2/2
วันต่อมาที่ยังคงวนเวียนอยู่ในแมนฮัตตันแสนอึกทึก โดยองจำได้ว่าแจฮยอนไม่ชอบการรำลึกถึงการสูญเสีย แต่หากไม่ได้มาที่นี่ก็เหมือนกับมาไม่ถึงนิวยอร์ก ครูสอนวิชาประวัติศาสตร์เคยบอกเขาว่าอย่างนั้นตอนที่เพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ ๆ กราวด์ซีโร่แห่งนี้ที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นดั่งสมรภูมิรบบีบคั้นอารมณ์ อนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์ 9/11 จึงถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่เหยื่อเหตุการณ์ก่อการร้ายนั้นในพื้นที่ของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
“ผมเคยบอกว่าไม่ชอบเรื่องน่าเศร้า แล้วพี่ก็พาผมมาที่นี่เนี่ยนะ” แจฮยอนเอ่ยเสียงห้วนเล็กน้อยเมื่อถูกพามายังสระน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ลึกลงไปดูน่าขนลุก ชายหนุ่มเดินไปอย่างเชื่องช้าพลางทอดสายตามองรายชื่อของผู้เคราะห์ร้ายสลักอยู่ตามขอบสระ “เมื่อวานแค่จอห์น เลนนอนคนเดียว วันนี้ตั้งสามพันคนเชียว”
“ก็ใช่ นายเคยบอก” แม้จะมาในสถานที่แห่งการพินิจและใคร่ครวญ โดยองดูอารมณ์ดีกว่าปกติ เขาเดินถอยหลังพูดคุยกับแจฮยอนไปเรื่อย “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันอุตส่าห์จองตั๋วล่วงหน้ามาเลยนะคุณนักท่องเที่ยวจอมเอาแต่ใจ”
“ดูอารมณ์ดีผิดไปจากทุกวันเลยนะวันนี้” แจฮยอนเอ่ยพลางเลิกคิ้วมองดูคนตรงหน้าเชิงสงสัยใคร่รู้ “มีเรื่องอะไรดี ๆ เกิดขึ้นหรือเปล่า ผมถามได้ไหม”
“ไม่มีอะไรมาก วันนี้ท้องฟ้าสวยดี” โดยองตอบ จากนั้นก็หยุดเดินแล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมเอ่ยชักชวนให้อีกฝ่ายทำตาม “ลองมองดูสิ”
“ผมว่ามันก็เหมือนกับทุกวัน” ถึงแม้จะบอกไปแบบนั้น แต่แจฮยอนก็ยอมทำตามคำพูดของอีกฝ่ายแต่โดยดี เขาเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งไร้เมฆครึ้ม
“ไม่เหมือนหรอก” โดยองตอบสั้น ๆ
มันไม่มีทางเหมือนกับทุกวัน ท้องฟ้าที่ไม่เคยเป็นสีฟ้าในสายตาของโดยอง เขาได้เห็นมันกับตาเสียที ยังค้นพบว่าท้องฟ้านั้นสวยงามอย่างที่หลายบทกวีเอ่ยอ้าง ไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด
แจฮยอนละสายตาจากท้องฟ้าแสนว่างเปล่านั่น มาจับจ้องใบหน้าหวานของอีกฝ่ายที่เอาแต่พร่ำว่าวันนี้ท้องฟ้าสวย รอยยิ้มของโดยองทำให้เขาละสายตาไปไม่ได้ราวกับถูกร่ายมนต์ใส่
เสียงชัตเตอร์ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาทของโดยอง ดวงตาเรียวคู่สวยเบิกกว้างเพราะความสะดุ้งตกใจ
“นายแอบถ่ายฉันอีกแล้วนะ!” คนตัวเล็กกว่าทำหน้ายุ่ง ขึ้นเสียงโวยวายใส่คนตรงหน้า
“ช่วงนี้การถ่ายรูปแบบแคนดิดกำลังอยู่ในกระแสเลยนะครับ” แจฮยอนเอ่ยด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง” โดยองยังคงสวมบทกระต่ายน้อยขี้โมโหต่อไป แต่ก็ได้ยินแค่เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายกลับคืนมาเท่านั้น
“พี่บอกว่าวันนี้ท้องฟ้าสวยใช่ไหม” ลักยิ้มสองข้างแก้มเด่นชัดขึ้นมา ดวงตาหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว แจฮยอนเว้นช่วงไปสักพักก่อนจะก้าวขาเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของอีกฝ่าย “วันนี้พี่ก็สวยเหมือนกัน”
“บ้าบอ...” โดยองก้มหน้าซ่อนสีหน้าของตัวเองแล้วม้วนตัวกลับมาเดินข้าง ๆ แจฮยอนเหมือนเดิม เขานึกถึงเรื่องเมื่อวันก่อนที่อีกฝ่ายโดนตามตัวกลับไป และมันก็กลับกลายเป็นตัวเขาเองที่เป็นคนเบี่ยงประเด็นเสียแทน “แล้วนายบอกใครหรือยังว่าจะมาเที่ยวน่ะ”
“ไม่ต้องห่วง จะไม่มีคนมาขัดจังหวะการเดทของเรา” แต่แจฮยอนก็ยังจะพาให้บรรยากาศมันกลับไปเป็นแบบเดิมอีกครั้ง
“ดะ เดท?” โดยองลนลาน ร้องโวยเสียงดังขึ้นมา “บ้าน่า นี่ไม่ใช่เดทสักหน่อย!”
“เสียงดังเกินไปแล้ว” แจฮยอนหัวเราะให้กับท่าทางของคนอายุมากกว่าที่ตอนนี้ทำเคอะเขินราวกับเด็กวัยกระเตาะ
โดยองก็แอบชำเลืองมองอีกฝ่ายอย่างห้ามใจไม่ได้ เขาคิดว่าสิ่งที่อันตรายต่อหัวใจของเขาอีกอย่างหนึ่งก็คือแจฮยอนคนนี้ ระยะห่างระหว่างกันหนึ่งช่วงศอกไม่มากพอที่จะทำให้หัวใจของเขาเต้นเป็นจังหวะปกติ ร้ายกาจเหลือเกิน โดยองคิด
“เดินห่างกันเป็นโยชน์แล้วพี่” โดยองเผลอขยับตัวออกห่างอีกฝ่าย จนแจฮยอนเอ่ยขึ้นมา “ผมแค่ล้อเล่น รังเกียจกันแล้วหรือไร”
“ไม่ใช่สักหน่อย” โดยองเอ่ยเสียงเบาหวิว ขยับตัวกลับมาที่เดิมด้วยจังหวะหัวใจที่ยังไม่เป็นปกติ
หลังจากเดินวนรอบ ๆ กราวด์ซีโร่ พวกเขาก็เข้ามาในตัวของพิพิธภัณฑ์ ยังไม่ทันจะพ้นประตูทางเข้า แจฮยอนก็อ้าปากหาวอย่างไม่เกรงใจ แสดงความไม่สนใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจนจนโดยองต้องกระทุ้งศอกใส่
เศษซากของอาคารทวินทาวเวอร์ส่วนต่าง ๆ กลายมาเป็นงานประติมากรรมแห่งการสูญเสีย มันถูกจัดแสดงอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ภายในพิพิธภัณฑ์ชวนให้รู้สึกขนลุกเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ลองนึกดูว่าถ้าหากเรากำลังเดินอยู่แถวนั้น แล้วสักพักก็มีเครื่องบินมาชน ตึกสูงก็ถล่มลงมาทีละตึกราวกับในหนังฮอลลีวูด หากแต่มันคือเรื่องจริง คงน่าหดหู่ไม่น้อย และร่องรอยที่เหลืออยู่พวกนี้ก็มากพอที่จะทำให้ความหม่นหมองพุ่งทะยานเข้ามาในจิตใจของผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมชม
ถึงแม้จะดูน่าเศร้า แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันก็เป็นภาพที่ตราตรึงใจถึงขนาดที่แจฮยอนที่ตอนก่อนหน้านี้ออกตัวว่าไม่ชอบเรื่องราวการสูญเสีย ยังอดไม่ได้ที่จะให้หยุดดูและให้ความสนใจ เขาแวะอ่านเกร็ดข้อมูลที่ติดอยู่แทบจะทุกอัน รวมถึงหยุดดูวีดีโอสารคดีในแต่ละห้องอีกด้วย ส่วนโดยองที่เคยมาที่นี่แล้ว ไม่ได้แสดงอาการตื่นเต้นอะไรนัก แต่ยังรู้สึกสะเทือนใจอยู่ดี
พวกเขาเดินออกมาหลังจากเยี่ยมชมทุกส่วนของพิพิธภัณฑ์ โดยองไม่เคยคุ้นชินกับการสูญเสีย ถึงจะพยายามควบคุมอารมณ์และสีหน้า มันก็ยังเห็นได้ชัดอยู่ดี ผิดกับแจฮยอนที่ถึงจะบอกว่าไม่ชอบเรื่องราของการสูญเสีย แต่เขากลับดูสบาย ๆ กว่าอีกคน
“พี่ดูเศร้านะ” แจฮยอนเอ่ยขึ้น
“ใครจะไม่เศร้าบ้าง คนตายตั้งเยอะ” โดยองตอบโดยไม่หันไปมองหน้าอีกฝ่าย
“เป็นเหตุผลที่เราควรจะ Make love, not war ใช่ไหมครับพี่โดยอง” แจฮยอนได้โอกาสแกล้งโดยองอีกครั้ง เขาเอื้อมมือไปโอบไหล่บางแล้วหันไปกระซิบที่ข้างหูอีกครั้ง
“ไม่ต้องมาพูดมากเลยเด็กบ้า” ถ้าไม่เป็นเพราะข้อความ ก็คงจะเป็นเสียงกระซิบของคนอายุน้อยกว่า ทำให้โดยองหน้าร้อนผ่าวแล้ววิ่งเตลิดหนีไป
“เดี๋ยวสิพี่ รอผมก่อน!” แจฮยอนร้องเรียกอีกฝ่ายพลางหัวเราะ วิ่งตามอีกฝ่ายไป
ร้านเบอร์เกอร์ชื่อดังเป็นที่พักทานอาหารกลางวันของพวกเขา ในบรรยากาศที่ค่อนข้างจอแจตามประสาของช่วงเที่ยงวัน โดยองไม่ได้มีท่าทีรำคาญใจอะไร เพราะเขาไม่จำเป็นต้องสนใจคนอื่นนอกจากคนที่นั่งเอร็ดอร่อยกับเบอร์เกอร์แสนธรรมดาตรงหน้า แจฮยอนเปรียบดั่งอาชญากรอาหารที่จัดการกับเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่สองชิ้นจนไม่เหลือแม้แต่เศษขนมปัง
โดยองไม่เคยคาดคิดเลยว่าการทานมื้อง่าย ๆ แบบนี้จะทำให้เขามีความสุขได้ ทั้ง ๆ ที่รสชาติมันก็เหมือนกับวันอื่น ไม่ได้มีพิเศษอะไรเลยสักนิด เขาที่มักจะทานข้าวอยู่ลำพัง แจฮยอนเหมือนมาเติมเต็มที่ว่างข้าง ๆ กายเขาในวันที่เปล่าเปลี่ยว รอยยิ้มที่เห็นรอยบุ๋มข้างแก้มทั้งสองไม่เคยทำให้โดยองผิดหวัง ในที่สุดก็ต้องยิ้มตามอย่างคอบคุมตัวเองไม่ได้
คืนนี้ก็ยังอยู่ในหัวข้อของเพลงรัก โดยองไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจอีกต่อไป กลับยิ่งมีอารมณ์ร่วมเพราะเขากำลังอยู่ในระยะของการตกหลุมรักและหลงเสน่ห์ หลังจากที่กลับไปสร้างเพลย์ลิสต์ขึ้นมาใหม่ เพลงของเจ้าพ่อแห่งท่วงทำนองหวานละมุนอย่าง Jason Mraz ก็ไม่พลาดที่จะถูกเพิ่มเข้าไปในเพลย์ลิสต์นั้น
“ช่วงนี้ดูสดชื่นดีนะ” โจเอลเข้ามาประจำที่ของเขาพร้อมกับแก้วเบียร์หนึ่งแก้ว เห็นเพื่อนสนิทที่นั่งแกว่งขาดูมีความสุขจนอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“เปล่า” โดยองตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใส่ใจมากนัก
“กับเด็กคนนั้นถึงขั้นไหนแล้ว” และโจเอลเองก็ไม่ได้สนใจคำตอบของคู่สนทนามากขนาดนั้น เขาถามคำถามที่ทำให้โดยองเกิดสำลักน้ำที่กำลังดื่ม ก่อนจะยิ้มแล้วตบหลังเพื่อนสนิทด้วยสายตาราวกับรู้ทัน
“เด็กที่ไหนกันล่ะ ไม่มีสักหน่อย” โดยองยังคงเดินหน้าปฏิเสธ ทว่าด้วยโทนเสียงที่สูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้โจเอลหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อถือ
“นายกำลังจะบอกว่าคนสายตาดีอย่างฉันตาฝาดหรือไร” โจเอลแสร้งเอ่ยตัดพ้อหวังกวนประสาทเพื่อนสนิท “ที่เซ็นทรัลพาร์ค นายหลบหน้าฉัน แต่กลับไปยิ้มร่าให้กับเด็กคนนั้น ฉันล่ะเสียใจจริง”
“จะบ้าตาย... ไม่ยุ่งสักเรื่องจะเป็นอะไรไหมคุณ” โดยองกลอกตาเหนื่อยใจกับเพื่อนที่เหมือนจะรู้ดีไปเสียทุกเรื่อง
มีหวังว่าคืนนี้เขาคงไม่ได้หลับไม่ได้นอนจากการซักไซ้ไล่เรียงจากโจเอลแน่ ๆ
เวลาเก้าโมงเช้า มัคคุเทศก์พาคุณนักท่องเที่ยวข้ามฟากแมนฮัตตันไปที่ฝั่งบรูคลิน ใช้เวลาทั้งสิ้นไปกว่าสี่สิบนาทีในรถไฟฟ้าใต้ดิน พื้นที่ไหล่ของโดยองถูกจับจองโดยศีรษะของแจฮยอนที่เอนซบมา เขาไม่กล้าใช้เวลาทั้งหมดในการพินิจใบหน้าหล่อเหลา เพียงเห็นขนตายาวเรียงตัวสวย สันจมูกโด่ง และริมฝีปากที่ดูนิ่ม ๆ ยังทำให้เขาต้องเผลอกลืนน้ำลาย องค์ประกอบคนที่หลับใหลกำลังทำให้ชีวเคมีในร่างกายของเขาปั่นป่วนอีกครั้ง ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวหรือเอ่ยอะไรเพราะกลัวว่าจะไปปลุกให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นจากฝันหวาน
บรูคลินไม่ได้มีตึกสูงชวนรู้สึกอึดอัด ผู้คนไม่ได้เยอะมากจนรู้สึกวิงเวียน ไม่มีเสียงไซเรนให้รู้สึกปวดหัว โดยองมักจะแวะมาเที่ยวย่านนี้หากต้องการพักผ่อนหย่อนใจอย่างแท้จริง
ที่นี่มีสวนสนุกที่เปิดโอกาสให้บรรดาผู้อ่อนวัยหรือแม้แต่ผู้มีหัวใจอ่อนเยาว์ได้สัมผัสกับบรรยากาศของความครื้นเครงบันเทิงใจ พรั่งพร้อมไปด้วยหาดทรายและเกลียวคลื่นอันแสนสงบต่างจากแมนฮัตตันแสนวุ่นวาย หากฤดูหนาวไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนักในการไปนอนเล่นที่ชายหาด มันก็มีแดนสวรรค์อย่างสวนสนุกให้สามารถแวะเวียนไปได้ทุกช่วงเวลามาทดแทน และนั่นก็คือจุดหมายของพวกเขา
เครื่องเล่นนับสิบกำลังรอคอยให้ผู้คนเข้ามาเพลิดเพลินไปกับมัน ทว่าแจฮยอนก็เอาแต่อ้าปากหาววอดพร้อมขยี้ตางัวเงีย
“ตื่นได้แล้วพ่อคุณ” โดยองเอ่ยเสียงเรียบ ชำเลืองมองคนข้าง ๆ ขณะที่กำลังต่อแถวรอซื้อตั๋วที่ขดไปขดมาราวกับงูกินหาง
แจฮยอนทำตาปรือ ตอบด้วยการวางคางที่ไหล่ของคนอายุมากกว่าแล้วครางอื้ออึงในลำคอ รถไฟเหาะสูงลิบที่คดเคี้ยวสะดุดตาของโดยอง เขาหัวเราะน้อย ๆ ให้กับความคิดของตัวเองก่อนจะหันไปกระซิบข้างหูของคนขี้เซา
“หวังว่าโรลเลอร์โคสเตอร์น่าจะทำให้นายตื่นได้”
“ไม่เอาน่าพี่... อย่ารังแกผมเลย” แจฮยอนรีบตั้งหลัก ส่งสายตาออดอ้อนมาถึงอีกฝ่าย ท่าทางของทำให้โดยองรู้ได้เลยทันทีว่าเขาไม่ชอบเครื่องเล่นหวาดเสียว และนั่นทำให้เรื่องมันยิ่งสนุกมากขึ้น
“ถ้านายไม่ยอมเล่น แสดงว่านายปอดแหก” โดยองกระตุกยิ้มร้าย เขาทำหูทวนลมกับแจฮยอนที่เอาแต่เขย่าตัวของเขาเพื่อจะโน้มน้าวใจไปเล่นเครื่องเล่นอื่น
แต่ไม่ว่าแจฮยอนจะใช้ลูกไม้อะไรก็ตาม ก็ไม่อาจทำให้โดยองยอมเปลี่ยนใจ พวกเขาขึ้นมานั่งที่แถวหน้าสุดของรถไฟเหาะ มีคนหนึ่งที่ยิ้มกว้างจนรอยหนวดแมวขึ้นที่ข้างแก้มทั้งสองรู้สึกสนุกสนานเมื่อจินตนาการไปถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ส่วนอีกคนก็ได้แต่ทำหน้าหวาดระแวงคอตก
รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ขึ้นสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ในอีกไม่กี่วินาทีมันก็จะปล่อยตัวร่วงลงมาตามราง โดยองแอบแลมองเด็กขี้กลัวที่กำลังกัดปาก หลับตาปี๋ เขาจึงยื่นมือไปจับมือของอีกฝ่ายเพื่อบอกเป็นนัยว่าอย่ากลัวไป
แจฮยอนลืมตาขึ้นหันไปมองคนยื่นมือมาจับมือของเขา โดยองส่งยิ้มให้น้อย ๆ ก่อนจะบอกให้เตรียมตัว แรงบีบที่มือมากขึ้นตามจังหวะของเครื่องเล่นที่แล่นลงมาจากเนินสูงอย่างรวดเร็ว พวกเขาร้องเสียงดังไปด้วยกันร่วมกับคนอื่น ๆ
สวนสนุกยังคงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับปลดปล่อยความตึงเครียดจากการใช้ชีวิตไม่ว่าสำหรับใคร นานมากแล้วที่พวกเขาไม่ได้ร้องตะโกนออกมาสุดเสียงจนรู้สึกคอแห้งแบบนี้
“โอเคหรือเปล่า” โดยองเอ่ยถามหลังจากยื่นน้ำดื่มให้กับแจฮยอน พลางลูบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ
“ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น” แจฮยอนอวดเก่งทั้ง ๆ ที่หน้าซีดเป็นไก่ต้ม
“ปากดี” โดยองอมยิ้ม ลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างรู้สึกเอ็นดู วินาทีที่สบตากันก็เป็นเขาเองที่หลบสายตาไปเสียก่อน หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกได้ห่างใกล้กันเกินไป
หลังจากรถไฟเหาะหวาดเสียว รถบั๊มที่แถวยาวน้อยที่สุดเป็นตัวเลือกที่ดีในการจะเข้าไปเล่น รถบั๊มหลากสีที่โดยองสามารถเอ่ยชื่อของสีได้อย่างไม่มีผิดพลาด มีสีหนึ่งที่แปลกตาออกไป รถบั๊มหมายเลข 14 มีสีที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ดูมีชีวิตชีวา เหมือนกับเป็นสีแห่งชีวิต
“ฉันจะขับรถหมายเลข 14” โดยองเอ่ยบอกกับอีกคนที่กำลังง่วนไปการมองหารถคันที่ถูกใจ
“สีเขียวเหรอ ถ้าอย่างนั้นผมจะขับรถสีแดง” เมื่อแจฮยอนเลือกรถคันที่ชอบได้แล้วก็ไม่รีรอเข้าไปจับจองในทันใด แต่แล้วเขาก็เหมือนจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เอ่ยถามกับโดยองที่เป็นต้นตอของความสงสัยนี้ “ทำไมพี่ถึงเรียกหมายเลขรถล่ะ”
“ครูสอนชีววิทยาของฉันบอกว่ามนุษย์มีการรับรู้ที่ต่างกัน บางคนคุ้นชินกับตัวเลขหรือตัวอักษรมากกว่าสีสัน หรือบางคนก็กลับกัน นายคิดว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า” คำตอบที่ในขณะเดียวกันก็เป็นคำถามของโดยองถูกส่งไปให้กับชายหนุ่มขี้สงสัย
“พี่อย่าถามผมกลับได้ไหม” แจฮยอนขยี้ผมตัวเองดูหงุดหงิดใจ ก่อนจะจับพวงมาลัยแล้วจับจ้องไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตาเอาจริงเอาจัง “ช่างเถอะ พี่เสร็จผมแน่”
เมื่อรถบั๊มเคลื่อนที่ได้ แจฮยอนก็ไม่รอช้าที่จะขับตรงชนกับรถสีเขียวหมายเลข 14
“ไม่มีทาง!” โดยองโต้กลับ เขาพยายามจะขับพุ่งชนรถของแจฮยอน แต่ก็ทำได้แค่ขับหมุนรอบตัวเอง “ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ!”
“อ่อนหัด!” แจฮยอนร้องตะโกนเย้ยโดยองที่กำลังหัวเสียกับการบังคับรถของตัวเอง และใช้ความได้เปรียบนี้ในการเอาชนะอีกฝ่ายไปในที่สุด
สีเขียวคงไม่ถูกชะตากับโดยองเท่าไหร่นัก เขาถูกปั่นหัวจนอารมณ์ชักไม่ดี เขายังคงเชื่อมั่นว่าทักษะการขับรถบั๊มของเขาไม่มีผิดพลาด เป็นเพราะรถบั๊มของเขามันเสียต่างหาก เขาพยายามบอกกับแจฮยอนว่าแบบนั้น แต่ก็มิวายโดนล้อเลียนกลับมา พอถึงตอนสุดท้ายโดยองก็เผลอหยุดหัวเราะออกมาอยู่ดี และยอมรับโดยดีว่าเขาขับรถบั๊มไม่เป็นจริง ๆ
พวกเขาแวะเวียนไปเล่นเครื่องเล่นต่าง ๆ จนแทบจะครบจนอากาศเริ่มหนาวเย็นลงตามเวลาที่ล่วงเลยผ่านไป และเครื่องเล่นสุดท้ายที่พวกเขาจะเล่นก็คือชิงช้าสวรรค์ที่มีกลุ่มเพื่อน คู่รัก รวมไปถึงครอบครัวต่างมายืนเข้าแถวรอจะขึ้นไปนั่งบนเครื่องเล่นที่น่ามหัศจรรย์ใจนี้
“เขาว่ากันว่าเมื่อขึ้นไปถึงจุดที่สูงที่สุดให้อธิษฐาน แล้วขอคำนั้นจะเป็นจริง” แจฮยอนเอ่ยตอนที่ชิงช้าสวรรค์เริ่มเคลื่อนตัวไปอย่าช้า ๆ แต่แทนที่จะมองวิวทิวทัศน์ที่สวยงามข้างนอก เขากลับเลือกจะสบสายตากับคนตรงข้ามไม่ละไปไหน
“เคยได้ยินมาเหมือนกัน” โดยองตอบ เป็นอีกครั้งที่เขาหลบตา
“วันนี้ผมมีความสุขมาก ขอบคุณที่พี่อยู่กับผม” แจฮยอนยิ้มน้อย ๆ จ้องมองใบหน้าหวานของคนตรงข้ามด้วยสายตาอ่อนโยน
โดยองไม่ได้ตอบกลับอะไร เพราะในใจของเขาปั่นป่วนมากจนไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดให้ออกมาดีได้อย่างไร หัวใจของเขาเต้นมาเป็นจังหวะ อีกทั้งใบหน้าก็ร้อนผ่าว เอาแต่ก้มหน้าลงมองปลายเท้าของตัวเอง และเป็นแจฮยอนที่เอ่ยเล่าเรื่องของตัวเองขึ้นมาเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันน่าอึดอัดเกินไป
“ตอนเด็ก ๆ ผมไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวเล่นสักเท่าไหร่ ผมมักรู้สึกอิจฉาเด็กคนอื่นเสมอ” แจฮยอนเริ่มเล่าเรื่องราว เอนหลังพิงหลังเข้ากับพนักพร้อมกับเบนสายตาไปมองนอกหน้าต่าง เขายังคงเล่าต่อไป “ผมเอาแต่อยู่ในห้องสีเหลี่ยมโดยมีจานสีกับพู่กันเป็นเพื่อน”
“พูดอย่างกับเป็นเด็กอัจฉริยะทางศิลปะไปได้” โดยองหัวเราะนิดหน่อย แต่ก็ต้องหุบรอบยิ้มนั้นลงเพราะอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในอารมณ์เดียวกับเขา
“ใคร ๆ ก็บอกว่าผมเป็นอย่างนั้น” คำตอบของแจฮยอนทำให้โดยองยิ่งรู้สึกผิด
“นายอยากบอกอะไรกับฉัน แต่นายไม่มั่นใจว่าจะบอกฉันดีไหมใช่หรือเปล่า” โดยองฉลาดพอที่จะเดาท่าทางของอีกฝ่ายออก ถึงแม้จะเป็นคนเก็บตัว แต่เขาก็ต้องทำงานร่วมกับผู้คนหมู่มาก ดังนั้นการจับความรู้สึกของคนอื่นมันไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับเขา
จนถึงตอนนี้โดยองก็ยังไม่รู้จักแจฮยอน เป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์ระหว่างคนแปลกหน้าสองคนที่ความบังเอิญทำให้พวกเขาได้มาพบกัน การขยับก้าวความสัมพันธ์ไปข้างหน้าดูยากเย็นจนจินตนาการไม่ออก
“ไว้รอถึงจุดสูงที่สุด ผมจะอธิษฐานอะไรบางอย่าง” แจฮยอนเลี่ยงจะตอบคำถามตรง ๆ “พี่ก็ลองด้วยนะ”
โดยองพยักหน้ารับ ทั้งที่ยังไม่มีความคิดจะอธิษฐานเรื่องอะไร พวกเขาทอดสายตามองทิวทัศน์ที่ถูกแต่งแต้มไปด้วยสีของพระอาทิตย์ตกดิน แจฮยอนจดจ้องและเอ่ยพรรณนาถึงมัน ส่วนโดยองก็ได้แต่ฟังความสวยงามที่อีกฝ่ายบอกกล่าว เฝ้าฝันว่าสักวันหนึ่งเขาคงจะมีโอกาสได้เห็นสีของพระอาทิตย์ตกดินบ้าง
ไม่กี่วินาทีข้างหน้ากระเช้าของชิงช้าสวรรค์ที่พวกเขานั่งอยู่จะขึ้นไปถึงจุดสูงที่สุด เปลือกตาเลื่อนปิดลงก่อนที่ความเงียบจะเป็นเสียงที่ดังที่สุด
“นายอธิฐานว่าอะไร” โดยองเอ่ยถามหลังจากลืมตาขึ้น
“ความลับ” ไม่ว่าใครก็อยากจะเก็บคำอธิฐานไว้กับตัวเอง แจฮยอนก็เช่นกัน
อากาศหนาวเย็นมากขึ้นทุกที ถึงเวลาที่พวกเขาต้องแยกกันอีกครั้ง และในวันพรุ่งนี้คือวันสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เจอกัน โดยองรู้สึกใจหาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับในความเป็นไป กาลเวลานำพาพวกเขาให้มาพบกัน และกาลเวลาก็พรากพวกเขาให้จากกันก็เท่านั้น
กลับมาวนเวียนที่ย่านมิดทาวน์ของแมนฮัตตันอีกครั้งที่จุดชมวิวท็อปออฟเดอะร็อคของร็อคกี้เฟลเลอร์ เซ็นเตอร์ มันเปรียบได้กับดาดฟ้าสังเกตการณ์บนตึกสูงที่ผู้คนสามารถรับชมภาพทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตาของมหานครนิวยอร์ก ผู้คนต่างต้องมนต์สะกดของเส้นขอบฟ้าของแมนฮัตตันที่ยังคงสวยงามอยู่เสมอ และแน่นอนสีของพระอาทิตย์ตกดินที่ย้อมเคลือบพื้นผิวของทุกสิ่งอย่างก็งดงามไม่มีที่ติ
โดยองถูกตราตรึงไว้กับแสงทอสีส้มของพระอาทิตย์ใบโต ค่อย ๆ กลาดสายตาเอาภาพที่ได้เห็นประมวลผลเก็บบันทึกไว้ในความทรงจำ แสงสีของท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนไป ไฟของตึกรามบ้านช่องต่าง ๆ ที่พากันเปิดประดับเมืองให้มีสีสันน่าหลงใหล สายตาของเขาหยุดชะงักอยู่ที่เสี้ยวหน้าของชายหนุ่มที่น่าหลงใหลไม่แพ้กัน
“ผมไม่คิดว่าผมจะโชคดีขนาดนี้...” เสียงทุ้มของแจฮยอนเรียกโดยองให้ออกมาจากภวังค์ความคิด รอยยิ้มจาง ๆ แต้มอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลา “ดีใจที่ได้เจอพี่นะ”
“เหมือนกัน” โดยองตอบเพียงสั้น ๆ
“พี่โดยองทำให้นิวยอร์กของผมไม่น่าเบื่อ” แจฮยอนหลุบตาลงต่ำ น้ำเสียงของเขาฟังดูหมองเศร้า “แต่น่าเสียดายที่เวลามันสั้นนิดเดียว”
“นายกลับมาได้ทุกเมื่อ” โดยองไม่อยากให้บรรยากาศมันเศร้าซึม แม้ว่าเขาจะไม่ถนัดเรื่องการพูดคุย แต่เขาก็พยายามพูดปลอบประโลมอีกฝ่ายไม่ให้รู้สึกแย่
แจฮยอนเคยบอกว่าเขาไม่ชอบเรื่องน่าเศร้า การสูญเสีย หรือการลาจากเป็นเรื่องน่าเศร้าทั้งนั้น ว่ากันว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ คล้ายกับตอนที่โดยองใช้เวลาช่วงปิดภาคเรียนไปอย่างรวดเร็ว และอิดออดที่จะตื่นไปโรงเรียนในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
“พี่หลับตาหน่อยได้ไหม ผมมีอะไรจะให้พี่” แจฮยอนเอ่ยร้องขอ
โดยองยอมหลับตาแต่โดยดี หัวใจของเขาเต้นระรัว ลมหายใจติดขัดเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ กระทบเข้ากับสันจมูก ตามมาด้วยสัมผัสแยบยลที่ริมฝีปาก และสอดประสานฝ่ามือไว้ด้วยกัน จังหวะจูบจากอีกฝ่ายอย่างกะทันหันที่โดยองรู้สึกตกใจไม่น้อย แต่เลือกที่จะหลับตาต่อไป เพราะเขาเองก็ต้องการมากเหลือเกิน
ณ ตอนนั้นที่โดยองรับรู้ได้ถึงลมหายใจของแจฮยอน รู้สึกได้ถึงลมเย็นที่พัดผ่านแทรกระหว่างร่างกายของพวกเขาทั้งสอง ไออุ่นของกันและกันทำให้เขาตระหนักได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่จากคนที่ไร้แรงบันดาลใจก่อนหน้านี้ แจฮยอนเข้ามาแต่งแต้มป้ายสีให้กับโลกสีเทาของเขา และเพียงเหตุผลแค่นั้น โดยองก็ตกหลุมรักได้อย่างง่ายดาย
“ลาก่อน” คำล่ำลาที่ไม่มั่นคงของโดยองถูกส่งออกไป
“แล้วผมจะกลับมา” และคำสัญญาหนักแน่นของแจฮยอนถูกส่งกลับมา
เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ความอบอุ่นมาเยือนที่แมนฮัตตันแสนวุ่นวายแห่งนี้ สามเดือนให้หลังจากการจากลา โดยองยังคงดำเนินชีวิตตามปกติอย่างที่เคยเป็น นอนกลางวัน ทำงานกลางคืน โลกของเขาไม่ใช่สีเทาอีกต่อไป ใบไม้สีเขียว และดอกไม้หลากสี งดงามไร้ที่ติ เขาคาดหวังว่าชีวิตของเขาจะสดใสให้สมกับฤดูแห่งการผลิบาน ทว่าถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกหมองหม่นเหมือนกับตอนที่เขาอาศัยอยู่ในโลกสีเทา เพียงเพราะแจฮยอนไม่อยู่ สิ่งที่เขาทำได้เพียงแค่เฝ้าบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไรก็เท่านั้น
ระหว่างทดสอบระบบเสียง โจเอลก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาแล้วร้องขอให้ทุกคนหยุดก่อน เขาคว้าตัวเพื่อนสนิทไปที่หลังร้านโดยไม่พูดพร่ำอะไร โดยองได้แต่อ้าปากเอ่ยถามตลอดทางว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา โจเอลหันซ้ายแลขวาดูลาดเลาให้แน่ใจว่าไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเขา
“ทำไมนายไม่บอกฉัน” โจเอลหันขวับมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนความไม่พอใจเล็กน้อย
โดยองเริ่มนึกถึงเรื่องสารพัดที่เขาอาจจะเผลอทำให้เจ้าตัวไม่พอใจก่อนหน้านี้ แต่มันมากมายเหลือเกินจนสมองประมวลผลไม่ทันใจ เขาจึงเลิกคิด อีกอย่างโจเอลน่าจะเคยชินกับนิสัยของเขาไปแล้ว คงไม่มานั่งน้อยใจเป็นสาวแรกรุ่นแบบนี้
“นายไม่คิดจะพูดต่ออีกหน่อยเหรอ” ยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยองกะพริบตาปริบ ๆ เอ่ยถามโจเอลที่เอาแต่กอดอก มองเขาตาขวาง
“ให้ตายสิโดยอง! นายมันไม่ได้เรื่อง” อยู่ ๆ โดยองก็โดนสบประมาททั้งที่ยังไม่ทันได้รู้เรื่องใด ๆ นั่นทำให้เขาชักจะมีน้ำโหขึ้นมาทุกที
“เลิกพูดจาอ้อมค้อมแล้วบอกฉันมาสักทีว่านี่มันเรื่องอะไร” โดยองเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคืองขุ่น เขาไม่ใช่ประเภทความอดทนสูงขนาดนั้น ขืนโจเอลยังพูดจาไม่รู้เรื่องอาจจะต้องมีการวางมวยกันเกิดขึ้น
โจเอลหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาแล้วเปิดหน้าเว็บหนึ่งก่อนจะยื่นให้กับโดยอง ดวงตาคู่สวยจดจ้องอ่านบทความในหน้าเว็บนั้นอย่างตั้งใจ โดยมีเสียงของเพื่อนสนิทดังสอดแทรกเข้ามาเป็นระยะ เรียวคิ้วค่อย ๆ ขมวดเข้าหากันเมื่อได้รับรู้เรื่องราวมากขึ้น ภาพในความทรงจำของเขาหวนกลับมา ภาพงานศิลปะชิ้นเอก ภาพการเดินทางของแอปเปิลแดง และภาพของแจฮยอน
ทั้งหมดปรากฏอยู่ในนั้น ในจอสี่เหลื่ยมที่เขากำลังถืออยู่ หากแต่ชื่อที่ถูกเอ่ยอ้างถึงนั้นคือ ‘เจย์เดน’
“นายคิดจะปิดบังฉันไปถึงไหน ในเมื่อนายรู้จักกับเจย์เดน ทำไมนายไม่แนะนำฉันให้รู้จักเขาบ้าง นายก็รู้ว่าฉันเป็นแฟนคลับเขา” เสียงของโจเอลเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาไปอย่างรวดเร็ว ณ ตอนนี้ลำพังโดยองก็สับสนจนไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกอย่างไร มือของเขาเริ่มสั่นไหวไปพร้อม ๆ กับหัวใจที่เต้นระรัว
“ไม่รู้... ฉันเองก็ไม่รู้” โดยองพึมพำ
“อย่ามาโกหกเสียให้ยาก” โจเอลทำหน้าเหยเก ทำหน้าไม่เชื่อคนตรงหน้าเต็มประดา
“ไม่ได้โกหก” ชายหนุ่มยังยืนยันเหมือนเดิม
ผู้จัดการเบนสันมอบมะเหงกให้แก่สองเพื่อนรักที่อู้งานมาคุยกันลับ ๆ ล่อ ๆ แล้วไล่ให้ไปทำงานสักที นั่นถือเป็นการช่วยชีวิตของโดยอง ก่อนที่จะโดนโจเอลผู้คลั่งไคล้งานศิลปะฆ่าปาดคอเพราะบังเอิญไปรู้จักกับแจฮยอน ไม่สิ เจย์เดน ศิลปินคนโปรดโดยไม่บอกกล่าว
ห้อง A612
โดยองกำลังนอนมองฝ้าเพดานห้องสีขาวของตัวเอง พยายามจะรวบรวมเศษเสี้ยวของความทรงจำแสนกระจัดกระจายมาไว้ด้วยกันเพื่อหาความเชื่อมโยงที่ว่าแจฮยอนคือเจย์เดนคนนั้น จิตรกรระดับโลกที่ไม่เคยมีใครได้เห็นหน้าค่าตา ซึ่งความจริงแล้วแจฮยอนก็ไม่ได้โกหกอะไร เพียงแค่ไม่ได้บอกว่าเขาคือเจย์เดนก็เท่านั้น นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน โดยองคิดพลางหัวเราะแห้ง
ยันตัวลุกจากเตียงเพื่อไปอาบน้ำ ปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวไหลผ่านไป ความรู้สึกของเขาไม่ได้ไหลไปไหนเหมือนกับสายน้ำนั้น แม้จะไม่ได้แสดงอาการอะไรมากมาย แต่เขาก็อดคิดถึงแจฮยอนไม่ได้ มีคำถามมากมายที่อยากจะถามกับเจ้าตัว เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกลวงโดยแจฮยอน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมันซับซ้อนเหลือคณา น่าทึ่ง แสนประหลาดใจ ปั่นป่วน และวุ่นว่ายในเวลาเดียวกัน
เพราะแจฮยอนไม่เคยปฏิเสธว่าเขาคืออัจฉริยะทางศิลปะ หลักฐานที่หนึ่งคือช่วงเวลาที่เขามาเที่ยวที่นิวยอร์กก็ตรงกับช่วงที่เจย์เดนมาจัดแสดงนิทรรศการ The Retrospective พอดิบพอดี โดยองนึกย้อนตั้งแต่ตอนแรกแล้วเรียบเรียงเหตุการณ์ต่าง ๆ ทำให้ได้รับรู้ถึงหลักฐานถัด ๆ ไป อย่างเช่น สีที่เปื้อนที่แก้มน่าจะมาจากการวาดรูป ไม่ใช่การดูแลรักษาผลงานศิลปะอย่างที่คิดไปเอง หรืออย่างการพูดถึงผลงานของเจย์เดนที่ไม่มีปิดบังโดยมีนัยยะอะไรบางอย่างซ่อนไว้ เป็นนัยยะที่โดยองไม่ทันได้คิดถึงมันในตอนนั้น
บางทีการเดินทางของแอปเปิลแดงมีอะไรสำคัญมากกว่าแค่ภาพวาด แจฮยอนเคยบอกว่าในตอนเด็ก ๆ เขาไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวเล่นเอาแต่หมกตัวอยู่กับการวาดรูป เจ้าแอปเปิลสีแดงที่เจ้าของผลงานเป็นคนบอกกับปากว่าความจริงแล้วมันเป็นลูกโป่งที่ลอยออกไป ซึ่งอาจหมายความถึงตัวของแจฮยอนเองเพื่อจะสื่อว่าตัวเขาต้องการที่จะได้รับอิสระ
เป็นคำถามถัดมาที่ถามว่าได้รับอิสระจากอะไร โดยองกำลังครุ่นคิดราวกับนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องการจะหาข้อสรุปของหลักการทั้งปวง ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เขาไม่รับสาย เพียงใช้เวลาจดจ้องสักพักแล้วปล่อยให้มันเงียบไปเอง ก่อนที่ความคิดจะแล่นฉิวเข้ามาเทียบท่า โดยองดีดนิ้วดังป๊อก
“แจฮยอน... เจย์เดน... เด็กหนุ่มผู้น่าสงสาร...” เขาพึมพำกับตัวเอง ขณะคาดเดาเรื่องราวเบื้องหลังของแจฮยอน เสียงของผู้หญิงมีอายุที่เคยลอดผ่านสายโทรศัพท์ในตอนนั้นก็ย้อนหวนคืน “เขาไม่ใช่เจ้าเด็กโง่สักหน่อย”
โดยองไม่คิดจะสนใจว่าความจริงแล้วแจฮยอนเป็นใคร แม้จะจะเคยตั้งคำถาม มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับการตกหลุมรัก โลกของเขาเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ หากไม่ใช่แจฮยอน ก็คงไม่มีใครทำได้
ปฏิทินแขวนที่ผนังห้องในแต่ละวันถูกกากบาทด้วยปากกาเมจิกสีแดง เขายอมรับว่าอีกฝ่ายมีอิทธิพลต่อหัวใจของเขามากพอให้เฝ้านับวันรอคอยว่าสักวันหนึ่งจะกลับมาหา วันนี้เป็นอีกวันที่เขายังคงนับถอยหลัง และกากบาททับเลขวันที่บนปฏิทิน
“ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนกันนะ... แจฮยอน”
เมื่อตอนเช้ามีสายฝนไหลลงที่หน้าต่าง ไม้ใบเริ่มเปลี่ยนสีจากเขียวเป็นส้มเหลืองแล้วค่อย ๆ ร่วงโรยลงตามกระแสลมพัดผ่านรวมถึงอากาศเริ่มหนาวเย็นลงอีกครั้ง โดยองที่แทบไม่ติดตามข่าวสารแวดวงศิลปะ ทุกวันนี้เขากดเข้าเว็บไซต์อัพเดตข่าวสารเกี่ยวกับมัน และได้รับรู้ว่าเจย์เดนประกาศยกเลิกการจัดแสดงนิทรรศการไปเมื่อสองเดือนหลังจากการเปิดเผยตัวตน และนั่นทำให้เขาอดเป็นห่วงไม่ได้ เขาสงสัยว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อกับแจฮยอนทางไหน
เขากระชับอ้อมกอดที่หอบหิ้วถุงจากร้านสะดวกซื้อที่เพิ่งออกไปจับจ่ายซื้อเสบียงมาตุนไว้ก่อนจะเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวอย่างแท้จริง ควานหากุญแจห้องในกระเป๋ากางเกงก่อนจะสังเกตเห็นตู้จดหมายที่มีโปสการ์ดสอดไว้ระหว่างช่องเขาใช้มือหนึ่งเอื้อมหยิบมันออกมาก่อนจะทำให้ถุงจากร้านสะดวกซื้อเสียสมดุลแล้วร่วงจากอ้อมแขนเทกระจาดลงกับพื้น
“โธ่เอ้ย!” โดยองสบถกับตัวเอง เอามือก่ายหน้าผากทีหนึ่งก่อนจะเก็บโปสการ์ดเจ้าปัญหาเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ท แล้วจัดการเก็บกวาดความซุ่มซ่ามของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนที่จะมีคนมาเห็น ให้ตายสิ โยเกิร์ตของเขาแตก
โดยองถอดเสื้อโค้ทพาดเอาไว้กับเก้าอี้อย่างไม่ใส่ใจ แล้วไปเข้าครัวทำอาหารอย่างเร่งรีบเพราะเขาไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า ไม่นานมากนักมักกะโรนีอบชีสสูตรของเขาเสร็จสมบูรณ์พร้อมกับเสียงออดดังที่หน้าประตู โจเอลมาร่วมทานอาหารเย็นที่ห้องของเขาพร้อมกับเบียร์สามสี่ขวด
“กับเจย์เดนไปถึงไหนแล้วล่ะ” เป็นคำถามแรกของโจเอลที่เอ่ยขึ้นมาระหว่างมื้ออาหาร ชายผมสีทองยังคงตั้งตารอคอยคำตอบจากเพื่อนสนิท
“ไม่ได้ติดต่อกัน” โดยองพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ความจริงเขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ถึงจะเปล่าเปลี่ยวไปบ้าง แต่มันก็ช่วยอะไรไม่ได้ ในเมื่อเขาไม่รู้จะติดต่อกับอีกฝ่ายอย่างไร สิ่งที่ทำได้ก็แค่ส่งความคิดถึงผ่านทางสายลม
โจเอลเริ่มโวยวายที่เพื่อนของเขาอ่อนหัดในเรื่องของความรัก ก่อนจะเท้าความไปถึงเมื่อก่อนที่เอาแต่โดนหักอกอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นรักครั้งไหนก็ไม่เคยจะประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง โดยองพยักหน้ารับโดยดี ก่อนจะยัดมักกะโรนีเข้าปากของโจเอล เพราะพูดมากจนปวดหู
“เขาบอกว่าจะกลับมา ฉันกำลังรอเขาอยู่” โดยองเอ่ยยิ้ม ๆ
“จำที่ครูโจนส์เคยบอกได้ไหม” โจเอลท้วงขึ้น อ้างถึงคนที่เคยเป็นคุณครูวิชาวรรณกรรมสมัยมัธยมปลาย “เธอบอกว่าถ้าไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวัง”
“แต่เขาสัญญาแล้ว” ชายหนุ่มผมสีดำยืนยันความคิดของตัวเอง เรียวตาคู่สวยมองขวางไปยังคนตรงข้ามดูเคืองขุ่น
“โอเค ๆ ฉันยอมแพ้” โจเอลยกมือขึ้นทั้งสองข้าง “ก็นายมันรั้นมาแต่ไหนแต่ไร”
โจเอลกลับไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงความเงียบงันที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณห้องอีกครั้ง และเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเปล่าเปลี่ยวเกินไป โดยองเลือกที่จะหยิบเครื่องเล่นเพลงกับหูฟังออกไปนั่งดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ระเบียง ดวงดาวน้อยใหญ่พากันแต่งแต้มผืนฟ้าราวกับเป็นงานศิลปะชิ้นใหญ่ของพระเจ้า ไม่ได้มากมาย แต่สวยตราตรึงใจ ในช่วงเวลาเดียวกันตอนนี้โดยองสงสัยว่าแจฮยอนกำลังทำอะไรอยู่
“นายยังอยู่ที่ปารีสไหม ที่ปารีสกี่โมงแล้วนะ” โดยองไม่เก็บความสงสัยไว้ เขาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการค้นหา ไม่นานก็ได้รู้ว่าเวลาของนิวยอร์กช้ากว่าที่ปารีสไปหกชั่วโมง “นายกำลังจะตื่นนอนสินะ ส่วนฉันกำลังดูดาวอยู่ล่ะ”
การดูดาวที่ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน โดยองคิดว่ามันสวย แต่จะสวยกว่านี้ถ้าได้ดูกับแจฮยอนไปพร้อมกับการพูดคุยเรื่องสัพเพเหระที่คิดถึงมากเหลือเกิน มากกว่านั้นคือคิดถึงรอยยิ้มที่ทำให้แก้มทั้งสองข้างบุ๋มลงไป
ใครจะไปคิดว่าเด็กเอาแต่ใจคนนั้นจะเป็นจิตรกรชื่อดัง
คิมโดยองถูกร้องหาโดยแอนนิต้า พี่สาวร้านซักรีด
“เสื้อโค้ทที่นายฝากซักเมื่อวันนั้น มีสิ่งนี้อยู่ในกระเป๋า เหมือนนายจะลืมเอามันออก ดูสำคัญมากทีเดียว” แอนนิต้าเอ่ยก่อนจะยื่นโปสการ์ดที่เมื่อโดยองได้เห็นมันก็นึกขึ้นได้ทันที
“ขอบคุณ” โดยองรับโปสการ์ดนั้นคืนก่อนจะขึ้นไปบนห้องโดยไม่สนใจคำทักท้วงของแอนนิต้าเรื่องเสื้อโค้ทของเขา
นั่งลงที่โต๊ะอ่านหนังสือ โปสการ์ดที่ภาพข้างหน้าเป็นรูปวาดเสี้ยวหน้าของเด็กผู้ชายคนหนึ่งกับฟองสบู่มากมาย ดูคับคล้ายคับคลาพิกล แต่เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมากพลิกโปสการ์ดแผ่นนั้นแล้วไล่อ่านทีละตัวอักษร
“จากปารีส... ฝรั่งเศส...” หัวใจของเขาเริ่มเต้นรัวอีกครั้งหลังจากไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกนี้มานานมากกว่าครึ่งปี ตัวหนังสือเริ่มพร่ามัว เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ร้องไห้ คงจะคิดถึงมากเกินเหตุ
‘ถึง คิมโดยอง
สวัสดีครับพี่โดยอง สบายดีไหม ผมสบายดีนะ ได้ข่าวว่าอากาศที่นู่นหนาวแล้ว สวมเสื้อผ้าอุ่น ๆ นะ ผมคิดว่าพี่รู้ข่าวแล้ว หวังว่าพี่คงไม่โกรธผมนะที่ไม่ได้บอก ขอโทษจริง ๆ ผมแค่อยากสวมบทบาทของเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง ที่จริงผมส่งโปสการ์ดนี้มาเพื่อบอกว่าผมยังไม่ลืมสัญญาหรอกนะครับ
วันส่งท้ายปีมาเจอกันที่ตรงจุดตัดของโลกมาบรรจบกันนะครับ
ป.ล. รูปนี้เป็นรูปของผู้ชายที่ชื่อคิมโดยองอายุ 27 ปีที่กำลังเล่นฟองสบู่อย่างสนุกสนาน วาดจากภาพถ่ายเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2018
รัก
จาก จองแจฮยอน’
“ใครเล่นฟองสบู่กัน!” คิมโดยองหลิ่วตามองข้อความหลังโปสการ์ดพร้อมกับย่นปาก “นายต่างหากล่ะ”
คิมโดยองอ่านข้อความในโปสการ์ดแผ่นนั้นวนไปวนมาอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย เขาไม่คิดหาคำตอบว่าแจฮยอนรู้ที่อยู่ของเขาได้อย่างไรให้สิ้นเปลืองพลังงาน นับแต่คืนนี้เขาคงจะฝันดี
เมื่อพระอาทิตย์ลับฟ้า ไทม์สแควร์ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นดินแดนมหัศจรรย์แห่งแสงสีของมหานครนิวยอร์กที่อัดแน่นไปด้วยป้ายบิลบอร์ดใหญ่โต และมันยิ่งคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตามารวมตัวกันในวันสิ้นปี คิมโดยองกระชับเสื้อนอก ขยับผ้าพันคอสีแดงเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความอบอุ่นกาย ลมหายใจถูกพ่นออกมากลายเป็นไอลอยคลุ้ง อีกไม่กี่นาทีจะก้าวเข้าสู่วันใหม่ของปีใหม่
การรอคอยเต็มไปด้วยความคาดหวังของชายหนุ่มที่เคยแต่ล้มเหลวในความรัก เฝ้ารอความรักให้หวนกลับมา สอดส่องสายตามองผ่านผู้คนนับร้อยพันเพื่อมองหาใครคนหนึ่งที่หน้าเหมือนกับความรักของเขา ใครสักคนที่เหมือนกับจองแจฮยอน
การยืนอยู่ตรงหัวมุมที่ถนนบรอดเวย์ตัดกับเซเว่นท์เอเวนิว ชวนให้รู้สึกเหมือนยืนอยู่ตรงจุดที่ทุกเส้นทางของโลกมาตัดกัน และมันจะนำพาคนสองคนได้มาพบเจอกันอีกครั้ง
เสียงนับถอยหลังดังขึ้น คิมโดยองหลับตาลงแล้วขอพรอีกครั้ง เป็นคำขอเดียวกับที่เคยขอไว้ตอนที่นั่งอยู่ในชิงช้าสวรรค์
5
4
3
2
1
“ขอให้นายกลับมา”
เสียงพลุดังระเบิดออกพร้อมกับสาดสีแต่งแต้มท้องฟ้าแย่งชิงสีสันของดวงดาวประดับฟ้าไปทั้งหมด ดูตระการตาเสียยิ่งกว่าเทศกาลไหน โดยองยังถูกแสงสีร่ายมนต์สะกดไม่ให้ละสายตาไปไหน ดวงตาของเขาสะท้อนรอยแฉกสีของพลุไฟนานนับหลายนาที
“ผมกลับมาแล้ว”
เสียงทุ้มที่กระซิบอยู่ข้างหูดังดังแทรกเสียงของพลุที่ลอยขึ้นฟ้าระเบิดออกและสว่างวาบ ไออุ่นแนบอยู่ตรงแผ่นหลัง หัวใจเต้นรัวมากพอ ๆ กับพลุที่ถูกปล่อยขึ้นไป ในจังหวะที่คิมโดยองหันกลับไป รู้สึกราวกับโลกหมุนช้าลง ทันทีที่สบสายตา
“ดีใจที่กลับมา”
รอยยิ้มผุดขึ้นที่ใบหน้า อ้าแขนกว้าง และสวมกอดอย่างไร้ซึ่งความลังเล
ดวงดาวสวยมากเกินจะคณาเมื่อได้ดูกับคนที่รัก ตาสองคู่จ้องมองไปจุด ๆ เดียวกัน สองมือสอดประสานแนบแน่น โดยองซบลงที่ไหล่ของแจฮยอนภายใต้ผ้าห่มผืนโต ข้างหน้าของพวกเขามีแก้วกาแฟกับช็อกโกแลตร้อนไอฟุ้งโพยพุ่งสู่ชั้นบรรยากาศ
“ผมเคยเปรียบเทียบทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นสีต่าง ๆ” แจฮยอนเอ่ยเล่าถึงตัวเขาอีกครั้ง น้ำเสียงไร้กังวล โดยองเงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ “รวมถึงตัวพี่ด้วย”
“นายเปรียบฉันเป็นสีอะไร” โดยองถามอีกฝ่าย
“ตอนแรกที่เจอกันผมคิดว่าพี่เหมือนกับสีม่วง ดูลึกลับแต่ก็น่าหลงใหล ต่อมาพี่กลับเหมือนกันสีเหลืองที่สดใสแล้วก็ไร้เดียงสา อีกวันหนึ่งพี่เหมือนกับสีฟ้าที่อ่อนโยน แต่พอดูไปดูมาพี่ก็คล้ายกับสีแดงที่ร้อนเร่า” แจฮยอนไล่เรียงอย่างใจเย็นให้คนที่เอ่ยถามได้ฟัง
“เยอะเกินไปแล้ว” โดยองชำเลืองตามองใบหน้าหล่อเหลาขณะที่อยู่ในอ้อมกอดแสนอบอุ่นนั้น ริมฝีปากหนาของอีกคนขยับยิ้มก่อนจะใช้มันประทับจูบลงที่หน้าผากของเขา “สรุปแล้วฉันเป็นสีอะไร”
“พี่เป็นมากกว่าสีพวกนั้น” แจฮยอนตอบแทบจะทันทีแล้วเสริมอีกนิดหน่อย “เป็นสีโปรดของผม มีแค่สีเดียวในโลกนี้... สีคิมโดยอง”
“เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ นายอธิบายไม่เก่งเอาเสียเลย” โดยองเอ่ยหยอกล้อพลางหัวเราะน้อย ๆ ตาหวานจ้องมองใบหน้าของอีกคนที่กำลังขบคิดหาคำตอบมาให้เขา เพียงแค่นี้หัวใจของเขาพองโตยิ่งกว่าวันไหน ๆ รู้สึกมีความสุขมากราวกับล่องลอยความฝันที่เขาเฝ้าคอยให้มันเป็นจริงมาตลอด
“พี่รู้ใช่ไหมว่าในชีวิตของจิตรกร สีสำคัญที่สุดไม่ว่าจะเป็นสีไหนก็ตาม ถ้าขาดไปสีใดสีหนึ่ง ภาพวาดของจิตรกรคนนั้นก็จะไม่สมบูรณ์แบบ” แจฮยอนเอ่ยเชื่องช้าด้วยน้ำเสียงเย็นใจ ดวงตาของเขาจดจ้องไปยังอีกคนที่ดูเหมือนจะค่อย ๆ นึกภาพตามเขาไปด้วย “แล้วทุกเฉดสีมันก็หล่อหลอมมาเป็นคิมโดยองคนนี้”
“อะไรของนายกัน” โดนองทุบกำปั้นลงบนหน้าตักของอีกคน หน้าร้อนผ่าวจนและขวยเขินกับคำเอ่ยเอื้อนหวานหูจนตัวบิดม้วน
เสียงพูดคุยดังสลับกับเสียงหัวเราะท่ามกลางบรรยากาศหนาวเย็น ทว่าทั้งสองกลับรู้สึกอบอุ่นยิ่งกว่าช่วงเวลาไหน – อบอุ่นกายเมื่ออยู่ใกล้กัน และอบอุ่นใจเมื่อมีกันและกัน
“ไม่น่าเชื่อเลยว่านายคือเจย์เดนคนนั้น” คิมโดยองเอ่ยขึ้นหลังจากเคลื่อนตัวออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย เพื่อคว้าเอาแก้วช็อกโกแลตร้อนขึ้นมาดื่ม “นายไม่เคยบอกฉันเลยจนฉันต้องมารู้ด้วยตัวเอง”
“ผมแค่อยากให้พี่จดจำว่าผมคือจองแจฮยอน ชาวเกาหลี อายุ 25 ปี ไม่ใช่เจย์เดน จิตรกรชื่อดังที่อายุ 25 ปี” โดยองชะงักไปเล็กน้อยกับคำตอบที่ไม่ทันได้ตั้งตัว แจฮยอนผินหน้าไปมองทางอื่น เขารู้สึกว่าโดยองแตกต่างจากคนอื่นก็จริง แต่เขาก็อดคาดเดาไม่ได้เลยว่าบางส่วนของโดยองก็คงจะเหมือนกับคนอื่น “ก็เท่านั้น..”
ความเงียบโรยตัวลงมาแทรกระหว่างพวกเขาทั้งสอง คิมโดยองวางแก้วช็อกโกแลตไว้ที่เดิมก่อนจะยื่นมือไปวางบนมือของอีกฝ่าย ความอบอุ่นที่ได้รับจากแก้วช็อกโกแลตทำให้อุณหภูมิของเขาสูงมากขึ้น และมือของโดยองก็อบอุ่นพอที่จะส่งผ่านความรู้สึกที่มีไปให้อีกคนได้รับรู้
“ฉันไม่เคยบอกว่าฉันชอบนายที่นายเป็นเจย์เดน นายที่ฉันรู้จักก็มีแค่จองแจฮยอน” คิมโดยองตอบกลับ เผยรอยยิ้มกว้างสดใส “แล้วฉันก็ตกหลุมจองแจฮยอนคนธรรมดา ๆ ไม่ใช่เจย์เดนจิตรกรชื่อดังอะไรนั่น”
แสงแดดสาดส่องแทรกตัวผ่านช่วงว่างของรอยต่อผ้าม่าน จองแจฮยอนลืมตาขึ้นมาโดยมีอีกคนนอนอยู่ในอ้อมกอด และยังคงไม่มีทีท่าว่าจะตื่นง่าย ๆ ดวงตาเรียวคู่สวยที่ยามเปิดออกสดใสราวกับคริสตัลที่มีดวงดาวอยู่ภายใน ยามปิดลงก็น่าหลงใหลไปกับความบริสุทธิ์ ริมฝีบางบางได้รูปขยับละเมอเล็กน้อยเรียกรอยยิ้มจากคนตัวใหญ่ได้ไม่ยาก และองค์ประกอบที่หล่อหลอมออกมาเป็นคิมโดยองช่างน่ารักเกินต้านทาน
“พี่เคยถามว่าผมขอพรว่าอะไร” จองแจฮยอนเอ่ยเสียงเบา เขาไม่ต้องการจะปลุกอีกฝ่ายให้ตื่น ขณะเดียวกันเขาเพียงอยากจะเอ่ยบอกให้ได้รับรู้ “ผมขอให้พี่อย่าเพิ่งไปรักใคร”
เสียงร้องในลำคอดังขึ้น เรียวคิ้วของคนขี้เซาขมวดย่นเข้าหากันราวกับมีคนมากวนใจ แจฮยอนยกยิ้มน้อย ๆ เชิงเอ็นดูก่อนจะลูบศีรษะกลมแล้วทัดปอยผมไว้ที่หลังหู ใช้หลังมือไล้แก้มนวลเนียน กระทั่งอดใจไม่ได้ต้องประทับริมฝีปากลงไปที่แก้มนั้น
“ผมเป็นพวกที่ไม่ใช้คำว่ารักพร่ำเพรื่อ” จองแจฮยอนว่าพลางพรมจูบที่เปลือกตาของอีกคน ก่อนจะขยับเคลื่อนไปที่ข้างหูแล้วกระซิบแผ่ว
“แต่พี่คือคนที่ผมอยากจะบอกรักในทุกวัน”
End.
note: ฟิคเรื่องนี้เคยลงไว้กับโปรเจ็กต์ของแจโดวีคลี่ค่ะ แต่ส่วนตัวเรารักเรื่องนี้มาก ๆ ก็เลยอยากเอามาลงในพื้นที่ของตัวเอง ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in