(ตอนที่ 1)
วันจันทร์ 2546
ว่างเปล่า - - - - - -
ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่จะลืม...
รู้แต่เพียงว่าคนอ่อนแอคนนี้รักเธอ
- - - - - - - -
ชั้นจะเลิกแล้วล่ะ กับกรอบสังคมบ้าๆบอๆที่เป็นอยู่
ใส่หน้ากากเข้าหากันทุกวัน เอียนจะตาย ยอมรับว่าขี้เหงานะเว่ย
แต่ถึงเราจะอยู่คนเดียวก็ไม่เห็นจะตายนี่หว่า
เซ็งที่ต้องมีคนมาคอยบอกว่า นั่งอย่างนี้นะคะ กราบผู้ใหญ่รึยังลูก
สวัสดีค่ะ เป็นอย่างไรบ้างคะ...กรูเบื่อ
กรูคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระของผู้ใหญ่
ทำไมต้องทำงี้ ทำไมต้องกำหนดอะไรให้มันยุ่งยาก
จะถือคติว่า...
คนที่คุยน่ะ มันเป็นคนที่ทำให้เรากินข้าวอิ่มป่าววะ
ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องไปยุ่งวุ่นวายกะมันมาก
ไม่ต้องเก็บคำพูดมันมาคิดให้เสียความรู้สึก
วันนี้รู้สึกขำมาก ดูสารคดีปลาโลมาและผู้ชายที่เป็นพิธีกร
ก็บอกว่าดูสิ มันฉลาดแสนรู้มากเลย มันเข้าใจสิ่งที่เรา
พูดสามารถเลียนแบบท่าที่เราทำได้อ่านะ....แล้วมนุษย์ล่ะ
ไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับปลาโลมาเลย
อย่างนี้เรียกว่ากรูโง่กว่าโลมามั้ยเนี่ย ที่ไม่รู้ว่ามันพูดอะไร...
มนุษย์หนอมนุษย์ชอบกำหนดกรอบของโลกอยู่เพียงแค่สิ่งที่ตนรู้...
เม็ดทราย
.........
" เอาอีกแล้ว แม่คน ช่าง วีน ทำไม เค้าถึงได้มีความคิดประหลาดไปได้นับวันนะ ฮ่า ฮ่า "
คนพูด ส่ายหน้ากับกับข้อความในจอคอมพิวเตอร์ โดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีใครอีกคนกำลังนั่งมองตนอยู่
“เอ๊ย งานแกเสร็จแล้วหรือไงวะ ถึงได้มีเวลามานั่งยิ้มเหมือนคนบ้านหน้าคอมพิวเตอร์อย่างงี้"
ร่างคนถูกทักสะดุ้งสุดตัว ด้วยไม่ได้ระวังอากัปกริยาของตนเมื่อครู่ จนต้องรีบตั้งสติ พร้อมทั้งหันกลับมายิ้มกับต้นเสียงผู้ทัก แล้วกล่าวอย่างอายๆว่า
“ แหม พี่แฟง มานานแล้วเหรอ งานด่วนนั่น ...เดี๋ยวจูนเอาไปวางบนโต๊ะให้ พี่แฟงรีบมากหรอไง ทุกที เห็นถึงจูนจะทำเสร็จ พี่ก็ไม่เคยชายตามาแล นี่นา"
เด็กสาว ผมสั้น ผู้แทนตัวเองว่า จูนหัวเราะแก้เก้ออีกหน จนผู้ถูกเรียกว่าพี่แฟง ยื่นหน้ามาใกล้จอสี่เหลี่ยมเบื้องหน้าจูน พร้อมทั้งส่ายสายตาอ่านข้อความที่จูนเปิดค้างไว้ด้วยความสงสัย
“ นี่แกอ่าน บันทึกใครอีกละ ชีวิตตัวเองยังยุ่งไม่พอเหรอแก ถึงได้เอาเวลาทำการทำงานมานั่งอ่านชีวิตประจำวันของชาวบ้านเค้าเนี่ย ห๊า! ไหน บันทึกของใคร นี่แกอ่านของ ยัยคนนี้อีกแล้วเหรอวะ วันไหน แกไม่รู้ว่าเค้าจะเป็นจะตายกับชีวิตประจำวันเค้า แกทำงานให้ฉันไม่ได้เลยใช่มั๊ย"
จูนหัวเราะร่า และรู้ว่าพี่แฟงไม่ได้ฉุนเฉียวกับการกระทำของจูนเป็นจริงเป็นจังเหมือนท่าที ด้วยความที่จูนรู้จักกับพี่แฟงมานานนับปี พี่แฟงเป็นคน ปากร้ายใจดี และมีบุญคุณกับจูนเรียกว่าท่วมหัวก็ว่าได้ ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องทางบ้านและเรื่องงาน แม้จะไม่ใช่พี่น้องกันโดยกำเนิด แต่จูนก็เคารพและรักยิ่งกว่าพี่แท้ๆ เด็กสาวรู้ดีว่า ลำพัง ถ้าตนหางานทำเองนั้น รายได้อาจจะไม่ดีเท่าที่กำลังทำงานกับพี่แฟงอย่างแน่นอน งานร้านคอมพิวเตอร์ไม่ได้หนักหนาเกินแรงของจูนจะทำ จูนมีหน้าที่ดูแลร้านอินเตอร์เนท พิมพ์งาน และ รับงานแปลไว้ให้พี่แฟงเวลาลูกค้ามาติดต่อ ไม่เว้นแม้แต่การกินการนอนของพี่แฟง จูนรับเป็นหน้าที่ทั้งหมด ดังนั้นความผูกพัน ของคนทั้ง 2 จึงเรียกว่าเหนียวแน่น
พี่แฟงของจูน เป็นคนร่างท้วม ขาว และติดนิสัยนักเลงอย่างที่สาวห้าวทั่วไปพึ่งจะมี กินเหล้าดุเป็นน้ำ ส่วนจูนนั้นเป็นคน สูงหนา แววตาเจ้าขู้ ผิวสองสี และมีนิสัยขี้เล่น คนแถวนั้นมักเรียกร้านของจูนและพี่แฟงว่า
“ ร้านหม้อไม่เลิก “
ถึงแม้พี่แฟงเจ้าของร้านจะออกมาปฎิเสธอย่างไร ชื่อนี้ก็ยังเป็นชื่อติดปาก และรู้จักกันดี ยิ่งบรรดานักศึกษาย่านนั้น ถ้าถามถึงชื่อร้านจริงๆ ทุกคนมักบอกไม่รู้จัก แต่ถ้าเอ่ยชื่อนี้ไป เป็นต้องร้อง "อ๋อ" คำโต
ทั้งจูนและพี่แฟง ถึงจะมีนิสัยที่เรียกโดยร่วมว่าเจ้าชู้ แต่ทั้ง 2 คนก็ยังครองความโสด เก็บหัวใจไว้ไม่ได้พลัดพรากจากตัวเองไปไหน ถึงแม้พี่แฟง จะร่ำๆ อยากจะบอกลามันใจจะขาดก็ตาม สาวกี่คนผ่านมาเดินเล่นในหัวใจพี่แฟง ยามนั้นจูนก็มักจะได้ยินคำว่า รักแท้ของพี่แฟงตลอดทั้งเดือน แล้วไม่นาน เรียกว่าหมายังตดไม่ทันจะหายเหม็น จูนก็ต้องกลับมานั่งดื่มเหล้าเคล้าน้ำตา พร้อมฟังเรื่องรักรันทนอีกรอบของพี่แฟงแทน
“ เออ พี่แฟง พี่จ๋าเค้าฝากมาทวงงานที่เอามาแปลไว้น่ะ เค้าว่า ถ้าพิมพ์เสร็จให้โทรบอกเค้าด้วย เค้าจะได้มาเอาสักที อ่าา ..นี่พี่ เจ๊เค้าว่า ถ้าทำเป็นปลาร้าไปแล้วก็ให้บอก"
จูนเอามือป้องปาก พูดราวกับไม่ต้องการให้ พี่จ๋าซึ่งไม่ได้ปรากฎร่างอยู่ตรงนั้นได้ยินแม้สักเดซิเบล
“ งานหนักเงินน้อย ยังจะมาเร่งเอาอะไรอีกวะเนี่ยยัยคนนี้ พรุ่งนี้แกเอามาพิมพ์ไว้ให้มันเลยละกัน ตรวจทานดีๆ แล้วก็ไม่ต้องมาทำเปลี่ยนเรื่องที่ฉันพูด ฉันถามเรื่อง แกอ่านไดอารี่แม่คนนี้เนี่ย มันสนุกนักเหรอไง เห็นแกเข้ามาอ่านได้ทุกวี่ทุกวัน “
คนถูกถามทำหน้าเม้นปากชิดกันแน่น ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะอมยิ้มแล้วเงยหน้าตอบคนถาม
“ไม่รู้สิพี่ ความรู้สึกเหมือนมุมมองเค้าแปลกดีน่ะ ไม่ใช่ไดอารี่ที่เล่าแต่เรื่องไร้สาระ เรื่องบางเรื่องที่จูนมองว่าหนัก เค้าเอามาเล่าให้ จูนฮาได้น่ะ"
พี่แฟงนิ่งฟัง ก่อนจะเลิกคิ้วแล้วพยักหน้าอย่างช้าๆ
“อึมมม งั้นเหรอ? ว่าแต่เค้าอายุสักเท่าไหร่ละ แม่คนเขียนน่ะ แกคงจินตนาการไปแล้วละสิ ว่า สวย หมวย น่ารัก ชะ! ไอ้หมอนี่ หัดมีความรักผ่านโลกไซเบอร์ ชักเริ่มเพ้อพกนะแก ถูกหลอกให้หลงรักแล้วอกหักหัวโต จะหาว่าพี่ไม่เตือน"
“เปล่านะพี่ จูนพูดจริงๆ ท่าทางเค้า คงเรียนปี3-4 แล้วละ ความคิดเค้า ยังกะคนทำงานแล้วด้วยซ้ำ “
พี่แฟงทำหน้าทึ่งในคำพูดของจูน เพราะ ที่จริง ตนเองเพียงแค่กล่าวแซว ไม่ได้นึกว่าคนถูกถามจะตอบเป็นคุ้งเป็นแควเหมือนเอาใจใส่รายละเอียดของเจ้าของไดอารี่จริงๆ
“นี่แกอ่าน จนรู้ไส้รู้พุงเค้าขนาดนั้นเชียวเหรอ แล้วแกรู้ได้ไงว่าเค้าน่าจะเรียน ปี3-4 “
จบประโยคพี่แฟงก็เหลือบตามองคนข้างๆ
“ก๊ออ เค้าเขียนว่า ไปสอบมา แต่ทำข้อสอบไม่ค่อยได้ รู้สึกเป็นคนที่ไม่เอาใจใส่สิ่งที่จะเกิดกับตัวเองในอนาคตเลย.... นี่ๆพี่ เค้ายังมัปัญหากับหมาที่บ้านบ่อยๆด้วยนะ เฮ้ออ แม่เค้ารักหมาเค้ามากน่ะพี่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า คนอะไรก็ไม่รู้ อิจฉาแม้แต่หมาในบ้าน"
เสียงคนเล่า เล่าด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข กว่าจะรู้สึกตัว ถึงสายตาของพี่แฟง ก็ผ่านเวลาร่วมนาที พี่แฟงทำตากระพริบถี่ เหมือนไม่อยากจะเชื่อหู ว่าน้องตนกล่าวถึงผู้หญิงคนนึง ซึ่งแทบจะไร้ตัวตนให้สัมผัสได้จริง
“นี่เจ้าจูน ฉันจะบอกแกให้นะ แกก็ทำงานในร้านอินเตอร์เนทมานาน แกน่าจะรู้นิ ว่าคนในโลกเสมือนหลังจอสี่เหลี่ยมที่แก้เพ้อฝันนะ ตัวตนจริงๆกับในสิ่งที่แกอ่าน บางทีมันก็คนละขั้วกันเลยนะ แล้วนี่แก เล่นใส่ใจรายละเอียดเค้าซะยังกะแกแอบชอบเค้าอย่างงั้นน่ะ ..... แล้วไอ้ที่แกบอก เค้าน่าจะปี3-4 เกิดเค้าเรียนโท เรียนเอกละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไอ้หมาเห่าเครื่องบิน นี่แล้วถ้าเป็นงั้นจริงๆนะแก ป่านนี้ เค้าก็คงมีแฟนเป็นตัวเป็นตนไปตั้งนานแล้ว คนเขียนเก่งๆแบบเนี่ย แฟนเยอะนะโว๊ย"
จูนนิ่งฟังเงียบ มือก็สาระวนกับการจัดการงานตรงหน้า แต่สิ่งที่พี่แฟงพูดไม่ได้ทำให้จุนรู้สึกแย่ หรือ รู้สึกโอนอ่อนไปตามความคิดเห็นผู้เป็นพี่แต่อย่างใด จูนกลับยิ้มกว้างก่อนจะตอบพี่แฟงกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แสนจะอารมณ์ดี
“โธ่! พี่แฟง จูนแค่รู้สึกหลงรักเค้าในไดอารี่ หลงรักชีวิตประจำวันเค้า แล้วเจ้าตัวเค้าก็ไม่ได้รู้ ว่าจูนมาเอาใจใส่รายละเอียดอะไรในชีวิตเค้า แล้วอีกอย่าง เค้าก็ อึมมม เค้าก็ยังลืมแฟนเก่าเค้าไม่ได้ด้วย ไอ้ที่พี่แฟงกลัวมันเป็นไปไม่ได้หรอก"
“ อารายนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า พวกรำพึงรำพัน ในโลกเพ้อฝันละสิ เฮ้ออ ไอ้จูน แกน่ะทำเป็นพวกไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ไปได้"
“ไม่นะพี่ จูนอ่าน แล้ว จูนรู้สึกได้ ว่าเค้าเสียใจจริงๆ เค้าไม่ได้แกล้วคร่ำครวญให้คนทั่วไปสงสารอย่างที่เราเคยอ่านเจอหรอก แล้วอีกอย่างนี่ก็เป็นครั้งแรกของจูน ที่มารู้สึกดีๆกับตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว ... แล้วเค้าก็เป็นคนทำให้จูนอยากจะเขียนบันทึกอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้เขียนนานแล้วด้วยน่ะพี่"
“ อ้อ เป็น ไอ้พวกมีความหลังเหมือนกันนี่เอง เฮ้อออ จุนเอ๊ย! เรื่องบางเรื่อง ฉันนึกว่าแกจะลืมๆมันไปบ้างแล้วนะ แล้วชั้นก็จะไม่ด่าแกอีกแล้ว เพราะมันเปลืองน้ำลายวะ ฉันเอาน้ำลายไปจีบสาว มันอาจจะได้ผลกว่า ..... แต่ฉันก็ดีใจนะ ที่แกกลับมาเขียนไดอารี่อีก ไหน ปิดเงียบเลยนะแก เอามาอ่านดิ๊วะ ว่าเขียนอะไรลงไปบ้าง นี่แกเขียนได้ กี่วันแล้ว ปิดอุบเชียว “
พี่แฟงทำท่ากระตือรือร้นกับความลับที่น้องปิดเงียบ แฟงรู้ว่า ครั้งสุดท้ายที่จูนเขียนไดอารี่ จูนเขียนมันถึงผู้หญิงที่เคยรักมาก หลังจากอกหัก จูนปิดตายกับการเขียนบันทึกถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ปิดตายไปความมีตัวตนของผู้หญิงที่จูนเคยรักมาก
“ 2-3 เดือนแล้วพี่ อย่าเพิ่งดูเลย มันไม่มีอะไรหรอก ไว้มีมากกว่านี้ จูนจะเปิดให้พี่อ่าน“
“โห...นี่แกปิดฉันมานานขนาดนี้เลยหรอ ไอ้ฉันก็นึกว่า แกอ่านของชาวบ้านเขาอย่างเดียว เดี๋ยวนี้ แกปีกกล้าขาแข็ง ขนาดเอาของตัวเองออกประจานมั้งแล้วหรือไง ไหนๆ ลิ้งค์ไหน มาให้ฉันอ่านซะดีๆ ไม่มีคราวหน้า คราวหลังแล้ว โว๊ย นินทาฉันหรือเปล่าวะ“
จูนแอบหัวเราะท่าที่ของพี่แฟงเบาๆ จูนรู้ว่า พี่แฟงกังวลถึงเรื่องความรักเก่าๆของจูน มันจบลงนานแล้ว สำหรับสายตาใครๆ วันนี้จูนเหมือนเป็นคนเดิม อาการโศกเศร้าจางหายไป มีแต่พี่แฟงเท่านั้น ที่รู้ว่าจูนเก็บรอยด่างแห่งความเจ็บเหล่านั้นไว้ครบทุกรอย จูนเลิกเขียนบันทึกประจำวัน บันทึกที่มีแต่เรื่องของจูนกับผู้หญิงคนนั้น จูนไม่นึกเห็นประโยชน์ในการจะเขียนอะไร ถึงความรักงที่ผ่านพ้นอีก ด้วยรู้ว่า ถึงจะเขียนไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงเป็นได้แค่ความทรงจำ ความทรงจำที่ทำร้าย และให้กำลังใจจูน จนวันที่ได้อ่าน diary online เล่มนี้ จูนเปิดมันขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ แล้วก็อ่านมัน จนรู้สึกผูกพันกับเจ้าของไดอารี่ ราวกับจูนรู้จักมานานหลายปี ทั้งๆที่เพิ่งจะตามอ่านไดอารี่เล่มนี้เพียง 5-6เดือน
“แกจะทำอะไร ก็ตามใจแกเหอะ ตราบเท่าที่งานฉันยังเป็นปกติ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้น แกไม่ต้องมาเมา แล้วฟูมฟายกับฉันเป็นหมาบ้าอย่างเมื่อครั้งก่อนอีกก็แล้วกัน ฉันไม่ใช่นางงามโลก จะได้มีแรงปลอบแก forever “
ประโยคท้ายของพี่แฟงยังไม่วายเหน็บจูนเข้าอีกจนได้
“เข้าใจแล้วน่าพี่ แหม!.... เอาน่า จูนเมาแล้วฟูมฟาย พี่เมาแล้วน้ำตาเช็ดหัวเข่า มันก็เข้ากันดีออกพี่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
จูนแซวพี่แฟงกลับ ด้วยการแฝงเรื่องสาวๆ ที่ถ้าเมื่อไหร่พี่น้องดวลสุรา เป็นอันว่าต้องขุดเรื่องพวกนี้มาเล่าให้ขวดเมรัยฟัง พี่แฟงยกมะเหงกส่งให้จูน ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะเพื่อคิดบัญชีประจำเดือน จุนหันกลับมาสนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองบ้าง และเลือกการเปิด page หน้าคอมพิวเตอร์ เป็นเวบ diary-online เวบหนึ่ง จูนนั่งนึกเรียบเรียงเรื่องที่จะเขียนในวันนี้ ไดอารี่ของจูน เริ่มมีเรื่องของผู้หญิงอีกคนมาบันทึก แต่เป็นการบันทึก ที่เต็มไปด้วยการคาดเดาและ จินตนาการของจูนฝ่ายเดียว
วันอังคาร 2546
วันนี้พี่แฟงเดินมาทักตรงหน้าหน้าคอมแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง เหมือนเคย ทักแล้วก็ไม่วายกัด พอเห็นว่าเรากำลังเปิดเวบอะไรอ่านอยู่เท่านั้น อารมณ์ประมาณถามว่า เราไปหลงรักใคร ฮ่า ฮ่า ฮ่า แถมย้ำว่า อย่าได้ทำตัวเป็นหมาเห่าเครื่องบินเชียว ประเดี๋ยวจะคอหักเสียเปล่าๆ ไม่ได้เห่าเครื่องบิน แต่เข้าขั้นเห่าดาวเทียมเลยแหละพี่
“ บ๊อกๆๆๆ โบ๊ววววววววว”
:P
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ความรักใน internet งั้นเหรอ อึมม ทำไมพี่แฟงถึงไม่ค่อยเชื่อถือความรักแบบนี้น้า (ที่จริงก็ไม่น่าเชื่อถือจริงๆนั่นแหละ ) คุณเคยเป็นกันบ้างมั๊ย รู้สึกสัมผัสได้ ว่าใครที่อยู่หลังจอสี่เหลี่ยมนั้น มีตัวตนจริง เค้าช่างน่าค้นหา ทุกเรื่องราว ทุกคำพูด ทำไม เหมือนเราคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านั้นมานานทั้งชีวิต
“ ว๊าว พรหมลิขิตงั้นเหรอ? “
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่หรอก บางทีคนบางคน ก็มีความสุขกับการได้รับรู้ความสุข ของคนอีกคนนึงจริงๆ โดยไม่ได้สนใจว่า ตัวตนภายหลังจอคอมพิวเตอร์นั้น จะเป็นอย่างที่เราได้อ่านมั๊ย? ทำไมต้องค้นหาความจริงขนาดนั้นด้วย ถ้าสิ่งที่เห็นมันสวยงามมากพอในตัวของมันเองอยู่แล้ว ฉันมีความสุขกับการได้รับรู้ผ่านหน้ากระดาษออนไลน์นี่เท่านั้นนี่นา
พี่แฟงพูดถึง ยัยนั่น ไม่สิ เหมือนจะพูดถึงยัยนั่น ไม่พูดตรงๆ แต่ก็เดาได้ เพราะวันนี้เพิ่งบอกพี่แฟงว่า กลับมาเขียนไดอารี่อีกครั้ง ฮ่า ฮ่า อ่า ปิดไว้ได้นานดีเหมือนกันนะเรา เมื่อก่อนเขียนไป ทุกววรรคทุกตอนก็แทบจะเป็นชื่อของยัยนั่น ตอนนี้ อึม...กลับมาย้อนอ่านทวนๆดูอีกที ก็ยังมีชื่อของยัยนั่นอยู่น่ะนะ แต่ก็เบาบางไปบ้าง ตามความจืดจางของกาลเวลา
การลืมคนเก่านี่ เป็นศาสตร์และศิลป์โดยแท้ เมื่อลืมไม่ได้ก็อย่าไปเร่งฝืน แต่ถ้ามีหนทางจะทำให้ลืม ก็อย่าได้นิ่งนอนใจ นึกถึงได้ แต่อย่าฟูมฟาย (พี่แฟงว่างั้น )
งานวันนี้ กองท่วมหัว ไปก่อนดีกว่า
เดือนมิถุนาที่ตามหาหาดทราย
..........
จูนจบข้อความ ใน diary ไว้อย่างห้วนๆ จูนชอบคำลงท้ายในบันทึก เพราะนี่เป็นชื่อที่จูนนึกขึ้นมาได้ในระหว่างการอ่านบันทึกของผู้หญิงอีกคน เดือนมิถุนาทีมีแต่ฝน ใครจะไปบ้าหาตามหาหาดทราย ฮ่า ฮ่า แล้วอีกอย่าง หน้าฝนอย่างนั้น หาดทรายของใครๆ ก็คงไม่น่าพิสมัยสักเท่าไหร่ แต่จูนนี่ไง จูนที่เป็นเดือนมิถุนา และกำลังมองหาหาดทรายมีมีเม็ดทรายสวยๆอยู่เต็มหาด วู้ แค่คิดจูนก็หน้าแดงขึ้นมาดื้อๆ
“ น้ำเน่าว่ะ “
พี่แฟงเคยเยาะ ตอนจูนบอกว่า ถ้าจูนมีโอกาสกลับมาเขียนบันทึกอีก จูนจะใช้ชื่อนี้ การรอคอยใคร หรืออะไรสักคน มันโรแมนติกเป็นบ้าในความรู้สึก แต่พี่แฟงกลับเหน็บว่า มันดูเกาหลี๊ เกาหลี ซึ่งไมได้เหมาะกับน้ำหน้าของจูนที่อยู่ติดกับตะเข็บชายแดนแถวภาคอิสาน จูนหัวเราะ ออกมา ดื้อๆ เมื่อนึกตอนตอนนั้น พี่แฟงปากร้ายจนวินาทีสุดท้าย แต่ก็ไม่พ้นแกนี่แหละ มานั่งปลอบจูน
การรอคอยสวยงาม จูนเคยบอกตัวเองว่า จูนไม่เคยคอยใครได้นาน แต่การรอคอยที่ประสบความสำเร็จ ก็นำผลที่แสนหวานกลัยมาสู่คนคอยอย่างคุ้มค่า จูนถึงอยากรอ และอยากรอจนได้รับผลนั้นบ้าง รักใครข้างเดียวเหมือนข้าวเหนียวนึง การแอบรัก กับการรรอคอยเหมือนกันไหมนะ แอบรัก คือรอให้เขารับรัก ไม่สิ ไม่เห็นจะเหมือนกันเลย ถึงทั้งสองอย่าง จะต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เหมือนๆกันก็เถอะ จูนว่า การรอคอยเจ็บปวดมากกว่าการแอบรักหลายเท่าตัว จูนปล่อยให้หัวตัวเอง ล่องลอยกับความคิดฟุ้งซ่านพวกนั้น เพียงครู่ใหญ่เสียงพี่แฟงจากโต๊ะอีกมุมห้อง ก็ตะโกนถามจูน
“ เออ จูน นี่ฉันลืมถามแก ว่าแต่ แกรู้เรื่อ ยัยคนเขียนไดอารี่มากขนาดนั้น แกรู้หรือเปล่า ว่าเขาชื่อจริงๆว่าอะไร“
จูนทำหน้านิ่งคิด
“ไม่รู้สิพี่ ก็ไม่เคยคุยกัน สักทีน่ะ รู้แต่ชื่อ ไดอารี่เค้าเท่านั้น"
“ก็แล้วชื่ออะไรเล่า คนส่วนใหญ่ก็ตั้งชื่อไดอารี่ จาก ชื่อตัวเอง ทั้งนั้นแหละ"
“เม็ดทรายพี่ ไดอารี่เค้า เขียนว่า เม็ดทราย“
พูดจบ จูนก็ยิ้มเสียจนแก้มปริ ใช่ จูนจำชื่อนี้ได้ขึ้นใจ เม็ดทราย....บันทึกของเม็ดทราย
ปล นึกว่าจะเขียนเรื่องไปทำบุญ ว่าจะถามเผื่อสมทบทุนแต่กลัวอยากจะแค่ครอบครัวหรือเปล่าเลยไม่ได้ถามไป มีงานบุญอีกบอกน้องหน่อยเน้อ
ได้ๆ กะว่าจะเขียนคืนนี้พร้อมรูปละ