ทำไมเราถึงรู้สึกเป็นตัวของตัวเองในตอนที่เศร้า ร้องไห้มีน้ำตา มากกว่าตอนที่ รื่นเริง ท่ามกลางมวลมนุษย์
ทำไมถึงรู้สึกถึงตัวเราที่มีอยู่จริง ในตอนที่ร้องไห้มีน้ำตาสัมผัสผิวกายที่สองแก้ม มากกว่าตอนนี้ที่ยิ้มออกมา
กล้ามเนื้อ
ร่างกายของเรา
เคยชินกับ anatomy แห่งความเศร้าเท่านั้นหรืิอ?
— ความรู้สึกนี้เกิดขึ้น
หลังจากที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นตัวเอง
ฉันไม่ไหวแล้วกับความเศร้าที่กลายเป็นธรรมชาติแบบนี้
ใครกันจะอยากเศร้า — ทั้งที่อยากจะแช่อยู่ในความรู้สึกมีความสุข (มีความสุขจนเป็นธรรมชาติ) แต่กลับรู้สึกว่า ไม่สามารถยึดอะไรเอาไว้ได้เลย
ทั้งๆที่ชีวิตก็มีความสุขดี มีคนรัก มีแมวที่รักฉันยิ่งซะกว่าใครใคร (ก็แมวมันเจอแค่เราคนเดียว!) มองดูแล้วก็มีแต่สิ่งดีๆ มีงานที่ดี ได้ทำงานที่รัก เจ้านายที่ดี เพื่อนที่ดี ผู้คนที่ดีรายล้อมเต็มไปหมด
แม้แต่ในตอนนี้ที่ฉันคิดว่า
ความสัมพันธ์ของฉันกับพระเจ้าก็ดีขึ้นด้วยซ้ำ
ฉันรู้ทั้งเรื่องการทรงสถิตของพระเจ้า
ความรักของพระเยซูที่มีต่อฉัน
และการช่วยเหลือขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์
มีเรื่องราวระหว่่างวันที่พระเจ้าทำให้เกิดขึ้น
มันน่ารัก , และฉันรู้ว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ทุกสิ่ง
แม้มันเป็นเรื่องเล็กน้อย
แต่มีคุณค่าต่อจิตใจฉันมาก
คำว่า ‘ยังมีคนลำบากกว่าเราอีกมาก’
ใช้ไม่ได้เลยสำหรับคนอย่างฉัน
อืม ฉันอาจจะใจร้าย
แต่ความยากลำบาก
ความหนักของคนเรา
มันไม่เท่ากัน
มันวัดกันด้วยกายสภาพไม่ได้
บางคนลำบากกาย
แต่บางคนกำลังลำบากใจ
ชีวิตมีความสุขดี
แต่กลับเหมือนไม่ได้รับอนุญาตให้มีความสุข
[ นั่น...ฉันในตอนนี้ ]
เหมือนจิตวิญญาณกำลังโหยหาสิ่งที่ลึกลงไปกว่านั้น
มันฟ้องร้องว่า ‘เท่านี้ไม่พอ’
ต้องการมากกว่านี้
มากกว่าการมีชีวิตพื้นฐานที่ดี มีงาน มีเงิน
มากกว่าการถูกรัก มากกว่ามีคนมารักเรา
ไม่ได้จบแค่นั้น
ไม่ได้เพียงพอเท่านั้น
ยังไม่พอ
ต้องทำอะไร?
ฉันถามขึ้นในใจ
ต้องทำยังไง
ถึงจะรู้สึกถึงความสุขกว่านี้
พระเจ้าเป็นองค์สัพพัญญู
พระองค์รู้และทรงแจ้งแก่จิตใจ จิตวิญญาณ ของเรา
ในระดับลึกที่ลึกซึ้ง ผ่านถ้อยคำในพระคัมภีร์และพระวิญญาณบริสุทธิ์
...
ฉันมองดูขวดเทียนหอม
ไฟของมันโยกไหวไปตามลมเอื่อยๆ ที่พัดอยู่โดยรอบ
ฉันนึกถึงข้อพระคัมภีร์ข้อนึงขึ้นมา —
“He will not hurt weak people, like someone who breaks a weak reed. He will not destroy helpless people, like someone who puts out a weak flame. He will be kind to people, and he will judge them in a fair way.”
Isaiah 42:3
สภาพภายใน
เหมือนไม้อ้อที่ช้ำแล้ว
เหมือนไส้ตะเกียงที่ริบหรี่
ความสุขภายใน
ไม่ได้วัดด้วยผลจากชีวิตภายนอกเพียงอย่างเดียว
หากชีวิตภายนอกนั้นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เราต้องการจริงๆ
• ก่อนหน้านี้ ฉันได้รับการตักเตือนอยู่ในใจ
ถึงท่าทีต่อสิ่งที่กำลังทำ — ทำไปเพื่ออะไร
แล้วเหตุผลนั้นจริงใจแค่ไหน?
• วันนี้ ฉันได้รับการย้ำเตือนอีกครั้ง
(อันที่จริงก็หลายครั้ง)
ถึงมุมมองในเรื่องเดิม
- เรากำลังแคร์สายตาคนอื่นมากไปหรือเปล่า?
- กำลังโหยหาร้องเรียกการยอมรับจากผู้คนจนลืมวัตถุประสงค์จริงๆ ไปด้วยหรือเปล่า
เป็นเรื่องอันตรายสำหรับฉันมากๆ ที่มักจะเผลอทำ
ในสิ่งที่จะส่งผลต่อความพอใจของคนอื่นที่มีต่อฉันและสิ่งที่ฉันทำ
แน่นอนว่า — ผู้เดียวที่ฉันควรเอาใจ
คือพระเจ้า , ไม่ใช่มนุษย์
เพราะเราไม่มีทางที่จะทำให้ใครพอใจได้
มิหนำซ้ำอาจจะเกลียดเราไปเลยด้วยซ้ำ
มีคนที่ชอบและมีคนที่ไม่พอใจ
ซึ่งเราคงไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้
พอเป็นแบบนี้ :
ก็นึกถึงตอนที่คุยกับ Counselor ครั้งล่าสุด
เรื่องฟังเสียงคนอื่นมากไป
มันทำให้ชีวิตเราก้าวไปข้างหน้าไม่ได้
มันรั้งเราอยู่
แม้ว่าชีวิตจะดูดีแค่ไหน
แต่ถ้ามันไม่ใช่สิ่งที่ใจข้างใน (ตัวเรา) ต้องการจริงๆ
มันก็สูญเปล่า
นั่นสินะ ...
ฉันถึงได้รู้สึก
ไม่เป็นตัวของตัวเอง
เพราะสิ่งที่ทำลงไป
ฉันคิดว่าใจต้องการ
แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่
เขียนมาถึงตรงนี้ :
ฉันเข้าใจว่า
ฉันไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเฉพาะในตอนที่เศร้า
นั่นไม่ใช่ฉัน ...
แต่เพราะฉันกำลังไม่เป็นตัวของตัวเองต่างหาก
ฉัน จึงรู้สึกเศร้าและร้องไห้ออกมา
ก่อนจะได้ยินเสียงตัวเอง
ก็คงต้องเริ่มจาก
ปิดเสียงของคนอื่น
ไม่ให้เข้ามาในหูของเราก่อน —
แล้วเริ่มฟังเสียงที่อยู่ข้างในจริงๆ
เสียงของพระเจ้า
ที่จะคอยบอกกับเราในแต่ละวันเสมอ
ฉันไม่ได้ต้องการอะไรหรอก
นอกจากการหยุดอยู่นิ่งๆ
แล้วเริ่มฟังบ้างเท่านั้น ?
ต่อให้วันนี้เราจะหลงทาง
ชอกช้ำ อ่อนแอ หรือเลวร้ายแค่ไหน
แต่พระเจ้า จะไม่ทรงซ้ำเติม
จะไม่ดับความหวังใจของเรา
และวิธีการที่ฉันตกลงกับ Counselor เอาไว้
เวลาที่เสียงคนอื่นมันกลบเสียงในใจเรา
คือ ‘หายใจลึกๆ หายใจลึกๆ’
เริ่มฝึก เราต้องเริ่มต้นฝึก
ฝึกตัวเองและยอมรับธรรมชาติใหม่
ไม่อาจโทษใครที่เป็นแบบนี้
สิ่งที่ทำได้คือ
ตัดสินใจ เริ่มต้น ให้พระเจ้าเป็นธรรมชาติใหม่
ให้พระเจ้าเป็นวิถีชีวิตใหม่ของเรา
แทนที่ธรรมชาติแห่งความเศร้าโศก
ขอให้ร่างกาย จิตใจ หลงลืมความโศกเศร้า
ขอให้ความโศกเศร้าอยู่ห่างไกล
แต่ขอพระเจ้า ที่จะอยู่ใกล้มากขึ้น ชิดมากขึ้น
ความชื่นบานอาจจะเป็นการรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ
กับชีวิตในแต่ละขณะ — มากกว่าการฉีกยิ้มกว้าง
เเล้วเริงระบำหมุนตัวในชุดกระโปรงบาน ,ความสุขสนุกและชื่นบานของฉันไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว
...
ขอเพียงใจได้พัก
ได้สงบ
ได้ฟัง
และได้ยิน
daddy. i’m here , please talk to me.
(;—;)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in