คลาสแรกของวันจันทร์เริ่มตอนสิบเอ็ดโมง
ขณะนี้เป็นเวลา 11.55 น.
ยังไม่มีแม้แต่เงาของมันโผล่มาให้เห็น
จริงอยู่ว่าหยกไม่ใช่พวกตรงต่อเวลาเท่าไหร่ แถมยังชอบโดดเป็นนิสัยอีกต่างหาก ถ้ามันจะไม่โผล่หัวมาเรียนก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร ที่แปลกคือ ถ้ามันคิดจะเข้าสายหรือโดดเรียนเมื่อไหร่ ปกติแล้วมันจะส่งข้อความมาให้ผม(เช็คชื่อให้)ตลอด
แต่ครั้งนี้กลับไร้วี่แวว
ถึงมันจะเป็นคนที่คาดเดาได้ค่อนข้างยาก นิสัยเสีย ชอบทำอะไรตามอารมณ์ เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง แต่มีแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่มันปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอตลอดปีกว่าที่รู้จักกันมา
เดี๋ยวนะ ปีกว่าแล้วเหรอ…
ไม่คิดเลยว่าคนอย่างผมกับมันจะโคจรมาเจอกันได้ ที่สำคัญคือยังคบหากันมาได้นานขนาดนี้โดยที่ยังไม่มีใครยิงใครตายนี่ฟังดูราวกับปาฏิหาริย์มาก
แต่จะใช้คำว่าคบก็เกินความจริงไปนิด ผมไม่คิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราจะแน่นแฟ้นพอให้เรียกว่ามิตรภาพด้วยซ้ำไป ถ้าจะให้เรียกมันว่าเพื่อนคงรู้สึกกระอักกระอ่วน และผมเชื่อว่ามันเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน
ไม่เลย คิดดูแล้วความสัมพันธ์ของเราตื้นเขินกว่านั้นมาก
ก็แค่มนุษย์เดินดินผู้ถือตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลสองคน ที่บังเอิญมีวงโคจรคาบเกี่ยวกันเพียงน้อยนิดก็เท่านั้น
จำได้ว่าสมัยเข้ามหา’ลัยใหม่ๆ ทั้งผมและมันต่างทำตัวเป็นอีกาหลงฝูง ในขณะที่ปีหนึ่งคนอื่นๆ ใช้เวลาสนุกสนานเฮฮาไปกับกิจกรรมรับน้อง ทำความรู้จักกับผู้คนใหม่ๆ พยายามก่อร่างสร้างสานสายสัมพันธ์ใหม่ๆ ในสังคมใหม่ๆ ผมมักจะหลบเข้าหอสมุดกลางทุกครั้งที่สบโอกาสหรือมีเวลาว่าง และก็มักจะพบมันอยู่ที่นั่นเสมอ
ห้องวรรณกรรมภาษาต่างประเทศซึ่งซ่อนตัวอย่างเหนียมอายอยู่ในซอกหลืบของชั้นสี่ที่ร้างผู้คนเป็นเหมือนกับรังลับของเรา คงเพราะว่าเป็นเพียงชั้นเดียวที่แอร์กี่โกโรโกโสปฏิเสธหน้าที่เพียงอย่างเดียวของมันอย่างเกรี้ยวกราด ทั้งยังถูกฝืนบังคับใช้งานโดยไม่ได้รับการซ่อมแซม จึงแทบไม่มีนักศึกษามาใช้บริการ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีมาก เพราะแบบนั้นผมถึงสามารถขึ้นมาหมกตัวอ่านหนังสือได้อย่างสบายอารมณ์โดยไร้สิ่งกวนใจนับตั้งแต่วันแรกที่เข้ามหา’ลัยมา ทว่าความสงบสุขของผมคงอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะหลังจากที่ค้นพบและตัดสินใจยึดโซนร้างแห่งนั้นเป็นที่มั่นได้ไม่นาน วันดีคืนดีก็พบสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมนอนขดอยู่ใต้โต๊ะญี่ปุ่นที่ประจำของผมเสียได้
เนื่องจากเป็นหมวดหมู่เฉพาะ และด้วยความที่ไม่ค่อยมีใครมาใช้บริการ ทำให้นอกจากชั้นเหล็กที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือเก่าคร่ำคร่าแล้ว ก็มีเพียงโต๊ะญี่ปุ่นสองตัวพร้อมเบาะผ้ารองนั่งเก่าๆ ไม่กี่ใบให้นั่งอ่านหนังสือในมุมสลัวที่ชิดกับริมผนังด้านในสุดของห้องเท่านั้น
จำได้ว่า หลังจากที่พบมันในสภาพนั้นแล้ว ถึงจะไม่สบอารมณ์แต่ผมก็ยอมตัดใจสละที่นั่งประจำให้ แต่สุดท้ายกลับพบว่าหัวมุมอีกฝั่งซึ่งอยู่ใต้แอร์มีแอ่งเล็กๆ จากน้ำที่ไหลซึมลงมาจากผนัง ก็เลยจำต้องกลับไปนั่งอีกฝั่งของโต๊ะตัวเดิม
จำได้ว่าพอมันตื่นขึ้นมาก็โวยวายเสียยกใหญ่ แล้วก็ถกเถียงกันเรื่องใครมาก่อนมาหลังอย่างไร้สาระอยู่พักหนึ่ง
มันอ้างว่าค้นพบฐานลับแห่งนี้ตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียนโดยบังเอิญ ความโดดเดี่ยวและเงียบสงัดของห้องช่วยสร้างบรรยากาศสงบสุขชั้นเยี่ยม แถมความมืดของฝั่งใต้แอร์ที่หลอดไฟ ‘บังเอิญเสีย’ ยังทำหน้าที่เป็นม่านพรางตาอย่างดีอีกชั้นหนึ่ง ถ้าไม่ติดใจเรื่องความอบอ้าวและกลิ่นอับ มุมห้องฝั่งนั้นถือเป็นแหล่งกบดานในอุดมคติ โดยเฉพาะเมื่อต้องการหาที่งีบระหว่างรอเรียนในช่วงบ่าย หรือเมื่อต้องการหายตัวไปจากสังคมหอในอันแสนวุ่นวาย เป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ลงทีเดียว
ถ้าหากเชื่อคำพูดมันได้ ก็แปลว่าเราทั้งคู่ต่างใช้เวลาอยู่ในห้องนั้นร่วมกันมาตั้งแต่วันแรกอย่างเงียบเชียบ โดยที่ต่างคนต่างไม่เคยรับรู้ถึงการคงอยู่ของอีกฝ่ายเลย…
แน่นอนว่าเรื่องที่เราต่างก็เป็นนักศึกษาปีหนึ่งเอกวรรณกรรมตะวันตกเหมือนกัน ซ้ำยังถูกฝ่ายทะเบียนจับยัดลงคลาสเดียวกันทั้งหมดเจ็ดวิชาเนื่องจากรหัสนักศึกษาอยู่ใกล้กัน ก็เป็นเรื่องที่เราต่างค้นพบเอาภายหลังจากนั้นอีกเกือบอาทิตย์...
กลายเป็นว่า เราต้องทนเจอหน้ากันวันละไม่ต่ำกว่าห้าชั่วโมง เป็นเวลาอย่างน้อยห้าวันต่อสัปดาห์ ถ้าโชคไม่ดีหน่อยก็พลอยต้องมาจับคู่ทำงานกับมันอีกต่างหาก
‘ถ้าต้องทนคนแปลกหน้า กูยอมทำกับมึงก็ได้’ มันชอบพูดแบบนั้น ปฎิเสธไม่ได้ว่าแบบนั้นก็เข้าทางผมเหมือนกัน ถึงจะไม่ใช่พวกต่อต้านสังคม แต่ผมก็ไม่ชอบเรื่องยุ่งยาก ไม่ได้อยากผูกสัมพันธ์กับใครเป็นพิเศษ เพราะการพบพานเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ยืดยาวได้เพียงถึงคราวลาจาก
บางทีคงเพราะแบบนั้น ผมถึงไม่เคยคิดถามเรื่องราวของมันให้วุ่นวาย ก็แค่คนที่จับพลัดจับผลูมาใช้เวลาร่วมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ การอยู่ร่วมกันแบบไม่ก้าวก่ายย่อมดีที่สุด คงเพราะแบบนั้น บทสนทนาของเราส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่เรื่องเรียนหรือเรื่องงาน ก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไป หรือไม่ก็เป็นการถกประเด็นไร้แก่นสาร ไม่มีสาระพอให้จดจำนัก
ความสัมพันธ์ของเราดำเนินไปแบบนั้นตลอดหนึ่งปี
จนกระทั่งเมื่อวาน...
“--ด้วยกันไหม”
คิดดูแล้วก็ไม่แปลกที่ผมแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย
“ภู!?”
ผมสะดุ้งเฮือก เสียงสดใสและฝ่ามือที่แตะบนบ่าดึงผมให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
“ ‘โทษที เมื่อกี้ว่าไงนะ” ผมหันไปหาเจ้าของเสียงที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ
พิชเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผมไม่คิดว่าชีวิตนี้จะสามารถทำความเข้าใจได้
ไม่ว่าจะเป็นวงสังคมแบบไหน มีจำนวนผู้คนมากน้อยเท่าไหร่ ที่ของมันจะอยู่ตรงใจกลางเสมอ ไม่ว่าจะเป็นคนแปลกหน้า หรือคนรู้จักที่ไม่ได้สนิทสนมด้วยอย่างผม มันก็มักจะเข้ามาชวนพูดคุยอย่างไร้ความจำเป็นอยู่เสมอ หรือบางทีนั่นอาจเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมันก็ได้ -- ผมไม่รู้
“ถามว่า ไปกินข้าวด้วยกันไหม”
ผมมองใบหน้ายิ้มแป้นสลับกับกลุ่มเพื่อนคละเพศด้านหลังอย่างจนคำพูด ใช่ว่าไม่เคยได้รับคำชวนแบบนี้มาก่อน แต่ผมรู้สึกเหมือนสติสัมปชัญญะส่วนหนึ่งยังคงติดค้างอยู่ในห้วงความคิดเมื่อครู่
“เห็นไอ้หยกไม่อยู่เลยมาชวนน่ะ” คนข้างๆ มันพูดเสริม จำได้ว่าชื่ออะไรสักอย่างขึ้นต้นด้วย ก.ไก่
จริงด้วย...
ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ลืมตัวว่าข้อมือซ้ายก็สวมนาฬิกาอยู่
เที่ยงครึ่ง
กล่องข้อความว่างเปล่า
“ไปสิ”
ผมว่าพลางเก็บของลงกระเป๋า ก่อนจะลุกตามกลุ่มคนที่ไม่คุ้นเคยไปเงียบๆ
เรามีเวลาพักเพียงครึ่งชั่วโมงก่อนจะต้องเข้าเรียนอีกสองคลาสในช่วงบ่าย เริ่มตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงบ่ายสองครึ่ง และสองครึ่งถึงสี่โมง
แน่นอนว่ายังคงไร้วี่แววของไอ้หยกเช่นกัน
ตลอดช่วงบ่ายผมรู้สึกไม่ค่อยมีสมาธิกับการเรียนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งที่เป็นวิชาที่ชอบก็เลยพยายามฟังบรรยายอย่างตั้งใจ แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของอาจารย์จะถูกพัดหายไปกับสายลมอุ่นยามบ่ายเสียหมด
แม้ว่าสายตาจะจับจ้องอยู่กับตัวบทวรรณกรรมที่อ่านจนปรุตรงหน้า แต่รู้สึกได้ว่าที่ไหนสักแห่ง ลึกลงไปใต้ระดับสามัญสำนึก ตัวผมอีกคนกำลังนั่งมองม้วนฟิล์มที่ฉายภาพเหตุการณ์เมื่อวานสลับกับบทสนทนาที่มีชีวิตชีวาจนน่าอัดอึดเมื่อกลางวันซ้ำไปซ้ำมาอย่างใจจดใจจ่อ
รู้สึกตัวอีกทีก็ได้เวลาแยกย้าย
กลุ่มคนเมื่อบ่ายเดินมาทักทายผมอย่างเป็นกันเองก่อนจะทยอยออกประตูไป
“ไม่สบายรึเปล่า” พิชที่รั้งท้ายหันกลับมาถาม สีหน้าฉายความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบัง “เห็นช่วงกลางวันจามซะถี่เลย เป็นหวัดเหรอ”
ผมมองหน้ามันอย่างประหลาดใจ ไม่รู้สึกตัวเลยว่าทำอะไรแบบนั้นไปด้วย
ผมตอบไปว่าแค่นิดหน่อย มันยิ้ม บอกว่าให้รีบกลับไปพักผ่อน ก่อนจะวิ่งออกจากห้องไปเพราะเสียงเร่งเร้าจากด้านนอก
ทีแรกผมก็ตั้งใจว่าจะกลับห้องไปพัก แต่กลับพบตัวเองยืนอยู่หน้าประตูห้องวรรณกรรมจนได้
ตั้งแต่ขึ้นปีสองมาผมก็แทบไม่ได้แวะมาที่นี่อีกเลย ส่วนหนึ่งเพราะการเรียนที่เริ่มหนักขึ้น แต่ส่วนใหญ่คงเพราะผมไม่ได้อยู่หอในที่มักจะมีเสียงอึกทึกครึกโครมตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนปีก่อนแล้ว หมายความว่าแหล่งกบดานอันเงียบสงัดแห่งนี้ก็ไม่ใช่สถานที่จำเป็นอีกต่อไป
ผมเดินผ่านชั้นหนังสือชั้นแล้วชั้นเล่า เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหว ทว่าสิ่งที่ได้ยินมีเพียงเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากการเสียดสีของพื้นรองเท้ากับพื้นกระเบื้องยาง และเสียงครางต่ำอย่างคุกคามของเครื่องปรับอากาศบุโรทั่งที่ดังก้องไปทั่วบริเวณ ผมกดสวิตช์เปิดไฟเมื่อมาถึงมุมมืดด้านในสุด แสงสีเหลืองนวลกระพริบอย่างอิดออดสองสามทีก่อนจะยอมฉายส่องมุมห้องฝั่งที่ผมมักจะนั่งเป็นประจำเป็นวงแคบๆ
ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น
ผมปลดกระเป๋าสะพายลงจากบ่า นั่งอ่านหนังสือตรงที่ประจำอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ตัดสินใจแบบนั้น ไม่รู้ว่าตอนนั้นผมคิดอะไร หรือกำลังคาดหวังอะไรอยู่ ทั้งที่ควรจะกลับไปพักแท้ๆ
กระทั่งล่วงเลยมาจนถึงสี่ทุ่ม เสียงตามสายประกาศแจ้งเตือนเวลาปิดทำการ
ผมยัดหนังสือกวีนิพนธ์ของ แอลเล็น กินส์เบิร์ก กลับลงกระเป๋า
ความคืบหน้าในการอ่านเป็นศูนย์
ผมเดินกลับหอพักในสภาพที่ดูไม่จืด ดวงตาพร่ามัว หัวตื้อจนเรียบเรียงความคิดไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ใบหน้าและข้อพับตามตัวร้อนผ่าว ขณะเดียวกันก็รู้สึกหนาวเข้ากระดูก สัมผัสได้ว่าอากาศเริ่มเย็นและชื้นขึ้นอย่างไร้ความปราณีทั้งที่ฝนไม่ตกมาทั้งวัน
เมื่อลากสังขารขึ้นบันไดมาถึงชั้นสามได้สำเร็จ ก็พบว่ามีร่างของใครคนหนึ่งกำลังนั่งคอพับคออ่อนพิงประตูหน้าห้องผมอยู่ที่สุดทางเดิน
“หยก…”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in