลอยู่รับใช้บาบิโลนถึง 70 ปี ก่อนจะปลดปล่อยให้พ้นจากการเป็นทาส

    ถ้าพระเจ้ารักแล้วทำไมถึงปล่อยเป็นทาสและเจอความยากลำบาก ?

    ฉันเกิดคำถาม
    และสงสัย

    ถ้าพระเจ้ารักฉัน ทำไมถึงให้ฉันเจอเรื่องยากลำบาก 
    และแสนทุกข์ใจ?

    จากข้อความในบทนี้
    ทำให้ฉันนั่งคิด
    และเริ่มต้นหาข้อดีจากสถานการณ์สุดเลวร้ายนี้

    ณ ตอนนี้ฉันอยู่ในสถานการณ์ที่ยังปลอดภัย
    ฉันไม่ติดโรค
    ฉันมีงานทำ ยังมีเงิน มีอาหารกิน
    ฉันมีคนที่รัก
    คนที่ฉันรักทุกคนปลอดภัย
    และทุกคนรอบตัวก็เป็นคนน่ารักอยู่เสมอในสถานการณ์แบบนี้

    ความยากลำบากที่ฉันเผชิญ
    มันอาจจะไม่ใช่ความลำบากทางกายภาพ
    แต่ฉันกำลังเผชิญกับ - ความรู้สึกของการอยากไปจากโลกที่ยุ่งเหยิงนี้  ฉันอยากไปให้พ้นๆ จากโลกใบนี้
    คงจะสบายกว่านี้ 

    ความตายไม่ใช่สิ่งที่ฉันกลัว
    แต่สิ่งที่กลัวคือ
    ‘การที่ยังมีชีวิตอยู่’

    แต่ถึงแบบนั้น
    เหมือนที่ฉันเขียนมาตลอด
    ฉันไม่สามารถตายได้
    ฉันยังตื่นขึ้นมาทุกครั้ง
    แม้ความรู้สึกอยากจากโลกนี้ไป
    มันจะมาเยือนบ่อยแค่ไหนก็ตาม
    ฉันยังลืมตาขึ้นมาเสมอ

    แล้วฉันควรทำอย่างไร...

    เมื่อฉันทบทวนความคิด ความรู้สึก
    หลังอ่านข้อความใน Jeremiah บทที่ 27-29
    ฉันนั่งร้องไห้ เพราะคำสั่งของพระเจ้า ที่สั่งให้อิสราเอล รับใช้บาบิโลน - ฉันร้องไห้ เพราะฉันรู้สึกแบบเดียวกันนั้น เหมือนฉันถูกสั่งให้มีชีิวิตอยู่และอยู่ในโลกที่ฉันไม่อยากอยู่ (เพื่อ?) 

    อ่านต่อไป...
    ฉันรู้ว่า พระเจ้ามีวัตถุประสงค์สำคัญ
    สำหรับลูกของพระองค์

    สิ่งที่ฉันเรียนรู้คือ
    • ในความยากลำบาก 
    และเราจนปัญญา
    ฉันพึ่งพาพระเจ้ามากขึ้น พึ่งพาคนอื่นมากขึ้น 
    ปลดความเย่อหยิ่งลง — และเห็นใจมนุษย์คนอื่นมากขึ้น
    ยิ่งใครที่เผชิญเรื่องเดียวกับเรา ก็ยิ่งเห็นใจ เข้าใจมากขึ้น


    ฝึกฝน เพื่อทำบางอย่างในอนาคต
    ฉันเชื่อว่า ในความยากลำบาก สัญชาตญาณถูกกระตุ้นอย่างไร้ขีดจำกัด เพื่อฝันฝ่าทุกอุปสรรค และหาทางหนีทีไล่ , เพราะฉันในยามปกติ ก็เรื่อยเปื่อยลอยเคว้งเหมือนลูกโป่งอัดแก๊สที่ลอยละล่องไปติดเพดาน

    ขอบคุณ ฉันไม่เคยรู้สึกขอบคุณด้วยความจริงใจ มากเท่าตอนนี้มาก่อน เมื่อฉันรู้สึกถึงความสูญเสียที่กำลังจะมาถึง (เเม้ยังไม่สูญเสีย) ฉันเริ่มต้นขอบคุณ
    ขอบคุณที่มีงานทำ
    ขอบคุณที่ยังไม่โดนลดเงิน
    ขอบคุณที่มีที่อาศัย
    ขอบคุณที่เจ้านายเข้าใจและรับฟัง
    ขอบคุณที่เพื่อนร่วมงานน่ารัก
    ขอบคุณที่คนรอบตัวแสนดีกับฉัน

    ขอบคุณสิ่งต่างๆด้วยใจจริง
    สิ่งเหล่านี้ ทำให้รู้สึกกับสิ่งต่างๆ ต่างออกไปจากเดิม
    ฉันเลิกคิดว่าตัวเองดีกว่าใครใคร
    แต่ทุกคนมีข้อดี
    และการมีอยู่ของทุกคนล้วนเป็นสิ่งดีงาม

    ฉันฝึกที่จะวางใจและเลิกควบคุม
    ความเป็น Perfectionist และลูกคนเดียวที่ถูกเลี้ยงมาโดนคุณแม่และแก๊งป้าจอมเป๊ะ ทำให้ความบ้าความสมบูรณ์แบบทวีคูณ ไม่เคยมีอะไรที่ไม่ดี ไม่ได้ดังใจ ทุกอย่างที่ฉันทำมันดีเสมอ และฉันสามารถคอนโทรลมันได้ แต่ เมื่อ ฉัน ล้ม ลง ให้กับความอ่อนแอบางอย่างของตัวเอง และทุกอย่างพังพินาศ ฉันที่เคยดีเลิศ ก็ดูอ่อนแอด้อยค่า เป็นLoser คนนึงเท่านั้น
    เมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็เรียนรู้(และฝึก)ที่จะวางสิ่งที่ยึดมั่นลง และเปิดใจ

    •เรียนรู้สิ่งใหม่
    เลิกยึดติดกับความสำเร็จและความสุขในอดีต

    สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้น ก็เป็นสิ่งดีมากมายแล้วสำหรับฉัน

    ...

    แต่อีกหนึ่งสิ่งที่ดีที่สุดคือ

    การได้รู้ว่า 
    พระเจ้ารักฉันยังไง ช่วยฉันยังไง
    พระเจ้าเป็นความหวังใจ
    เป็นความมั่นคง
    เป็นความรัก
    ไม่มีใครที่จะทำให้ฉันสงบได้
    เท่ากับการที่ฉันนั่งลง
    แล้วเริ่มต้นอธิษฐานกับพระเจ้า 
    บอกถึงสิ่งที่ฉันรู้สึกและเผชิญอยู่นี้..
    ความพิเศษของการ Take time กับพระเจ้าแบบนี้
    มันทำให้ฉันหลุดพ้น จากการดำดิ่งสู่หลุมความคิดตัวเอง เมื่อฉันพูดออกมาว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร มันทำให้ฉัน ตัดสินใจว่าฉันจะไม่เป็นแบบนั้น ไม่ยอมที่จะอยู่แบบนั้น ในแบบที่ฉันไม่ต้องการ

     

    จริงๆแล้วเมื่ออ่านไปจนถึงข้อท้ายๆ
    พระเจ้าสัญญากับอิสราเอลว่า
    พระองค์จะให้คนที่แสวงหาพระองค์ด้วยสุดใจ
     ได้กลับสู่สภาพดี 

    แสวงหาพระเจ้า (อย่างไร)
    สำหรับฉันคือการยอม
    และปล่อยให้พระเจ้านำหน้าชีวิตฉัน
    บอกพระเจ้าถึงสิ่งที่เรากำลังเผชิญ
    ยกพระเจ้าให้เป็นผู้ครอบครองชีวิต
    แม้แต่ปัญหา ก็มอบไว้กับพระเจ้า
    เพราะฉันไม่อาจจะควบคุมชีวิตของฉันได้เลย
    แม้แต่ตัวฉันเองก็ไม่สามารถควบคุมได้
    เพราะเช่นนั้น จะไม่ดีกว่าหรือ 
    ที่ฉันจะยอมให้คนที่สร้างฉัน
    และรู้จักฉันดีที่สุดเป็นผู้ควบคุมฉัน

    พระเจ้าไม่เคยเรียกร้องอะไรจากฉัน
    นอกจากให้ฉันมีชีวิตอยู่ ด้วยการรักพระเจ้าสุดใจ
    และให้ฉันมีชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย
    มีความรักและหวังใจอยู่เสมอ


    และได้ส่งต่อมันให้คนอื่นด้วย
    ให้สมกับที่ฉันได้รับมาแล้ว

    ฉันเชื่อว่า
    ชีวิตที่มีพระเจ้า
    จะสามารถผ่านไปได้
    ไม่ว่าจะสถานการณ์แบบไหน

    แม้วันนี้ฉันตาย
    ฉันก็ยินดีที่จะตาย
    เพราะนั่นคือเป้าหมายสุดท้ายของฉันแล้ว
    เท่ากับภารกิจบนโลกนี้ของฉันจบลงแล้ว
    หากใครที่อ่านมาถึงตรงนี้
    ฉันไม่อยากให้คุณตกใจที่ฉันพูดถึงความตายซ้ำๆ
    ความตายไม่น่ากลัวเท่าการอยู่ จริงไหม

    แต่จะอยู่อย่างไรให้มีความหมาย
    อยู่อย่างไรให้มีค่า
    อยู่อย่างไร...
    มีแค่เราที่รู้และตัดสินใจได้
    ว่าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร...


    ?
    ฉันเขียนข้อความเหล่านี้
    เพราะฉันอยากให้คุณรู้ว่า
    พระเจ้ารักฉันยังไง


    และฉันอยากรักคุณ
    แม้ฉันจะรักไม่เท่ากับที่พระเจ้าจะรักคุณ
    แต่อย่างน้อย ฉันก็อาจจะเป็นหนึ่งคน
    ที่เผชิญปัญหาเหมือนคุณ
    อยู่ในหลุมดำมืดเหมือนคุณ
    แต่ตอนนี้ฉันออกมาได้ เพราะพระเจ้าช่วยฉัน
    แน่นอนว่า ฉันยังคงหล่นกลับลงไปบ้าง
    มันมีวันแบบนั้น แต่ฉันจะกลับขึ้นมาได้
    เมื่อฉันมีพระเจ้า ผู้ที่รักฉัน กว่าใครใคร
    เห็นสิ่งที่อยู่ในใจฉัน เข้าใจฉัน
    และพระเจ้าจะเป็นแบบนั้นกับคุณ ...เช่นกัน


    With Plan “Good news: Encourment for a World in Crisis


    We’re living in an unprecedented time as we navigate the life-threatening and economy-shaking struggles we’re facing because of the COVID-19 pandemic. In the past, we’ve seen catastrophic diseases, disasters, and wars impact various countries, but this is different. At this time, the whole world has something in common: we’re trying to survive a deadly virus.

    So, as followers of Jesus, how do we make sense of this? What do we do with our questions to God and our questions of God? How do we find good news in a continual stream of bad news? And how do we grasp how this fits into the all-familiar passage of Jeremiah 29:11?

    For I know the plans I have for you,” says the Lord. “They are plans for good and not for disaster, to give you a future and a hope. (NLT)

    This verse gives hope and is our spiritual security blanket in hard times. It’s printed on t-shirts, etched on coffee mugs, and stamped on greeting cards. While God is a hope giver, we have to understand the context of this cherished verse.

    Jeremiah prophesied to the Israelites in the southern kingdom of Judah before they were taken captive in 586 BC by King Nebuchadnezzer of Babylon. In Jeremiah 27, he prophesied that they would serve this king, his son, and his grandson, and that everything would be under their control (Jeremiah 27:6-7 NLT).

    In the next chapter, a false prophet named Hananiah told the people that God would free them and restore everything to them in two years. Jeremiah challenged Hananiah because of his lies. He also said Hananiah would die and in two months, he was dead.

    In chapter 29, Jeremiah encourages the people to live their lives while they’re in exile—to work, marry, plant, eat, and multiply! He tells them they’ll be in Babylon for 70 years and then, they’ll be brought home again.

    God’s plans of a hope and a future for His chosen people probably didn’t match what their idea was. They wanted to go home, yet God said it would be 70 years. They wanted their own king, yet God said they would serve the Babylonian king. They wanted to flourish in their homeland, but God said to do that under a government that was holding them captive. Possibly the hardest part was that the older generation would never go back home. They would die in a foreign land serving a foreign king.

    We can’t insist on our idea of a bright and hopeful future. We tend to be short-sighted and earthly-minded. But God’s ways are so much higher than what our minds can grasp. His plan is better! And it will include forever with Him in heaven, not just a short portion of our lives on earth.

    If our hope is laced with doubt, fear and anxiety, we can change that today. We need to eliminate our“hope-so” attitude and replace it with a “know-so” mindset. Our hope should never be tethered to the conveniences and pleasures the world offers or the ease of a situation. Instead, we fasten our minds to the promises and truths in the Word of God and fix our sights on the day when our bright, glorious, and eternal future is made a reality. Instead of wishing away our days in the predicament we’re in, let’s have confidence that God will deposit hope into us no matter what we’re facing.

    From - Holy BibleYou Version


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in