ผู้เขียน: อิมกวังโฮ, แบจูยอง, อีมินดง, จองซูยอน
สำนักพิมพ์: ชางบี
วางขาย: 15 มีนาคม 2019
--------------------------------------------------------------
หนังสือบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเรียกร้องประชาธิปไตยที่เมืองควางจู ในปี 1980
มีจุดประสงค์คือแต่งขึ้นเพื่อถ่ายทอดประวัติศาสตร์ผ่านเรื่องเล่าให้แก่เยาวชน
ด้วยความที่กลุ่มเป้าหมายคือเยาวชน ภาษาก็เลยอ่านง่ายมาก
คิดว่าคนที่เรียนเอกเกาหลี หรือเรียนระดับกลาง ๆ ก็น่าจะอ่านได้
ตอนนึงก็ไม่ยาว เหมาะสำหรับคนที่สมาธิสั้นเช่นเรา (อีกแล้ว)
ตอนนี้อ่านไปได้ครึ่งนึงแล้ว รู้สึกว่ามันจะต้องได้เข้าไปอยู่ในลิสต์หนังสือที่ชอบแน่นอน
เรื่องเริ่มเล่าตั้งแต่วันที่ประธานาธิบดี ปาร์ก จองฮี (หรือปาร์กจุงฮีที่คนไทยอาจจะรู้จักกัน)
ถูกสังหารตอนกินข้าว โดยคนสนิทที่เรียกได้ว่าเป็นมือขวา
ซึ่งปาร์กจองฮีก็เป็นทหารที่ยึดอำนาจมา แล้วแก้กฎหมายให้ตัวเองสืบทอดอำนาจ
รวมถึงจัดการเลือกตั้งแบบปลอม ๆ โกงเลือกตั้งจนได้เป็น ปธน. จุก ๆ 5 สมัยไปเลยจ้า
อ่า ชัดเลยดิ... แต่มันคือเกาหลีใต้เมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้วไง
รวม ๆ แล้วคนเกาหลีอยู่ใต้รัฐบาลของปาร์กประมาณ 16 ปี
(หน้าแห้ง... ของไทยแค่ 7 ปี ก็ว่าอ่วมแล้วนะ)
มันก็มีคนที่บอกว่ารัฐบาลของปาร์กทำให้ประเทศเจริญเร็วมาก
แต่อีกมุมหนึ่ง ชนชั้นแรงงานคือซัฟเฟอร์มาก ๆ
คุณ ชอนแทอิล ซึ่งทำงานอยู่ในโรงงานสมัยนั้น
ถึงกับลุกขึ้นมาประท้วง แล้วจุดไฟเผาตัวเอง
สิ่งที่เขาขอก็คือ แค่อยากมีวันหยุด 1 วันต่อสัปดาห์เท่านั้นเอง
เอนี่เวย์
หลังจากปาร์กตายแล้วมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
ปรากฏว่าผ่านไปไม่นาน ชอนดูฮวาน ก็ลุกขึ้นมารัฐประหาร ยึดอำนาจอีก
ในหนังสือพูดถึงเรื่องนี้ด้วยประโยคสั้น ๆ ว่า
"ในเดือนพฤษภาคม ปี 1980...
ฤดูใบไม้ผลิแห่งประชาธิปไตยอันแสนสั้น
ก็ได้สิ้นสุดลงเช่นนั้นเอง"
หนังสือเปรียบว่าช่วงที่อยู่ใต้รัฐบาลเผด็จการเป็นเหมือนฤดูหนาวในชีวิตของคนเกาหลี
ตอนที่ปาร์กตาย คนเกาหลีเลยดีใจเหมือนได้พบกับฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง
แต่แล้วหน้าหนาวก็กลับมาเร็วกว่าที่คิด
แล้วหนังสือก็เล่าต่อถึงขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษาเมืองควางจู
ซึ่งก็มีการล้อมปราบจริง ใช้กระสุนจริงในวันที่ 18 พฤษภาคม
ตอนแรกก็เป็นการล้อมปราบนักศึกษาเท่านั้น
แต่ผ่านไปวันสองวัน ปรากฏว่าทหารไล่จับทุกคนที่อยู่บนถนน โดยไม่สนว่าเป็นผู้ประท้วงรึเปล่า
จุดนี้แหละที่ทำให้ชาวควางจูลุกฮือขึ้นมาสู้ เพราะมีผู้บริสุทธิ์ถูกทำร้าย ถูกสังหาร
ช่วงนั้นเมืองควางจูถูกทหารเข้ามาคุม (ถ้าดูเรื่อง Taxi driver จะเห็นว่าไม่ยอมให้เดินทางเข้าออกเลย)
แถมสื่อก็ไม่ยอมรายงานตามความจริง คนที่อยู่นอกควางจูไม่รู้เรื่องเลย
พอได้ดูข่าวก็คิดว่าแค่มีเหตุการณ์ชุลมุน แต่ไม่มีใครถูกฆ่า หรือบาดเจ็บสาหัส
ทั้งที่โรงพยาบาลในควางจูไม่พอจะรองรับผู้บาดเจ็บแล้ว (ทหารยิงเข้ามาในโรงพยาบาลด้วย)
เราอ่านถึงตอนที่มีคนถูกทำร้าย แล้วปรากฏเลือดไม่พอ
คนก็จะออกไปตะโกนตามถนนในตัวเมืองว่า
"ประชาชนชาวควางจูทุกท่าน ตอนนี้พี่น้องของพวกเรากำลังจะตาย
ทุกคนช่วยออกมาบริจาคเลือดกันหน่อยเถอะ!"
คือการออกมาบริจาคเลือดมันอาจทำให้ถูกทหารดักยิงได้เลย
แต่คนควางจูจำนวนมากก็พากันออกมา แม้แต่คนป่วย
พอพยาบาลบอกว่าบริจาคไม่ได้ก็โวยวายด้วยนะ
(ซึ่งก็มีคนโดนยิงจริง ๆ เป็นเด็ก ม.6 ที่เดินกลับบ้าน หลังจากบริจาคเลือดเสร็จ -- ลองคิดภาพตอนบริจาคเลือดเสร็จแล้ว ปรากฏว่าโดนหามกลับเข้ามาในโรงพยาบาลอีกครั้งเพราะโดนยิง)
ในขณะเดียวกัน พวกแม่ ๆ ป้า ๆ ก็เอาหม้อข้าวมาไว้หน้าบ้าน แล้วหุงข้าว
ทำข้าวปั้นให้นักศึกษา ผู้ประท้วงกินโดยไม่เสียดายเลย
อ่านถึงตรงนี้แล้วก็จะร้องไห้ ไม่รู้ว่าเพราะเศร้า หรือซึ้งกันแน่
อ่านถึงแค่ตรงนี้แหละ เป็นหนังสือที่เขียนเล่าเหตุการณ์ได้ดีและชัดเจนมาก
ส่วนนึงเพราะประเทศเรายังหลุดพ้นจากรัฐบาลเผด็จการไม่ได้ด้วยมั้งเลยอินมาก
ประโยคเบสิก ๆ ก็แทงใจมากอะ เอาง่าย ๆ ก็ประโยคที่พูดถึงประชาธิปไตยว่า
"ประชาธิปไตย หมายถึง การที่ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ
ซึ่งมีพื้นฐานมาจากความคิดที่ว่ามนุษย์ทุกคนมีเกียรติเหมือนกัน
ไม่ว่าใครก็ไม่ควรถูกก้าวก่ายโดยมิชอบหรือจำกัดสิทธิ
ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีเสรีภาพและเท่าเทียมกัน
ไม่ว่าจะเป็นประชาชนของประเทศที่ยากจนหรือร่ำรวยก็ไม่แตกต่างกัน
ประชาชนที่อยู่ในประเทศยากจนมิได้มีเกียรติน้อยกว่า
หรือมีสิทธิน้อยกว่าแต่อย่างใด"
มันก็เรื่องเบสิกมากเลยนะ หาอ่านที่ไหนก็ได้ แต่ในโมเมนต์นี้คืออินมาก ㅠ_ㅠ
หวังว่าเราจะได้พบกับฤดูใบไม้ผลิกันเร็ว ๆ นี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in