เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Hop, step, and jump!summerdaisy
(Jaedo) Out of the Shades - 1/2
  • 1/2

    หยาดฝนโปรยปรายมาเป็นครั้งที่เหนื่อยเกินจะนับ แม้ว่าฤดูหนาวจะมาเร็วกว่าทุกปี แต่สายฝนก็ยังไม่ผ่านพ้นไปสักที กลับทำให้อากาศทวีความหนาวเหน็บมากขึ้นไปอีกเท่าตัว และก็คงเป็นเพราะสายฝนอีกครั้งที่ทำให้เมืองที่แสนวุ่นวายอย่างแมนฮัตตันดูโกลาหลยิ่งกว่าเดิม ผู้คนต่างเร่งรีบที่ถึงจะเหยียบเท้าหรือวิ่งชนกันก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะขอโทษขอโพย อย่างคำกล่าวที่ว่า เมืองใหญ่มากเท่าไหร่ คนใจแคบลงเท่านั้น

    คิมโดยองเองก็ไม่ต่างจากคนอื่น เขากำลังจะกลายเป็นผักกาดเหี่ยว ๆ ในชีสเบอร์เกอร์ เพราะอากาศที่เพื่อนร่วมทางแบ่งปันมาให้เขาช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน ชายหนุ่มสัญชาติเอเชียที่นอกจากจะตัวผอมบางแล้วความสูงก็ยังไม่เท่าเทียมกับพวกชาวอเมริกันตัวยักษ์ใหญ่ ในรถไฟใต้ดินแสนแออัดแบบนี้ ขอให้เขามีชีวิตรอดออกไปก็เป็นพระคุณมากแล้ว

    ระหว่างรอสัญญาณไฟข้ามถนน ภายใต้ร่มสีเทาที่ที่โดยองเอาพาดไว้ที่ไหล่ข้างขวา แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เม็ดฝนก็ยังขยันโรยตัวลงมาราวกับไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย เสียงพูดคุยกันของคนรอบข้างผลัดกันเข้ามาในโสตประสาทของเขา ถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อน คงฟังภาษาพวกนี้ไม่ได้ศัพท์เท่าไหร่ การก้าวเข้ามาอาศัยในสังคมที่มีความศิวิไลซ์มากกว่าที่เคยอยู่ทำให้เขาได้รับรู้ถึงสัจธรรมเรื่องหนึ่งของโลกที่ว่าไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด มีความเจริญทางด้านวัตถุแค่ไหน หัวเรื่องที่ถูกหยิบเอามาพูดคุยมักจะเป็นเรื่องของบุคคลที่สามอยู่แทบจะตลอดเวลา บางครั้งเขาก็เกิดสงสัยกับตัวเองว่าคนเราจะพูดถึงเรื่องคนอื่นไปทำไมในเมื่อพอถึงเวลาพวกเขาก็เห็นแก่ตัวอยู่ดี

    สัญญาณรอข้ามถนนเหลืออีกห้าวินาที โดยองสังเกตว่าเพื่อนร่วมทางของเขาเริ่มจัดแจงตัวเองให้พร้อมสำหรับการก้าวขาออกเดิน ไม่ว่าจะเป็นคุณป้าผมสั้นร่างท้วมที่ยืนอยู่ข้างหน้า หล่อนใช้อ้อมแขนข้างหนึ่งที่ว่างจากการถือร่ม โอบกอดถุงกระดาษสีน้ำตาลจากร้านสะดวกซื้อ สอดส่องสายตาตรวจสอบภายในถุงว่ามีอะไรตกหล่นไปหรือไม่ ส่วนเด็กหนุ่มสวมหมวกเบสบอลกันฝนต่างร่มที่ปั่นจักรยานมาข้าง ๆ ก็อยู่ในท่าเตรียมพร้อมเช่นกัน ไม่ว่าใครก็อยากจะก้าวข้ามทางม้าลายนี้เป็นคนแรก โดยองอาจจะแปลกแยกที่เขาไม่เห็นจะรู้สึกว่าจะต้องรีบร้อนไปไหน อาจเป็นเพราะเขาสูญเสียแรงบันดาลใจส่วนใหญ่ในการใช้ชีวิตไปตั้งนานแล้ว

    ชีวิตของโดยองจืดชืดราวกับสีเทียนที่เขียนไม่ออก ไม่ว่าจะออกแรงกดเท่าไหร่ ภาพนั้นก็ดูไม่เหมือนถูกแต้มสีลงไป ยังคงไร้สีสันอยู่ดี และเขาเองก็ไม่ถนัดเรื่องการวาดรูประบายสีมาแต่ไหนแต่ไร ซีบวกคือเกรดที่ดีที่สุดของเขาในวิชาศิลปะสมัยมัธยมปลาย โดยองยืนกรานไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่าทฤษฎีสีมีความสำคัญต่อชีวิตมากเท่าทฤษฎีการทำอาหาร แต่ทำไมผู้คนถึงให้ความสนใจกับความสวยงามปลอมเปลือกได้มากมายขนาดนั้น เป็นคำถามที่ติดค้างในใจของเขามาตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกจนถึงตอนนี้

    ในย่านมิดทาวน์ของแมนฮัตตันไม่เคยหยุดนิ่ง สว่างไสวอยู่ตลอดเวลา เสียงแตร และเสียงไซเรนของยานพาหนะหลากชนิดดังขึ้นไม่ขาดสายพอ ๆ กับเสียงเม็ดฝนที่ตกกระทบลงบนพื้นผิวของร่มนับพันคันของผู้คนเดินเท้า บริเวณจุดตัดของถนนฟิฟท์เอเวนิวและถนนเวสต์ 34 ภาพถ่ายของตึกเอ็มไพร์สเตตที่มีตึกไครสเลอร์เป็นฉากหลังยังคงสวยงามในสายตาของใครหลายคน และของจริงก็ยังคงสวยงามอยู่อย่างนั้น พวกมันยังคงโดดเด่นอยู่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าอื่น ๆ ได้ อาจจะเป็นเพราะมันถูกจดจำมาก่อน มันเป็นเพียงข้อสันนิษฐานที่ไม่น่าเชื่อถือของคิมโดยอง ชาวเอเชีย สัญชาติเกาหลี วัย 27 ปี

    หลังจากเปิดประตูเข้ามาทางด้านหลังของร้าน โดยองเสียบร่มของเขาไว้ในถังที่มีร่มคันอื่นอยู่ก่อนแล้วประมาณสามถึงสี่คัน ตั้งใจจะบันทึกเวลาทำงาน โดยองจึงเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่ติดไว้กับผนัง ก่อนจะเขียนตัวเลขนั้นลงไปในช่องว่างข้าง ๆ ชื่อของตัวเอง

    6.23 PM
    มาทันเวลาแบบฉิวเฉียด โดยองลอบปาดเหงื่ออยู่ในใจ เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาพร้อมกับเสียงผิวปากของใครบางคน เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นผู้จัดการเบนสันที่ดูอารมณ์ดีกว่าทุกวัน ชายวัยสี่สิบที่ไรผมตรงหน้าผากเริ่มร่นถอยไปด้านหลังเดินผ่านเข้ามาขยี้ผมของนักร้องรับจ้างชาวเกาหลีคนนี้แล้วก็จากไปโดยไม่ลืมที่จะเอ่ยทักทาย นับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลก เพราะปกติผู้จัดการเบนสันมักจะหงุดหงิดมาจากบ้านเพราะทะเลาะกับภรรยาชาวออสเตรเลียเป็นประจำ ทำเอาโดยองได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความฉงนใจ

    ไม่ทันได้ตั้งตัว โนร่า หัวหน้าแม่ครัวก็หยิบแท่งมันฝรั่งทอดที่เพิ่งทอดเสร็จใหม่ ๆ เข้าปากของเขา ทำเอาน้ำตาแทบไหลเพราะความร้อน โดยองกำลังตกอยู่ในสภาวะงุนงงเฉียบพลัน เพราะไม่ใช่แค่ผู้จัดการเบนสัน แต่พนักงานคนอื่น ๆ ก็ดูอารมณ์ดีไม่แพ้กัน ได้ยินเสียงฮัมเพลงของเฮนรี่ เด็กล้างจานก็แว่วขึ้นมาประสานกับเสียงนักดนตรีที่กำลังทำการทดสอบระบบเสียงอยู่ข้างหน้าร้าน เขาจึงได้สติว่าที่ที่เขาควรอยู่ไม่ใช่ตรงนี้ แต่เป็นข้างหน้าร้านต่างหาก

    โดยองวางแก้วน้ำไว้ที่โต๊ะข้าง ๆ ก่อนจะเริ่มทักทายแล้วทำการทดสอบระบบเสียงไปกับเพื่อนนักดนตรี

    “หัวข้อวันนี้คืออะไร” โดยองเอ่ยถามกับโจเอล มือกีตาร์เพื่อนสนิทอายุรุ่นเดียวกันเกี่ยวกับหัวข้อของเพลงในวันนี้ ซึ่งช่วงนี้มักเป็นเพลงอกหักเสียส่วนใหญ่ นั่นก็เพราะหัวหน้าวงอย่างไมเคิลเพิ่งเลิกกับคนรักมาหมาด ๆ ทำเอาบรรยากาศหมองหม่นไปทั้งร้านในช่วงแรก

    “เพลงรักล่ะมั้ง” โจเอลตอบขณะที่กำลังง่วนกับการปรับจูนเสียงของกีตาร์ตัวเก่ง ก่อนจะเอ่ยต่อโดยไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมาหาคู่สนทนา “เห็นว่าไมเคิลคืนดีกับอลิซแล้ว”

    นานมากแล้วที่ไม่ได้ร้องเพลงรัก คงจะดูไม่ทำตัวเคอะเขินเกินไป โดยองหวังอย่างนั้น

    9.45 PM
    ในร้านเริ่มจะเต็มไปด้วยเหล่านักท่องราตรีทั้งหญิงและชาย เสียงเพลงรักที่เป็นหัวข้อของวันนี้ถูกบรรเลงอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดที่คนร้องอย่างโดยองแทบจะสำลักให้กับความหวานเลี่ยนของเนื้อเพลง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเป็นนักร้องที่ดีที่สุดของร้านนับตั้งแต่มีมา เสียงร้องหวานหูของชายชาวเกาหลีที่ไม่เหมือนใครอื่น ราวกับเป็นเสียงที่พระเจ้าบรรจงสรรค์สร้างมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ ใครหลายคนบอกว่าเขามีพรสวรรค์ แต่โดยองคิดว่ามันไม่ใช่พรสวรรค์ แค่การร้องเพลงเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ดีที่สุดจากทั้งหมดก็เท่านั้น

    โดยองยกแก้วขึ้นชนกลางอากาศกับยอดนักดื่มหลายต่อหลายคนที่เกิดประทับใจในน้ำเสียง ถึงส่วนมากจะเป็นแก๊งของสตีฟที่เป็นลูกค้าประจำก็ตาม

    ในระหว่างที่เพลง Mine ของ Bazzi ในรูปแบบของโดยองกำลังเล่นอยู่นั้นมีผู้ชายคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาในร้าน คนที่เขาไม่คุ้นหน้า หน้าตาหล่อเหลาราวกับเจ้าชายในเทพนิยายเพ้อฝันที่เด็กผู้หญิงชื่นชอบ ชายคนนั้นกวาดตามองหาที่นั่ง ในที่สุดก็เลือกนั่งลงที่บาร์สำหรับนั่งดื่มคนเดียว สั่งเครื่องดื่มกับบาร์เทนเดอร์ก่อนจะยกขาขึ้นไขว่ห้าง หมุนเก้าอี้มาทางเหล่านักดนตรีเพื่อรับชมการแสดงอย่างคนอื่น ๆ เพียงสบตากันเพียงเสี้ยววินาทีก็ราวกับมีสายฟ้าผ่าฟาดลงมากลางระยะสายตาของโดยอง ทัศนวิสัยดับวูบไป ทว่ากลับมามองเห็นอีกครั้งในชั่วอึดใจ นักร้องหนุ่มยกมือขึ้นมากดนวดบริเวณหัวตาดูท่าไม่ค่อยดี จนโจเอลผิดสังเกตเอ่ยถามขึ้นมา

    “เฮ้! นายโอเคหรือเปล่า”

    โดยองยกมือบอกปัดไปว่าเขาไม่เป็นไร ก่อนจะตั้งสติพร้อมทั้งรวบรวมสมาธิอีกครั้ง กล่าวขอโทษลูกค้าที่อยู่ ๆ ก็หยุดร้องไป

    “เดี๋ยวจะเล่นเพลงนี้ใหม่อีกรอบนะครับ”

    เสียงเพลงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง โดยองเงยหน้าขึ้นมา เรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันแสดงอารมณ์ ณ ขณะนี้ของชายหนุ่ม เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเป็น ชีวเคมีในร่างกายกำลังตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เขาหาต้นเหตุของมันไม่เจอ เขาหยุดเวลาที่กำลังเดินหน้าต่อให้ชะงักงันไปอีกครั้งด้วยตัวเอง เมื่อค้นพบว่าภาพที่เขาเห็นมันไม่ได้มีแต่สีเทาอีกต่อไป แต่ไม่ว่าจะกะพริบตาอีกสักกี่ล้านรอบภาพตรงหน้าของเขามันก็ไม่กลับมาเหมือนเดิมสักที

    จุด ๆ หนึ่งในร้านที่มีผู้คนมากมายก็คือชายหนุ่มที่หล่อเหลาราวกับภาพวาดชิ้นเอก เป็นเพียงคนเดียวในร้านที่เมื่อไหร่ก็ตามที่โดยองมองไป ความรู้สึกจุกแน่นตรงอกที่ไม่สามารถอธิบายได้มันก็พลันหวนกลับมาอีกครั้ง

    แรงสะกิดที่สีข้างทำให้โดยองสะดุ้งตกใจ โจเอลยืนเท้าเอวมองเขาด้วยสายตาละเหี่ยใจ เมื่อหันไปมองรอบ ๆ เพื่อนนักดนตรีคนอื่นก็ตกอยู่ในอารมณ์เดียวกับโจเอล หากแต่ก่อนที่จะได้รับคำถามจากใคร หนุ่มชาวเอเชียคนนี้กลับเอ่ยปากกระซิบถามคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดขึ้นมาก่อน

    “โจเอล ผู้ชายคนที่เพิ่งเข้ามาคนนั้นใส่เสื้อสีอะไร” คำถามของโดยองทำเอาโจเอลหรี่ตามองพร้อมกับเรียวคิ้วขมวดชนกัน

    “ไม่น่าถาม ก็สีน้ำเงินน่ะสิ” แต่ถึงอย่างนั้น โจเอลก็ใจดีพอที่จะตอบคำถามของโดยอง

    “นั่นล่ะ” โดยองชี้ไปที่สมุดบันทึกที่เหน็บเอาไว้ตรงกระเป๋ากางเกงยีนส์ขาด ๆ ของเพื่อนมือกีตาร์

    “อะไรของนาย ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” โจเอลทำหน้าแปลกใจกับท่าทีของเพื่อนชาวเกาหลี

    มันคงเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่จะบอกว่าโดยองเกิดมาพร้อมกับความบกพร่องทางร่างกายที่ไม่สามารถรับรู้หรือมองเห็นสีใด ๆ ได้เลย เขาเกิดมาพร้อมกับภาวะตาบอดทุกสี มองเห็นโลกเป็นแค่สีเทาเท่านั้น อาจจะไล่เฉดสีบ้างนิดหน่อย แต่นั่นก็เป็นเพียงแต่สีเทาอยู่ดี และโดยธรรมชาติของโดยอง เขาไม่ใช่คนที่ชอบบอกกล่าวเรื่องราวของตัวเองให้กับทุกคนฟังขนาดนั้น จึงทำให้บทสนทนานี้กลายเป็นบทสนทนาแสนงี่เง่าระหว่างชายวัย 27 สองคน

    “สีอะไร” โดยองถามย้ำ แววตาดื้อรั้นกว่าทุกที

    “น้ำเงิน” โจเอลเลี่ยงไม่ได้จึงตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ ก่อนจะได้รับสัญญาณจากเพื่อนนักดนตรีคนอื่น ๆ ว่าให้เริ่มเล่นดนตรีได้แล้ว

    You so fuckin’ precious when you smile
    Hit it from the back and drive you wild
    Girl, I lose myself up in those eye
    I just had to let you know you’re mine


    โดยองหลับตาลงแล้วถ่ายทอดความรู้สึกที่มีผ่านบทเพลง ถึงแม้ว่าตัวเขาจะไม่ค่อยชอบเพลงรักสักเท่าไหร่ แต่สำหรับเพลงนี้ โดยองสัมผัสได้ถึงอะไรที่เป็นมากกว่าความหวานของเนื้อเพลง คงจะเป็นทัศนคติในเรื่องของความสัมพันธ์ที่เขาแทบจะถูกเนื้อเพลงเรียบง่าย ความยาวโดยรวมเพียงแค่สองนาทีต้น ๆ โอบล้อม ไล่ต้อนเขาให้จนมุมในตอนสุดท้าย อดใจไม่ไหวจนต้องบันทึกมันไว้ในเพลย์ลิสต์ตั้งแต่วันแรกที่ได้ฟัง โดยไม่มีความคิดจะเอาออกไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ตาม

    Hands on your body, I don’t wanna waste no time
    Feels like forever even if forever’s tonight
    Just lay with me, waste this night away with me
    You’re mine, I can’ t look away, I just gotta say

    โดยองผ่านความสัมพันธ์มาหลายรูปแบบตามประสาคนทั่วไป มีคนแวะเข้ามาหมุนเวียนในวงโคจรเดียวกัน แต่ก็เพียงแค่เข้ามาเที่ยวเล่นแล้วก็จากไป ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขามีวันที่ยิ้มได้ มีวันที่ร้องไห้อยู่เหมือนกัน ถึงแนวโน้มของความสัมพันธ์ของเขาตกไปอยู่ส่วนหลังเสียมากกว่าส่วนแรก ในบางความสัมพันธ์ โดยองร้องไห้จนนึกว่าจะไม่เหลือน้ำตาให้ไหลแล้วในตอนที่คนรักของเขาได้จากไปไกลแสนไกล ที่ที่ไม่มีวันจะได้พบกันอีก แต่ในท้ายที่สุดเขาก็รับรู้ว่ามันไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดนั้น เขายังคงมีชีวิตอยู่ต่อได้ตามปกติ อาจจะขาดแรงจูงใจไปบ้าง แต่มันก็ไม่ถึงกับตาย

    บทเพลงรักที่หนึ่งในใจของโดยองได้จบลงไป เขากวาดสายตามองดูลูกค้าที่ดูเพลิดเพลินไปกับอาหาร เครื่องดื่ม และเสียงดนตรี มาหยุดอยู่ที่เขาคนนั้น คุณเสื้อสีน้ำเงิน เป็นฉายาที่โดยองตั้งให้เมื่อราว ๆ สิบนาทีที่แล้ว เขาคนนั้นยกแก้วเบียร์ของตัวเองขึ้น โดยองจึงหยิบของตัวเองมาชนแก้วกับเขากลางอากาศ เหมือนกับที่เคยทำกับลูกค้าคนอื่น ๆ

    หลังจากจิบเบียร์รสชาติดีก็ลอบมองไปยังคุณเสื้อสีน้ำเงินอีกครั้งอย่างเผลอตัว รอยยิ้มที่ทำให้แก้มทั้งสองข้างของเขาเป็นรอยบุ๋มเข้าไป เป็นรอยยิ้มที่ละมุนละไม แต่ขณะเดียวกันก็ดูร้ายกาจพร้อมจะฉุดกระชากคนที่เผลอหลงเสน่ห์ให้ตกลงไปในหุบเหวของรอยยิ้มนั้นได้เช่นกัน – ดวงตาสองคู่สอดประสานกัน พร้อมกับความรู้สึกจุกแน่นตรงหน้าอกที่ตอนนี้โดยองรู้แล้วว่ามันคืออะไร

    หัวใจที่เต้นเร็วขึ้นจนน่าหวั่นใจ
    นานมากแล้วที่ไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้

    ช่วงพักของนักดนตรี โดยองขอตัวไปสูดอากาศข้างนอก ฝนหยุดตกไปแล้ว บนพื้นยังเหลือน้ำนองอยู่บ้าง อากาศหนาวมากกว่าเดิม เพราะเวลาที่ดึกดื่นบวกกับความชื้นของอากาศที่ยังหนาแน่น เพียงลมพัดเบา ๆ ก็ทำให้เขาขนลุกเกรียวกราว แต่โดยองยังยืนยันที่จะอยู่ที่เดิม เขาถอนหายใจระหว่างยืนกินลมชมวิวอยู่ตรงนั้น สักพักหนึ่งกลุ่มควันสีขุ่นล่องลอยเข้ามาสู่ในระยะสายตาพร้อมกับกลิ่นเฉพาะตัวที่ต้องยกมือขึ้นมาปิดจมูก โดยองจึงรับรู้ว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่คนเดียวอีกแล้ว

    “ถอนหายใจอย่างกับคนแก่”

    “เงียบน่าโจเอล” โดยองทำหน้านิ่วไม่สบอารมณ์ “มาสูบบุหรี่อะไรตอนนี้”

    “จะให้ฉันไปสูบตอนอายุ 60 หรือไร” โจเอลกวนประสาทเพื่อนชาวเอเชียที่มักจะอารมณ์เสียง่ายข้าง ๆ

    “จะอยู่ถึงหรือเปล่าเถอะ” โดยองเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชันเล็กน้อยพลางกลอกตาผินหน้าไปทางอื่น

    โจเอลแค่นหัวเราะเบา ๆ และก่อนที่จะถูกเดินหนี เขาก็รั้งข้อมือของโดยองไว้ได้ก่อน ทำให้คนโดนรั้งหันมามองพร้อมทั้งชักสีหน้าไม่พอใจ

    “อะไร” โดยองเอ่ยถามห้วน

    “มีบัตรเข้าชมนิทรรศการศิลปะอยู่สองใบ พรุ่งนี้ไปกัน” โจเอลล้วงกระดาษขนาดเล็กกว่าฝ่ามือออกมาจากกระเป๋ากางเกง ชูให้กับคนตรงหน้าดู

    “นิทรรศการศิลปะ?”

    โดยองไม่รู้จะเริ่มถามโจเอลถึงประเด็นไหนก่อนดี เขารู้มาบ้างว่าโจเอลเป็นคนสุนทรีย์และชอบเสพงานศิลป์ แต่ไม่ยักรู้ว่าจะมีเงินมากพอที่จะซื้อบัตรเข้าชมงานนิทรรศการศิลปะที่กำลังจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อะไรสักอย่างแถว ๆ ย่านนี้ อย่างไรก็ตามมันงานระดับสูงที่คงจะไม่เหมาะกับพวกนักดนตรีไส้แห้งอย่างพวกเขา – โดยองหรี่ตามองด้วยความรู้สึกไม่ไว้วางใจ ราวกับกำลังค้นหาคำตอบว่าโจเอลต้องการอะไรกันแน่ ถ้าจะชวนไปเดท สู้ชวนสาว ๆ ที่ตัวเองชอบไปหว่านเสน่ห์ไปทั่วไม่ดีกว่าหรือ

    “ไปเถอะ” โจเอลอ้อนวอน

    “โอเค” ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดให้มากไปกว่านี้ โดยองก็เลยตอบรับไปอย่างไม่ใส่ใจ อย่างไรก็ตามวันพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุด แล้วเขาก็ไม่มีแผนการจะทำอะไรอย่างอื่นนอกจากนอนเล่นอยู่ในห้อง คิดไปคิดมา ก็คงจะดีไม่น้อยที่ได้ออกนอกห้องไปเปิดหูเปิดตาดูโลกสักนิดสักหน่อย

    “ให้มันได้อย่างนี้สิ เจอกันที่สถานี สิบโมงตรง”

    ว่าเสร็จโจเอลก็เดินกลับเข้าร้านไปพร้อมกับทิ้งก้นบุหรี่ให้เป็นขยะอยู่ข้างนอกร้าน โดยองเก็บบัตรเข้าชมแกลเลอรี่ในกระเป๋ากางเกงอย่างไม่ใส่ใจ และก่อนจะเดินตามโจเอลเข้าร้านไป เขาก็ไม่ลืมที่จะขยี้ก้นบุหรี่ให้กับเพื่อน เพราะไม่อยากเห็นข่าวไฟไหม้ร้านอาหารดังย่านมิดทาวน์ในตอนเช้า

    กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ร้านอีกครั้ง กลับไม่พบคุณเสื้อสีน้ำเงินอีกแล้ว โดยองไม่ได้รู้สึกสงสัยหรือว่านึกเสียดายที่การพบเจอกันมันสั้นเกิน อย่างไรก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่รู้ที่มาอยู่ดี เขาทำสมาธิก่อนจะจดจ่อกับงานที่ทำต่อจนถึงเวลาเลิกงาน ลูกค้าส่วนใหญ่ทยอยกลับไปตั้งแต่ก่อนร้านจะปิด จะเหลือก็แต่พวกที่เมาแล้วหาทางกลับไม่ได้ ต้องลำบากพนักงานลากออกไปข้างนอกร้าน โดยองส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะขอตัวกลับบ้าง

    เขามองหาร่มของตัวเองในถัง แต่ไม่มีร่มคันไหนที่ดูเหมือนจะเป็นของเขาเลย ร่มสีเทาคันนั้น โดยองขมวดคิ้วอีกครั้ง เขาเดินง่วนสอดส่องสายตาไปทั่วเพื่อตามหามัน ถึงแม้จะเป็นแค่ร่มคันถูก ๆ ที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อแถวบ้าน แต่โดยองเป็นคนรักษาของ เขาจะถนอมของของเขาไว้ จนกว่ามันจะพังจนใช้การไม่ได้ถึงจะตัดใจยอมทิ้ง

    “หาอะไรอยู่” ผู้จัดการเบนสันเดินเข้ามาถามไถ่ หลังจากเห็นโดยองเดินวนไปทั่ว

    “ร่มครับ” โดยองตอบกลับโดยไม่ได้หันไปมองหาผู้ถาม ยังคงยกนู่นยกนี่ออกจากโต๊ะเผื่อว่าจะเจอของที่ตามหาอยู่ ซึ่งนั่นเป็นการกระทำที่ไร้สาระ ร่มของเขาไม่ได้เล็กขนาดนั้นสักหน่อย

    “นี่ไง! ร่มของเธอ” ผู้จัดการเบนสันเดินผ่านชายหนุ่มวัย 27 ที่จำร่มตัวเองไม่ได้ราวกับเด็กประถมที่ชอบสลับรองเท้ากับเพื่อน หยิบร่มสีน้ำเงินคันหนึ่งออกมาจากถังเก็บร่ม แล้วยื่นมันให้กับเจ้าของแสนงุ่มง่าม

    “ผมว่าร่มของผมมันเป็นสีเทานะ” โดยองรับร่มคันนั้นมาแบบงง ๆ แต่ก็ไม่วายจะเอ่ยแย้ง เพราะเขายังคงเชื่อมั่นในร่มสีเทาของเขา

    “คันนี้แหละ เพราะอีกสองคันที่เหลือมันเป็นของฉันกับโนร่า” ผู้จัดการเบนสันขยายความให้แก่ชายหนุ่ม และคะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายไปนอนพักได้แล้ว

    ไม่ว่าใครก็คิดว่าโดยองดูแปลกไปสำหรับวันนี้



    ห้อง A612
    ไขกุญแจเข้ามาในห้องเช่าห้องหนึ่ง ไม่กว้างมากเท่าไหร่ แต่ก็กว้างพอที่ทำให้รู้สึกเหงา และหนาวเย็นไปบ้าง แต่โดยองก็ปรับตัวกับความโดดเดี่ยวมาได้ตั้งนานแล้วนับตั้งแต่ความสัมพันธ์ครั้งล่าสุดสิ้นสุดลงไปเมื่อสองปีก่อน

    โดยองชอบใช้เวลาในการนึกทบทวนสิ่งที่ได้เจอในวันนี้โดยการขังตัวเองในสายน้ำอุ่นที่ไหลลงมาจากฝักบัว และสิ่งที่เอาแต่โผล่เข้ามาในหัวของเขาก็คือ ‘คุณเสื้อสีน้ำเงิน’ เขาไม่สามารถลบรอยยิ้มของชายแปลกหน้าคนนั้นออกไปจากความทรงจำไปได้ รวมถึงหัวใจของเขาก็ดูไม่รักดีที่มันเต้นรัวจนควบคุมไม่ได้ และโดยองก็เพิ่งจะเคยประสบเหตุการณ์คนแปลกหน้าที่มีผลต่อหัวใจแบบนี้เป็นครั้งแรกจนไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไร

    ไอน้ำฟุ้งครอบคลุมอยู่ทั่วบริเวณ โดยองเอาฝ่ามือปาดกระจกที่ขึ้นฝ้าเผยให้เห็นถึงใบหน้าที่แดงระเรื่อของเขา ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอุณหภูมิของน้ำที่ทำให้อุณหภูมิร่างกายของเขาสูงไปด้วย หรือเป็นเพราะเขาเอาแต่คิดถึง ‘คุณเสื้อสีน้ำเงิน’ กันแน่

    และแล้ว ‘คุณเสื้อน้ำเงิน’ ก็ได้มาปรากฏตัวในความฝันสีเทาของโดยองจนได้



    เช้าวันเสาร์ เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่โดยองอยากจะฝังตัวเองจมลงไปในที่นอนนุ่มสบาย แต่เขาก็ลากสังขารพาตัวเองมาที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ในย่านมิดทาวน์นี้ตามคำสัญญาที่ให้กับโจเอลจนได้ คนที่มองทุกอย่างเป็นสีเทาอย่างเขาไม่มีความกระตือรือร้นอะไรกับงานศิลปะที่จัดแสดงอยู่เลยแม้แต่น้อย เขามองว่ามันเป็นเพียงการสาดสีลงไปบนผืนผ้าใบที่ไร้ซึ่งความหมายใด ๆ ต่างจากโจเอลที่ดีใจที่ได้มาเยือนจนเนื้อเต้น และเอาแต่เอ่ยชมเจ้าของผลงานศิลปะที่กำลังจัดแสดงอยู่นี้ไม่ขาดปาก

    “เดี๋ยวก่อนนะ นายบอกว่าเขาไม่เคยเปิดเผยตัวตน?” โดยองรู้สึกตงิดใจกับคำเอ่ยอ้างของเพื่อนผู้มีอารมณ์สุนทรีย์

    “ใช่ เจย์เดนน่ะ ไม่เคยเปิดเผยตัวตน แม้ว่าจะถูกขอสัมภาษณ์ส่วนตัวจากนิตยสารศิลปะ หรือแม้กระทั่งจากสำนักข่าวชื่อดัง ก็บอกเพียงแค่เขาอายุ 25 ปี” แววตาของโจเอลมีแต่ความชื่นชมให้แก่จิตรกรที่มีนามแฝงว่าเจย์เดนเต็มเปี่ยมจนโดยองรู้สึกขนลุกกลาย ๆ “แสดงให้เห็นว่าเขารักศิลปะโดยแท้จริง แต่ไม่ต้องการที่จะโด่งดัง และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ฉันรักเขา”

    คนฟังก็ได้แต่แค่นหัวเราะออกมา เพราะโจเอลดูจะคลั่งไคล้จิตรกรที่ไม่รู้จักหน้าคนนี้ถึงขนาดที่บอกว่ารักเลยทีเดียว

    “...ก็เป็นปกติของคนพวกนี้ไม่ใช่เหรอ” โดยองเลิกคิ้วไม่รู้ร้อนรู้หนาว เอ่ยเสียงยานราวกับเบื่อหน่ายเต็มที คนพวกนี้หรือจิตรกรเหล่านี้ในความเข้าใจของเขานั้นเป็นบรรดาคนผมเผ้ารุงรัง หนวดเคราดูมอซอ สวมเสื้อตัวโคร่งกับกางเกงย้วย ๆ คงจะไม่ชอบออกสื่อสักเท่าไหร่

    แม้ว่าโดยองจะไม่ได้แสดงอาการสนใจกับสิ่งที่โจเอลพยายามชักจูงเขาให้ก้าวเข้าไปสู่โลกของศิลปะ แต่โจเอลก็ยังคงพูดต่อไปด้วยความยินดี ก้าวเท้าเดินถอยหลังพร้อมกับเล่าถึงภาพวาดต่าง ๆ ตามผนังเรียงรายราวกับเป็นมัคคุเทศก์ส่วนตัวของโดยองก็ไม่ปาน

    เจย์เดนกำลังออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อแสดงนิทรรศการรูปวาดของเขา ภายใต้ชื่อ Jayden: The Retrospective หลังจากการรอคอยอันยาวนานของโจเอลที่กินเวลาถึงปีครึ่ง ในที่สุดก็ได้มาเยือนที่แมนฮัตตันนี้เสียที เมื่อรู้ข่าวโจเอลก็ไม่หยุดอยู่กับที่ เขาเที่ยวไปเสาะแสวงหาตั๋วเข้าชมราคาแพงหูฉี่นี้มาจนได้โดยไม่เสียเงินสักดอลลาร์ด้วยการเข้าไปทำกิจกรรมตอบคำถามแฟนพันธุ์แท้ เชื่อเขาเลย โจเอลสุดยอดจริง ๆ

    แต่เป็นโจเอลที่คงจะตื่นเต้นเตลิดไปไกลจนทำให้พวกเขาพลัดหลงกัน โดยองเองก็คร้านที่จะเดินตามหา เขาตัดสินใจผจญภัยในดินแดนศิลปะนี้ด้วยตัวเอง

    โดยองเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าภาพหนึ่งที่จัดแสดงอยู่ใจกลางของห้อง เขาพยายามจะมองให้ออกว่ามันเป็นภาพอะไรด้วยความสามารถทางด้านศิลปะที่มีอยู่น้อยนิดของเขา ผลก็คือเขาไม่เข้าใจถึงความหมายของมันเลยสักนิด สิ่งที่เขาเห็นเป็นแค่ลูกกลม ๆ กับเส้นขยุกขยุยสีเทาหลากเฉดสีก็เท่านั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เจ้าของผลงานตั้งชื่องานศิลปะชิ้นนี้ว่า ‘A Journey of a Red Apple’ ตลกชะมัด เขานึกหัวเราะอยู่ในใจ ดูท่าจิตรกรรายนี้คงจะทำอาชีพนักชิมควบคู่ไปด้วย เพราะชื่อผลงานนั้นประกอบไปด้วยของกินเสียร้อยละเก้าสิบ

    ระหว่างเล่นเกมจ้องตากับเจ้าแอปเปิลสีเทาลูกนี้ สายฟ้าก็ผ่าลงมากลางภาพตรงหน้า โดยองตกใจที่อยู่ ๆ ทุกอย่างก็ดำมืดราวกับมีคนมาปิดไฟ แต่สักพักเจ้าแอปเปิลสีเทาของเขาก็ดูสดใสขึ้นมาเสียอย่างนั้น

    “สีแดง...” โดยองอุทานออกมาเบา ๆ พร้อมกับสายตาที่ยังคงค้างอยู่ที่แอปเปิลในภาพลูกนั้น

    “การเดินทางของแอปเปิลแดง... คุณชอบภาพนี้เหรอครับ” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหลัง ช่วยไม่ได้ที่จะต้องหันไปตามทางต้นเสียง โดยองถึงกับต้องถอยเท้าไปก้าวครึ่ง เพราะอีกคนได้ก้าวเข้ามายืนข้าง ๆ เขาในเวลาเพียงเสี้ยววินาที

    “ก็สวยดี... นะครับ” โดยองพูดติดขัดพอ ๆ กับลมหายใจที่พลอยจะติดขัดไปด้วย เป็นเพราะการปรากฏตัวกะทันหันของ ‘คุณเสื้อสีน้ำเงิน’

    “ผมก็ชอบเหมือนกัน” รอยยิ้มแก้มบุ๋มถูกส่งมา ทำให้โดยองสังเกตได้ถึงอะไรบางอย่างที่ปกติเขาไม่ค่อยจะมองเห็น

    “มีสีแดงเปื้อนที่หน้าของคุณน่ะ...” โดยองบอกไป พร้อมกับความรู้สึกประหลาดใจในตัวเองที่พูดคำว่า ‘สีแดง’ ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยจะเห็นสีของมันเลยสักครั้ง คงต้องขอบคุณภาพการเดินทางของแอปเปิลแดงที่ทำให้เขารู้จักกับสีแดง และเพิ่งรู้ว่าสีของมันทำให้ตาของเขาแสบไปหมด

    คุณเสื้อสีน้ำเงินที่วันนี้ใส่เสื้อสีเทากำลังใช้หลังมือพยายามเช็ดรอยแต้มสีแดงที่ข้างแก้ม โดยมีโดยองคอยบอกว่ารอยนั้นอยู่ตรงไหน คนที่เดินผ่านไปผ่านมาคงคิดว่าผู้ชายตัวสูงสองคนทำอะไรกันอยู่ โดยองรู้สึกได้ถึงสายตาเหล่านั้น

    โดยองนึกย้อนไปถึงคำพูดของโจเอลที่บอกกับเขาว่าที่นี่จะมีพนักงานรักษาสภาพของภาพวาดอยู่ด้วย เพื่อสอดส่องดูแลว่ามีใครมือบอนหรือเปล่า ซึ่งบางครั้งอาจจะมีสีเปรอะเปื้อนตามมือไม่ก็ใบหน้าบ้าง และโดยองก็คิดว่าชายคนนี้ก็คงเป็นแบบเดียวกัน

    “ว่าแต่... เราเคยเจอกันมาก่อนใช่ไหมครับ” ทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

    หลังจากได้รับรู้ได้ว่าพวกเขามาจากเกาหลีใต้ทั้งคู่ ภาษาอังกฤษจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป พวกเขาพูดคุยกันด้วยภาษาบ้านเกิดที่ดูเหมือนว่าต่างฝ่ายต่างไม่ได้พูดมานาน นำพาให้พวกเขามานั่งอยู่ในร้านกาแฟใกล้ ๆ กลิ่นกาแฟหอมอบอวลไปทั่วร้าน แต่โดยองเลือกจะสั่งเครื่องดื่มช็อกโกแลตร้อนมาดื่มเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายท่ามกลางอากาศหนาวด้วยเลของศาหลักเดียว

    โดยองรู้สึกทึ่งเล็กน้อยที่เขาดันอายุมากกว่าอีกฝ่ายถึงสองปี คุฯเสื้อสีน้ำเงินกลายมาเป็นชายหนุ่มอายุ 25 ปีที่ชื่อจองแจฮยอน เดินทางจากปารีสมาที่นิวยอร์กก็เพื่อเที่ยวเล่นหาแรงบันดาลใจ เขาบอกกับโดยองผู้ที่ขาดแคลนแรงบันดาลใจในมหานครนี้ว่าอย่างนั้น

    “พี่โดยองมาอยู่ที่นี่นานแล้วเหรอครับ” แจฮยอนดูเป็นเด็กช่างพูดกว่าที่โดยองคิด เอาแต่ถามนู่นถามนี่เกี่ยวกับตัวเขา และเขาก็ยินดีจะตอบ ผิดจากทุกทีที่เขามักจะอึดอัดไม่ก็รำคาญใจเวลามีคนมาจุ้นจ้านกับตัวเอง

    “ไม่นานเท่าไหร่ แค่สิบปี” โดยองตอบหลังจากดื่มช็อกโกแลตร้อน ฟองนมนุ่มละมุนทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายยิ่งกว่าเก่า เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายดังขึ้นมา เรียกสายตาของเขาให้จับจ้องไป “มีอะไรหรือเปล่า”

    แทนคำเอ่ยตอบ แจฮยอนเอื้อมมือมาเช็ดฟองนมที่ติดอยู่ตรงขอบริมฝีปากให้คนตรงหน้า สัมผัสอุ่นทำให้โดยองเผลอย่นคอหนี แล้วเหลือบตามองอีกฝ่ายดูเก้ ๆ กัง ๆ จนไม่รู้จะวางมือไม้ตรงไหน อาจจะด้วยความเคอะเขินที่ส่งผลให้เขารู้สึกว่าใบหน้ากำลังร้อนผ่าว

    “ขอโทษครับ” เหมือนแจฮยอนเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาได้ล่วงเกินอีกฝ่ายจึงชักมือกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเอ่ยขอโทษที่เสียมารยาท

    “ไม่เป็นไร” โดยองก็ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มให้น้อย ๆ

    พวกเขาคุยกันไปเรื่อย ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลงานของเจย์เดน แจฮยอนดูเหมือนจะเป็นคนชอบเสพงานศิลป์เหมือนกับโจเอล แต่ต่างจากโดยอง ตอนแรกเขานึกว่าอาจจะต้องฝืนใจกับบทสนทนาเกี่ยวกับงานศิลปะ – เปล่าเลย บทสนทนาระหว่างพวกเขาไหลลื่นไม่ติดขัด ถึงแม้จะเนิบช้าไปบ้าง แต่มันก็เป็นผลจากหัวข้อสนทนา ยิ่งมองตาของอีกฝ่าย เขาก็เหมือนกับกำลังถูกดึงดูดเข้าไปในโลกของแจฮยอน โลกที่เคยคิดว่ามันน่าเบื่อและไร้สีสันใบนั้นที่กำลังค่อย ๆ ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันอันน่าอัศจรรย์ใจ

    ลัทธิบาศก์นิยมหรือคิวบิสม์ และปิกัซโซเป็นหนึ่งในหัวข้อสนทนาของพวกเขา แน่นอนว่าคนอย่างโดยองไม่ได้เป็นคนเลือกหัวข้อที่ดูจะเข้าใจยากแบบนี้ ถึงเขารู้จักปิกัซโซก็จริง แต่เขาไม่มีทางรู้หรอกว่าปิกัซโซเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มลัทธิบาศกนิยม อย่างไรก็ตาม แจฮยอนกำลังพูดถึงเรื่องนี้ได้อย่างช่ำชอง ราวกับเป็นผู้ที่ศึกษามาแล้วอย่างถ่องแท้ ชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้ยังสามารถบอกได้อีกว่าผลงานของเจย์เดนมากกว่าครึ่งหนึ่งได้รับอิทธิพลมาจากปิกัซโซ

    “อย่างภาพการเดินทางของแอปเปิลแดงที่พี่โดยองชอบ... นั่นก็เป็นภาพที่เจย์เดนได้รับแรงบันดาลใจมาจากปิกัซโซกับลัทธิคิวบิสม์” แจฮยอนเล่าเรื่องของเจย์เดนให้โดยองฟังอย่างกับเป็นแฟนพันธุ์แท้ “ผมคิดว่ามันน่าวิเศษมาก”

    “ใช่... วิเศษมาก” วิเศษมากที่มีคนหลงใหลได้ปลื้มกับจิตรกรที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้าคนนี้อีกคนนอกจากเพื่อนสนิทมือกีตาร์ของเขา

    โดยองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าให้แจฮยอนกับโจเอลมาแข่งขันเรื่องของเจย์เดนแล้วใครจะเป็นผู้ชนะ – โดยองเลือกวางพนันข้างเพื่อนร่วมชาติอย่างไม่ลังเล เพราะอย่างน้อยเขาก็สัมผัสได้ว่าแจฮยอนดูจะรู้เรื่องของเจย์เดนอยู่ไม่น้อย จากเรื่องภาพวาดต่าง ๆ ที่อีกฝ่ายเล่าให้เขาฟังจนฟังไม่ทัน

    คิมโดยองคิดว่าจองแจฮยอนน่าหลงใหลเวลาที่เขาหลงใหลอะไรบางอย่าง

    “อีกเจ็ดวันผมจะกลับปารีส พี่โดยองพาผมไปเที่ยวหน่อยสิ” แจฮยอนเอ่ย น้ำเสียงดูเหมือนเด็กหนุ่มที่อยากจะให้คนโตกว่าเอาใจ จะมีก็แต่รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนจะเกรงใจอยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เขายังคงไม่ลดละความพยายามที่จะโน้มน้าวใจโดยองมาเป็นคนนำเที่ยวส่วนตัว “ตั้งแต่มาที่นี่ผมยังไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย ว่าแต่ผมบอกพี่ไปหรือยังนะว่าผมมาที่นี่เพื่อหาแรงบันดาลใจ”

    “ก็ได้อยู่หรอก...” โดยองไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกลายเป็นคนใจอ่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็เผลอตอบรับไปเสียแล้ว ถึงอย่างนั้นโดยองก็ยังขี้เก็กมากอยู่ดี “และเรื่องหาแรงบันดาลใจนายก็บอกฉันไปแล้วเมื่อราวครึ่งชั่วโมงก่อน ขี้ลืมนี่”

    แจฮยอนหลุดหัวเราะ และโดยองก็ควบคุมรอยยิ้มของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป



    ท่ามกลางตึกสูงเสียดฟ้ากับการจราจรแสนวุ่นวาย พื้นที่สีเขียวใหญ่โตกินพื้นที่กว่าหลายร้อยเอเคอร์คั่นกลางอยู่ระหว่างสองฝั่ง เซ็นทรัลพาร์คคือสถานที่หนึ่งที่ผู้คนมักจะมาพักผ่อนหย่อนใจหลีกหนีจากป่าคอนกรีต และความยุ่งเหยิงของชีวิต สังเกตได้จากครอบครัวนับสิบที่กำลังอบอุ่นร่างกายรับลมหนาว กลุ่มคนหนุ่มนั่งดื่มกาแฟคุยเล่นกันที่ม้านั่ง กลุ่มคุณลุงที่นั่งล้อมกันเล่นหมากรุก และอื่น ๆ อีกมาก รวมถึงคู่รักที่ต่างพากันไปปั่นจักรยานน้ำทำตัวราวกับโลกนี้มีเพียงแค่พวกเขา โดยองไม่ได้กำลังอิจฉา ถึงจะเคยอยากไปปั่นบ้างในตอนที่ยังมีคนรักอยู่ก็ตาม

    ราวยี่สิบนาทีที่โดยองยืนอยู่ใต้ต้นไม้ที่ใบไม้ค่อย ๆ ร่วงโรยลงมาตามฤดูกาลที่ผันเปลี่ยน อีกไม่นานเซ็นทรัลพาร์คจะกลายเป็นสีขาว เขาทอดมองพื้นที่กว้างไปเรื่อยเพื่อรอเวลาที่แจฮยอนจะมา – นิวยอร์กขึ้นชื่อเรื่องศิลปะถึงขนาดที่คนตัดหญ้ายังแสดงงานศิลปะของการพลิ้วไหวของใบไม้แห้ง ปฏิเสธไม่ได้ว่าเดี๋ยวนี้โดยองเริ่มจะมองโลกเป็นงานศิลปะขึ้นมาบ้างแล้ว

    “พี่โดยอง!” เสียงปริศนาโผล่มาจากข้างหลังแกล้งให้คนตัวผอมสะดุ้งตกใจเล่น โดยองจึได้ค้นพบความจริงอีกประการก็คือแจฮยอนเป็นเด็กขี้เล่น

    “นายมาช้านะ” โดยองแสร้งทำเป็นเคร่งขรึม

    “อะไรกัน ผมหลงทางต่างหาก เซ็นทรัลพาร์คน่ะกว้างเกินไป” แจฮยอนบ่นเป็นหมีกินผึ้ง เขายังบอกอีกด้วยว่าความจริงโดยองควรไปรับเขาจากที่โรงแรมมากกว่าให้มาเจอกันที่นี่ และเรื่องแท็กซี่ราคาแพงที่เขายังบ่นไม่เสร็จก็โดนโดยองปิดปากด้วยขนมสายไหมสีเหลืองฟูฟ่อง

    โดยองมองเห็นสีเหลืองเป็นสีที่สามหลังจากการพบเจอกับแจฮยอน

    “นายเป็นพ่อมดหรือเปล่า” โดยองพึมพำเบา ๆ

    “อะไรนะครับ” แจฮยอนหันมาถามคนข้าง ๆ ในมือถือขนมสายไหมที่พร้อมจะเอาเข้าปากได้ทุกเวลา

    “เปล่า” โดยองไม่ยอมรับ

    ใครจะไปกล้าบอกเรื่องที่ตัวเองตาบอดทุกสี แต่ดันมีคนที่สามารถทำให้มองเห็นสีเพิ่มขึ้นมาหนึ่งสีได้ในแต่ละครั้งที่เจอกัน โดยองคิดว่าเพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่มีหลักการจากวิทยาศาสตร์ใด ๆ มารองรับได้ จะไม่มีใครเชื่อเขาแน่ และมันก็คงจะเป็นอีกครั้งที่เขาโดนล้อเลียนว่าเป็นพวกเพ้อเจ้อไร้สาระ

    โดยองจ้องมองขนมสายไหมสีเหลืองที่อยู่ในมือของแจฮยอนอีกครั้ง เป็นเพราะตัวสีหรือเป็นเพราะคนที่กำลังถืออยู่นั้นทำให้สีเหลืองดูสดใสกว่าที่โดยองคิด มันต่างจากสีน้ำเงินที่ดูสุขุม ต่างจากสีแดงที่ดูเร่าร้อน สีเหลืองให้ความรู้สึกถึงวัยเยาว์และความร่าเริง การได้เห็นสีสันเพิ่มมากขึ้นเริ่มจะเปลี่ยนความคิดเดิมของตัวเขาเองที่ว่าเขาไม่เคยคิดว่าทฤษฎีสีมีความสำคัญไปมากกว่าทฤษฎีการทำอาหาร นั่นทำให้เขาก้มมองลงดูสีเสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่ เขาไม่เคยตระหนักถึงเรื่องความเข้ากันของชุดสี เพราะเวลาจะซื้อเสื้อผ้า เขาจะเลือกซื้อแค่สีดำ สีเทา และสีขาวเท่านั้น

    หลังจากที่ได้เห็นสีสันของโลก ความคิดที่อยากจะสวมเสื้อสีเหลือง กางเกงสีน้ำเงินก็โผล่ขึ้นมาในหัว โดยองจิตนาการตัวเองในแฟชั่นหลากสีอย่างเพลิดเพลิน โดยลืมไปว่าเขาอาสาจะเป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยวให้กับเด็กหนุ่มที่มาจากปารีสคนนี้

    “พี่โดยองใจลอยไปไหนครับ”

    “เปล่าใจลอยสักหน่อย” โดยองตอบทันควัน “แค่กำลังคิดว่าอยากได้เสื้อผ้าใหม่”

    “สีเหลืองเป็นตัวเลือกที่ดีนะครับ” แจฮยอนเอ่ยแนะนำ “ผมว่ามันเหมาะกับพี่ดี”

    “นั่นสินะ” โดยองว่าพลางยิ้มน้อย ๆ เขาชักจะชอบสีเหลืองขึ้นมาแล้วนิดหน่อย

    พวกเขาเดินเล่นไปตามทางเดินของเซ็นทรัลพาร์ค อากาศไม่ได้หนาวเย็นเท่าไหร่นัก เพราะวันนี้ฟ้าเปิด โดยองเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า มันยังคงเป็นสีเทา เขาอยากรู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะได้เห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสเหมือนกับที่ใครหลายคนว่ากัน

    โดยองแอบมีความคิดอีกว่าถ้าเกิดเขาได้เจอกับแจฮยอนไปเรื่อย ๆ ตัวเขาจะมองเห็นสีเพิ่มขึ้นมาอีกจนครบเลยหรือเปล่า มันเป็นความขัดแย้งในใจของชายผู้ตามองไม่เห็นสีสันคนนี้ที่ใจหนึ่งก็อยากจะมองเห็นเหมือนกับคนทั่วไป แต่ใจหนึ่งก็ยังคงยึดมั่นในตัวของตัวเองที่เชื่อว่าการมองเห็นสีมันก็ไม่ได้จำเป็นอะไร

    มีโปสเตอร์งานนิทรรศการของเจย์เดนลอยมาแล้วร่วงลงสู่พื้นตรงหน้าของโดยอง แต่เป็นแจฮยอนที่เป็นฝ่ายหยิบมันขึ้นมา การเดินทางของแอปเปิลแดงดูจะเป็นตัวเอกของผลงานทั้งหมด มันถูกเอามาใช้โปรโมตบนโปสเตอร์และป้ายบิลบอร์ดต่าง ๆ โดยองเห็นด้วยที่จะบอกว่าภาพนั้นคือผลงานชิ้นโบว์แดง เพราะขนาดคนไม่ชอบงานศิลปะอย่างเขายังถูกมันดึงดูดสายตาได้มากที่สุด เขาเลื่อนสายตาจากโปสเตอร์ขึ้นมา แจฮยอนมองโปสเตอร์นั้นด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ ราวกับเหมือนกำลังคิดถึงเรื่องราวดี ๆ ที่เคยเกิดขึ้น

    “The Retrospective...” แจฮยอนพูดขึ้นเบา ๆ เรียกความสงสัยให้กับอีกคน ชื่องานนิทรรศการของเจย์เดน มีอะไรให้น่าแปลกใจ โดยองไม่ทันคิดถึงเรื่องนั้นจนถูกเอ่ยถาม “พี่รู้ที่มาของมันไหมครับ”

    “ไม่รู้สิ” โดยองยักไหล่ เขาไม่สันทัดเรื่องที่มาที่ไปของทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกขนาดนั้น แจฮยอนเหลือบมองด้วยสายตา “ก็ฉันไม่ได้เป็นแฟนคลับของเจย์เดนนี่”

    “มันแปลว่าการหวนรำลึก” โดยองเงี่ยหูฟังดวงตาเรียวจ้องเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย สันจมูกโด่งกับริมฝีปากที่ขยับพูด เขาคิดว่ามันช่างเป็นองค์ประกอบที่ลงตัวสำหรับแจฮยอน รวมถึงน้ำเสียงที่นุ่มลึกกว่าครั้งไหน ทำให้กว่าจะรู้ตัว เขาก็เผลอเคลิบเคลิ้มไปกับเจ้าของเสียงไปเสียแล้ว “แอปเปิลแดงในภาพนั้น ความจริงมันไม่ใช่แอปเปิลหรอกนะครับ”

    โดยองขมวดคิ้วย่น เขากำลังนึกภาพผลงานชิ้นเอกของเจย์เดนที่เขียนไว้ชัดเจนว่ามันคือแอปเปิล แต่แจฮยอนกลับบอกว่ามันไม่ใช่แอปเปิล แต่โดยองก็เลือกเก็บความสงสัยไว้ในใจ พยายามจะทำความเข้าใจว่าพวกศิลปินเป็นพวกที่มีความคิดลึกล้ำเกินกว่าคนธรรมดาจะเข้าถึง

    “มันคือลูกโป่งสีแดงที่หลุดลอยจากมือของเด็กน้อย ผมคิดว่ามันชอบอิสระ ก็เลยพยายามหนีออกไปจากมือของเด็กพวกนั้น” แจฮยอนยังคงเล่าต่อไป แม้มีสายลมพัดผ่านทำให้รู้สึกเย็นวูบไม่ได้ทำให้โดยองละความสนใจไปจากชายหนุ่ม

    “นายกำลังจะบอกว่าแอปเปิลในภาพนั้นคือลูกโป่งอย่างนั้นเหรอ” หลังจากพยายามเชื่อมโยงคำพูดของอีกฝ่าย โดยองก็ได้โอกาสเอ่ยถามออกไปเสียที

    “เจย์เดนตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น” แจฮยอนตอบแทบทันที สร้างรอยย่นที่ระหว่างคิ้วของอีกฝ่ายอีกครั้งหนึ่ง

    “ทำไมนายถึงรู้” โดยองเอ่ยถาม ซึ่งก็ได้เพียงแค่รอยยิ้มแทนคำตอบ และนั่นทำให้เขาแทบจะยกมือขึ้นมาก่ายหน้าผากเพราะรู้สึกว่าการจะสนทนากับคนจำพวกนี้มันยากเสียเหลือเกิน “ให้ตายสิ พวกอารมณ์ศิลปินทั้งหลาย...”

    แจฮยอนหัวเราะออกมาเบา ๆ กับท่าทางเบื่อหน่ายของคนอายุมากกว่า ก่อนจะหันไปมองรอบ ๆ สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าลานน้ำพุเบเธสดา มีฟองสบู่อยู่รอบตัวของชายคนนั้นเต็มไปหมด ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นมาดูตื่นตระการตากับการเล่นฟองสบู่ที่ดูราวกับการแสดงบรอดเวย์กลางแจ้ง โดยองสงสัยว่ามันมีอะไรให้น่าตื่นเต้นขนาดนั้น มันก็แค่การเล่นฟองสบู่ธรรมดาที่เขาเห็นมันจนชินตา

    ไม่ทันได้พูดอะไร แจฮยอนก็เหลียวหลังเดินตรงไปหาชายผู้เป่าฟองสบู่แล้วยืนดูด้วยความตั้งใจดูเหมือนกับเด็กชายวัยแปดขวบที่ตื่นแต่เช้ามาจองพื้นที่หน้าโทรทัศน์สำหรับการ์ตูนเรื่องโปรด – เจ้าเด็กนี่แปลกชะมัด – โดยองคิด

    “พี่โดยองเห็นหรือเปล่า เมื่อกี้เขาเป่าฟองสบู่เป็นรูปสิงโตด้วยล่ะ ส่วนก่อนหน้านั้นเป็นแมวน้ำ” แจฮยอนหันกลับมาบอกกับโดยอง จากนั้นก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปไปเรื่อย

    ไม่มีสิงโตหรือแม้กระทั่งแมวน้ำในสายตาของโดยอง จินตนาการของแจฮยอนดูเหมือนจะนำหน้าเขาอยู่มากโข เขาได้แต่ยิ้มน้อย ๆ มองดูพ่อหนุ่มวัยกลับตื่นเต้นกับเหล่าฟองสบู่ หัวใจของโดยองไม่เคยอ่อนไหวได้ง่ายดายนัก ทว่า ณ ขณะนี้มันเต้นแรงขึ้นทุกจังหวะท่วงท่าของแจฮยอน มุมหนึ่งเป็นผู้ใหญ่สุขุม อีกมุมหนึ่งก็ดูเหมือนกับเด็กหนุ่มบริสุทธิ์ และมากกว่าอื่นใด โดยองตกหลุมรักอีกครั้งหนึ่ง

    เสียงชัตเตอร์ดังขึ้น เรียกสติของโดยองให้กลับมา

    “เฮ้! นายแอบถ่ายรูปฉันเหรอ” โดยองลุกลนขึ้นมากลายเป็นกระต่ายตื่นตูม “ลบเดี๋ยวนี้เลยนะ”

    “ไม่ลบหรอกครับ... ก็พี่โดยองน่ารักจะตาย” เสียงของแจฮยอนกลืนหายไปกับสายลมเมื่อพูดมาถึงประโยคท้าย แต่ดูเหมือนว่าโดยองจะไม่ฟังอะไรทั้งนั้น

    โดยองกระโดดเหยง ๆ เพื่อจะยื้อแย่งเอาโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่ายมาให้ได้ หน้าตาดูเอาจริงเอาจัง ต่างจากอีกฝ่ายที่ยิ้มร่าเริงเอาแต่ชูโทรศัพท์มือถือขึ้นเหนือหัว เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรด้วยส่วนสูงของโดยองนั้นแย่งเอาไปไม่ได้แน่

    โดยองยังคงโวยวายต่อไป และหาโอกาสจะฉกเอาโทรศัพท์มือถือของอีกฝ่ายมาให้ได้ ระหว่างการลอยตัวอยู่ในอากาศสลับกับการเหยียบย่ำพื้นดิน โดยองก็เผลอยิ้มออกมาโดยลืมไปว่าเมื่อตอนแรกเขามีจุดประสงค์ว่าอะไร เสียงหัวเราะของทั้งสองดังสลับกันเชิงหยอกล้อ ถ้าเป็นในภาพยนตร์รักโรแมนติก จะมีฝ่ายหนึ่งพลาดท่า และตกลงไปอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายในตอนท้าย

    และโดยองกับแจฮยอนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น เพียงแต่ยิ่งว่าฉากรักไหน ๆ กับฟองสบู่ที่ยังคงลอยไปทั่ว และความบังเอิญที่ปุยหิมะร่วงโรยมาจากฟ้า รู้สึกราวกับโลกหยุดหมุน โดยองกำเสื้อโค้ทของอีกฝ่ายไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองร่วงลงไปกับพื้น ในขณะที่แจฮยอนก็กำลังโอบร่างของโดยองด้วยเช่นกัน ใบหน้าของพวกเขาใกล้กันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นของกันและกัน

    “หิมะตกล่ะ...” แจฮยอนคลายกอดจากโดยองก่อนจะยกมือขึ้นมาบังหิมะไม่ให้ตกลงบนหัวของอีกฝ่าย เขาเปลี่ยนบทสนทนาไปในทันที แต่ดูเหมือนจะหาที่วางสายตาไม่ได้อยู่ดี

    “ฉันคิดว่าวันนี้ฟ้าจะเปิดเสียอีก... ไปที่อื่นกันเถอะ” โดยองเองก็ไม่รู้จะวางมือเอาไว้ที่ตรงไหนนอกจากซุกมันไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของตัวเอง เขาจะไม่มีทางรู้เลยว่าแก้มของเขาแดงไปจนถึงใบหู จะมีก็แต่ความรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วทั้งร่าง

    ทั้งสองเดินก้มหน้าก้มตา แสร้งทำเป็นไม่สนใจกัน หากแต่ผลัดกันเหลือบตามองกันในบางคราว เมื่อครั้งที่สบตากันก็ต้องทำทีหันเหไปทางอื่นเสีย แจฮยอนพลันไปเห็นผู้คนมากมายที่ห้อมล้อมอยู่ที่จุด ๆ หนึ่งไม่ไกลจากพวกเขามาก เขาหยุดเดินอีกครั้ง

    “สตรอเบอร์รี่ฟิลด์” เหมือนโดยองจะเริ่มเดาความคิดของแจฮยอนออก เขาไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยถาม แต่เป็นฝ่ายบอกเสียเอง

    “คืออะไร” ในตอนนี้แจฮยอนสวมบทบาทของนักท่องเที่ยวได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาไม่เก็บซ่อนความสงสัยใด ๆ ทั้งนั้น อาจจะยึดคติจงถามแล้วเจ้าจะได้คำตอบ

    “อนุสรณ์สถานของจอห์น เลนนอน” โดยองเอ่ยเสียงเรียบ เขาไม่ใช่แฟนเพลงของจอห์น เลนนอน จึงไม่ได้รู้สึกมีส่วนร่วมกับอนุสรณ์สถานนี้เท่าไหร่นัก

    มันคือพื้นที่ที่มีโมเสกสีขาวสลับดำเป็นวงกลมสลักคำว่า ‘Imagine’ เพลงดังตลอดกาลของจอห์น เลนนอน ผู้คนมักจะวางดอกไม้เพื่อไว้อาลัยและรำลึกถึงผู้จากไปบนอนุสรณ์สถานแห่งนี้ – โดยองสังเกตเห็นโจเอลยืนรวมอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น เขาขยับถอยเท้าไปก้าวหนึ่งอย่างเผลอตัว นี่ไม่ใช่เวลาที่ดีนักในการมาเจอกัน เพราะเมื่อวันก่อนเขาทิ้งโจเอลไว้ในพิพิธภัณฑ์แล้วหนีออกมากับแจฮยอน จนโจเอลโทรศัพท์มาหาเขาสายแทบไหม้ และยังคงโดนโกรธตั้งแต่ตอนนั้น

    “นายอยากไปดูไหม” แต่ปากของเขาก็ไวกว่าความคิด โดยองเอ่ยชวนแจฮยอนเข้าไปดูอนุสรณ์สถานที่โจเอลยืนอยู่ตรงนั้น ตลกสิ้นดี

    “ไม่ล่ะ ผมไม่ชอบการรำลึกถึงการสูญเสียสักเท่าไหร่” ขอบคุณที่แจฮยอนคิดแบบนั้น โดยองจึงรีบเดินออกมาจากที่ตรงนั้นโดยไว

    เพราะโทรศัพท์ของแจฮยอนที่สั่นไม่ขาดสาย จนโดยองบอกให้เขารีบรับโทรศัพท์เสียก่อนที่เครื่องจะระเบิด และเมื่อแจฮยอนรับสาย นั่นคือการบอกลาระหว่างพวกเขา

    ความรู้สึกแรกของโดยองก็คือเสียดาย พวกเขาน่าจะได้อยู่ด้วยกันนานกว่านี้ หากเขาไม่ขี้รำคาญแล้วบอกให้อีกฝ่ายรับโทรศัพท์ เสียงในสายที่มันดังมากจนเขาได้ยินจะรู้สึกได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของคนปลายสาย จับใจความได้นิดหน่อยว่า ‘เจ้าเด็กโง่ แกหายหัวไปไหน’ นั่นทำให้แจฮยอนหน้าหมองลง มันเป็นความผิดของเขาที่พรากรอยยิ้มไปจากใบหน้าหล่อเหลานั้น

    โดยองเดินไปส่งแจฮยอนขึ้นรถ เขาพยายามถามว่าจะไปที่ไหนต่อ แต่อีกฝ่ายก็เลี่ยงที่จะตอบ บอกเพียงแค่เรียกรถแท็กซี่ให้ก็พอ ซึ่งเขาเองก็ไม่อยากจะเซ้าซี้อะไรมากมาย

    “ขอโทษที่ผมต้องไปแล้ว” แจฮยอนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความเสียดายไม่แพ้กับโดยอง

    “ไม่เป็นไร เขาดูเป็นห่วงนาย” โดยองว่าพลางโบกรถแท็กซี่ให้กับอีกฝ่าย

    “ไม่หรอก เขาแค่ห่วงตัวเอง” ระหว่างที่แจฮยอนตอบ แววตาของเขาหม่นลงจนโดยองรู้สึกได้ จากนั้นรถแท็กซี่สีเหลืองคันหนึ่งก็มาจอดอยู่ตรงหน้าพวกเขา “เรายังเหลือที่เที่ยวอีกนี่ครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้”

    ไม่รีรอให้โดยองได้เอ่ยถามอะไรกับข้อความก่อนหน้า แจฮยอนเลือกที่จะตัดบทสนทนาไว้เท่านี้ ก่อนจะขึ้นรถแท็กซี่ไป ชายหนุ่มได้แต่มองรถแท็กซี่ที่ขับห่างออกไปด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ ความสับสนแล่นเวียนอยู่ในหัวของเขาจนรู้สึกวิงเวียน

    โดยองไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงตกหลุมรักคนคนนี้ ทั้งที่อีกฝ่ายมีปริศนาคลุมเครือไปหมด เขาไม่แน่ใจเลยว่าแจฮยอนเป็นใครกันแน่ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อหัวใจของเขาอย่างน้อยหนึ่งอย่าง

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in