ดังที่ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงบันทึกไว้ใน เกิดวังปารุสก์สมัยประชาธิปไตย ความว่า
“ปลายเดือนมกราคม ทุกๆ คนได้ฟังข่าวอย่างสะทกสะท้านหวาดหวั่นมากมีคนสำคัญและผู้หลักผู้ใหญ่คนอื่นๆ อีกเป็นอันมากถูกตำรวจจับโดยข้อหาว่าจะทำการกบฏ”
อีกทั้งพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ยังทรงบรรยายต่ออีกว่า
“ เหตุเกิดในตอนเช้ามืดวันที่ 29 มกราคม 2481 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการกวาดล้างจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 51 คน ฐานดำเนินการเพื่อคิดการกบฏและวางแผนประทุษร้ายชีวิตบุคคลในคณะรัฐบาลในบรรดาผู้ถูกจับกุมครั้งนั้น มีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร รวมอยู่ด้วยทโดยตำรวจสันติบาลได้เชิญเสด็จพระองค์จากลำปางเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2481 ซึ่งทำให้เจ้านายและประชาชนทั่วไปประหลาดใจมาก เพราะทรงเป็นพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่และไม่ทรงเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่อย่างใด”
ทางการในขณะนั้นได้นำพระองค์ท่านไปคุมขังไว้ยังสถานีตำรวจพระราชวังในห้องขังรวมผู้ต้องหาด้วยความที่พระองค์ทรงดำรงพระยศเป็นพระราชบุตรขององค์พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงวางตนเป็นปกติ ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด ดำรงไว้ซึ่งความเป็นขัติยมานะอย่างแท้จริง ดังที่ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมท บันทึกไว้ว่า
“...ตั้งแต่เวลาที่ตำรวจเข้าไปจับหรือเชิญเสด็จตลอดจนถึงเวลาที่เสด็จขึ้นรถด่วนเข้าไปในห้อง มีเจ้าพนักงานยืนคุมหัวรถท้ายรถ เสด็จในกรมฯมิได้มีพระอาการผิดปรกติหรือสะทกสะท้านแม้แต่น้อย คำว่า ขัตติยมานะ นั้น ผู้เขียนเคยได้ยินคนพูดบ่อยครั้ง และตีความหมายกันไปมากมาย แต่ผู้เขียน(มร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช) ได้เคยเห็นของจริงก็ในคราวนั้นครั้งเดียว...”
เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระศรีสวรินทิรา พระบรมราชเทวี ด้วยความที่รักราชบุตรแม้ไม่ใช่พระโอรสที่ประสูติแต่พระองค์ หากแต่ทรงอภิบาลมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์จึงมีความเป็นห่วงพระราชโอรสเป็นอย่างยิ่งถึงกับทรงปรารภว่า
“ทำไมรังแกฉันอย่างนี้ มันจะเอาชีวิตฉัน มาทำลูกชายฉันเห็นได้เทียวว่า รังแกฉัน”
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาก็มิได้ทรงนิ่งนอนพระทัย จึงมีพระราชเสาวนีย์ถึงเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม พิชเยนทรโยธิน) 1 ใน 2 คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มาเข้าเฝ้าฯ เพื่อให้หาทางช่วยเหลือกรมขุนชัยนาทฯ (เจ้าพระยาพิชเยนทร์ฯคนนี้เคยเป็นมหาดเล็กข้าหลวงเดิมของสมเด็จพระบรม โอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสยามมกุฎราชกุมาร) โดยทรงดำรัส ความว่า
ภาพ เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน (อุ่ม พิชเยนทรโยธิน) ที่มา Wikipedia
“...เธอกับฉันก็เห็นกันมาตั้งแต่ไหนๆครั้งนี้ทุกข์ของฉันเป็นที่สุด ขอให้เธอช่วยไปบอกจอมพลทีว่า อย่าจับกรมชัยนาทฯเข้าห้องขัง มีผิดอะไรส่งมาให้ฉัน ฉันจะขังไว้เอง ให้มาอยู่ที่บ้านนี้ข้างห้องฉันนี่ เพราะฉันเลี้ยงของฉันมาตั้งแต่ 12 วัน พระพุทธเจ้าหลวงอุ้มมาพระราชทานเอง ถ้ากรมชัยนาทหนีหายฉันขอประกันด้วยทรัพย์สินที่ฉันมีอยู่ ถ้าหนีหายฉันก็จะยอมเป็นขอทาน...”
ด้วยความรักพระราชบุตรสุดหัวใจ จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้พระโอรสทรงปลอดภัยเจ้าพระยาพิชเยนทร์โยธินจึงนำความไปบอกแก่รัฐบาลผลการเจรจาปรากฎว่าไม่เป็นผลสำเร็จโดยรัฐบาลให้เหตุผลว่า “เกี่ยวกับเรื่องของบ้านเมือง”
พระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯถึงกับทรงดำรัสด้วยความโทมนัสว่า
“...เขาจะแกล้งฉันให้ตาย ฉันไม่รู้จะอยู่ไปทำไมลูกตายไม่ได้น้อยใจ ช้ำใจ เหมือนครั้งนี้เลย เพราะมีเรื่องหักได้ว่าเป็นธรรมดาโลกครั้งนี้ทุกข์สุดที่จะทุกข์แล้ว...”
พระองค์ยังทรงรำพึงรำพันกับพระองค์เองความว่า
“...ฉันตายแล้ว ฉันจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าหลวงได้อย่างไรท่านอุ้มมาพระราชทานฉันกับพระหัตถ์เองทีเดียว เมื่อ 12 วันแท้ๆ...”
จากเนื้อความผู้อ่านคงจะทราบกันดีถึงความรักที่พระมารดามีต่อราชบุตรแม้ไม่ใช่บุตรในอุทรหากทรงเลี้ยงมาแต่พระเยาว์ก็ทรงรักดั่งแก้วตาดวงใจ คนเป็นแม่จะมีความสุขก็เมื่อลูกของตนเองสุขจะทุกข์ที่สุดก็เมื่อเห็นลูกของตนเองตกที่นั่งลำบาก สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯแสดงบทบาทความเป็นพระราชมารดาที่จะพยายามช่วยเหลือบุตรทุกวิถีทางเป็นแบบอย่างมารดาที่น่ายกย่องและนำมาเป็นแบบอย่างเป็นอย่างยิ่ง
โปรดติดตามตอนต่อไป
หากตัวหนังสือมีช่องว่างของคำขึ้นอยู่กับโทรศัพท์ของแต่ละบุคคล ทั้งนี้ผู้เขียนเว้นช่องว่างของคำโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นหลัก จึงขออภัยมา ณ โอกาสนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in