หลังจากที่เพิ่มโดส Fluoxetine จาก 20 เป็น 40 มาได้เอ่อ... น่าจะประมาณสองเดือนได้ละ เราก็ยังเอ่อ... ไม่รู้สิ มันยังไงก็ไม่รู้อ่ะ อาทิตย์ก่อนไปหาหมอตามนัด ก็สารภาพกับหมอไปว่ายานอนหลับ Clonazepam 2mg ที่หมอให้เรา เราเอามาหักสี่ กินวันละแค่ 0.5 แต่บางวันก็กิน 1 บางวันก็ไม่กินถ้าง่วงจัดๆ วันไหนเครียดก็ซัดทั้งเม็ดเลย แต่ก็น้อยมาก ต้องแบบแพนิคจนนอนไม่ได้ เอาแต่นอนสลับกับนั่งร้องไห้ (ต้องสลับมานั่งด้วย เพราะนอนร้องไห้อย่างเดียวมันหายใจไม่ออก) จินตนาการล้านแปด ตัวสั่น มือสั่น ใจเต้นรัว ซึ่งมันก็เป็นไม่บ่อย แต่ก็บ่อย เอ๊ะ ยังไง คือก็เฉลี่ยเดือนละครั้ง เอ๊ะ หรือสองเดือนครั้ง เอ๊ะ ยังไง งง เออ ช่างมันเหอะ แต่ก็นั่นแหละ
เราลืมบอกหมอเรื่องที่ไทรอยด์เราโต แล้วก็ความพยายามกลับไปหาหมอที่รามา แต่ก็รู้สึกเฟลจนไม่อยากกลับไปหาอีก (เทนัดไปเรียบร้อยแล้วจ้า) เราบอกหมอว่าเราเครียดหนักๆ ไปรอบนึงได้ (ซึ่งเป็นระยะเวลาหลายวัน) คือช่วงที่แฟนบินกลับเมกา นางไปแค่ 9 วัน แต่รวมเวลาบินด้วยก็ 12 วัน ซึ่งแม่งทรมานมากสำหรับเรา กังวลว่านางจะกลับมาไหม นางจะเทเรารึเปล่า นางจะมีปัญหากับวีซ่าไหม นางจะผ่านตม.ได้ไหม อยู่นู่นนางปาร์ตี้กับญาติสนิทมิตรสหายแทบทุกวันจนต้องคอยเตือน (อย่างใจเย็นและพยายามจะไม่แสดงความวิตกจริต) ว่าถ้าเมาก็อย่าขับรถ ดีซีฝนก็ตกแม่งทุกวัน อันตรายอีก มันเป็นความประสาทแดกที่คนปกติธรรมดาจะไม่เข้าใจว่า 'เห้ย มึงจะกังวลอะไรนักหนา' ... 'หัดคิดในแง่ดีบ้างสิ' ... 'เออ ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นได้ในโลกนี้ แต่มึงก็ไม่น่าจะโชคร้ายซ้ำสองมะ' ก็ได้แต่คิดในใจว่า มึงไม่มาเป็นกูมึงไม่เข้าใจหรอก อีห่า ขอโทษที่หยาบคาย แต่มันคือความจริง
หยุดพิมพ์ไปทำงานแป๊บเดียว ลืมเลย จะบ่นไรต่อวะ -- นี่คืออีกอย่างนึงที่ไม่เข้าใจตัวเอง ทำไมขี้ลืมขนาดนี้ มานั่งคิดๆ ดู เราก็ไม่ได้ลืมไปทุกอย่างนะ เวลาทำงาน (โดยที่มีสติ) เราจะจำได้ว่าเราทำอะไรไป ต้องทำอะไรต่อ วันนั้นคุยอะไรกัน วันนั้นอีตาบ้านั่นพูดไว้ว่าอะไร ใครสัญญาอะไรไว้ อะไรพวกนี้อ่ะเราจะจำได้ แต่อะไรที่เราทำไปโดยใช้โหมด auto pilot นี่จะแบบ จำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ
โหมด auto pilot ของเราจะเปิดใช้งานได้ทั้งแบบอัตโนมัติและแบบที่เราสั่งเอง -- แบบอัตโนมัตินี้ ร่างกายเราจะเปิดใช้งานโดยทันทีเมื่อเราเมายาต่างๆ เช่น ยาแก้แพ้ หรือยาอื่นๆ ที่หมอให้มาใหม่แล้วเรายังปรับตัวไม่ได้ ซึ่งมันจะทำให้เราเมา มึน เคว้ง ลอย งงไปทั้งวัน แต่งานก็ต้องทำไง ก็ทำงานได้นะ งานพวกแบบที่ไม่ตั้งเขียนอะไรมากมาย ร่างหนังสือสั้นๆ ร่างฟ้องคดีง่ายๆ หรือนั่งพิมพ์งานให้ชาวบ้าน อะไรแบบนี้เราจะพอทำได้ด้วยออโตไพลอทของเรา แต่คุณภาพอ่ะหรอ อืมมม มันก็พอได้นะ มีพิมพ์ผิดบ้าง แต่ก็ยังไม่เคยเจอแบบที่แย่จนแก้ไขไม่ได้ ความผิดพลาดถือว่าต่ำอยู่
สำหรับแบบที่เราเปิดใช้งานเองนี้ ส่วนใหญ่มันคือวันที่เรานอนน้อย ไม่ว่าจะเป็นเพราะกว่าจะหลับก็ลากยาวไปตีหนึ่งตีสอง หรือหลับเร็วแต่ก็หลับๆ ตื่นๆ ตื่นแม่งสิบรอบในหนึ่งคืน ไม่ก็ฝันบ้าบอเลอะเทอะจนตื่นมารู้สึกเหมือนไม่ได้นอน เช้ามาเราก็จะหงุดหงิด อารมณ์เสีย แต่งานก็ต้องทำอีกเช่นเดิม ก็เลยต้องเปิดระบบนี้ใช้งาน ก็ทำส่งๆ ไป ผลจะเป็นไงก็ช่างแม่ง ใครจะด่าอะไรก็ด่า พร้อมด่ากลับ แต่ส่วนใหญ่คนจะไม่ด่าเพราะเหมือนความหงุดหงิดทั้งหมดที่เรารู้สึกมันแสดงผลอยู่บนใบหน้าและออกมากับน้ำเสียงของเราหมด เลยไม่เคยได้ด่าใครสักที เพราะทุกคนจะหลีกหนี ซึ่งหลายๆ ครั้งเราก็ไม่เข้าใจว่าจะกลัวอะไรเรา ใครทำดีกับเราๆ ก็ดีกลับ แม้จะสติเสียไปหน่อยนึงแต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเสียสตินะ แค่หน้าเหวี่ยงแต่ก็ยังยิ้มและขอบคุณพี่รปภ.ที่เปิดประตูให้ ขอบคุณพนักงานขายที่ช่วยนั่นนี่ ทอนตังค์หรืออะไรต่างๆ ขอบคุณเจ้าหน้าที่ศาลที่ช่วยทำให้งานเราเสร็จโดยไม่อู้ แต่อีพวกที่อีเรื่อยเฉื่อยแฉะ ชิลกับทุกอย่างในโลก ยกเว้นเรื่องนินทาชาวบ้านกับเรื่องแดกมะม่วงกะปิบนโต๊ะทำงานแล้วงานไม่ทำ มัวแต่แรดๆ ไปโต๊ะคนนั้นคนนี้นี่แบบ ศรีจะไม่ทน ด่าได้ด่า ฆ่าได้ฆ่า ความเกรงใจมีจำกัด มีงานอื่นต้องทำ เราจะไม่เสียเวลากับอะไรพวกนี้
เดี๋ยวนะ ทำไมมันมาไกลถึงเรื่องนี้ได้ งง เอาใหม่ เราตั้งใจจะบ่นเรื่องอะไร ขอกลับไปย้อนอ่านก่อน
อ่อใช่ แฟนกลับไปเมกา ก็คือห่วงอ่ะ ห่วงทุกอย่าง กังวลไปหมด นั่งร้องไห้ว่า ถ้าเกิด...ล่ะ ถ้า...ล่ะ แล้วถ้า...ล่ะ ถ้า... ถ้า... ถ้า... ถ้า... ถ้า... เต็มหัว worst case scenario มาเต็มมาก อะไรที่สามารถจะเกิดขึ้นได้ แม้เพียง 0.00001% เราก็เอามาคิดได้ เราเก่ง เรารู้ ขอบคุณ -- เอาเข้าจริง ความสามารถนี้มันใช้ได้ดีมากกับงานที่เราทำอยู่นะ โคตรมีประโยชน์อ่ะ มันทำให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ไว้หมดแล้ว มาเลยค่ะ พร้อมหมด แต่กับชีวิตที่ไม่เกี่ยวกับงานนี่สิ แม่งสร้างความทรมานให้ชีวิตมากกกกก
มีคืนนึง เราจำได้ (กลางคืนของเรา เช้าของฝรั่ง) นางก็บอกว่าวันนี้จะไปกินข้าวกับพ่อ บอกโปรแกรมนั่นนี่เหมือนที่นางทำทุกวัน เราก็บอก ไหนบอกว่าไม่อยากเจอพ่อมากไง ทำไมไปเจออีกแล้วล่ะ นางก็บอก ไปเจอพ่อได้กินเหล้าฟรีดีออก นี่ก็ประสาทแดกไปเล้ยยยยย รถจะชนไหม ถ้าชนแล้วตายล่ะ แล้วถ้าไม่ตายล่ะ แล้วถ้าเป็นหนักจนต้องนอนรพ.ที่นู่นล่ะ กลับมาไทยไม่ได้ตามกำหนด แล้วเราจะทำไงอ่ะ เราเหนื่อยกับการอยู่โดยไม่มีนาง แล้วใครจะปลอบเรา เราจะร้องไห้กับใคร เราจะด่าลูกความให้ใครฟัง เราจะลองทำเมนูใหม่ให้ใครกิน ฯลฯ แล้วก็ร้องไห้หนักมาก ร้องจนตัวสั่นไปทั้งตัว ปวดหัวตุ๊บๆ หัวใจเต้นแรงจนเหมือนจะทะลุออกมาจากอก แต่ก่อนจะทะลุคงหัวใจวายก่อน นอนไม่ได้ ในหัวมันฟุ้งไปหมด จินตนาการบรรเจิดแบบที่ไอสไตน์ต้องยอมแพ้ สุดท้ายก็วิ่งไปหายานอนหลับ อัดเข้าไป 2mg แล้วก็ร้องไห้จนหลับไป
ถามว่าเป็นขนาดนี้ เราจะอยู่ได้ไหมถ้าเลิกกับแฟน อ๋อ ได้สิ ถ้าเลิกกัน แยกทางกัน มันก็คือการจากเป็น มันก็เศร้าแหละ แต่มันก็ต้องมีเหตุที่ทำให้เลิกไง สุดท้ายเหตุผลก็ต้องชนะอารมณ์ แต่ถ้าแฟนตายนี่สิ เราบอกไม่ได้จริงๆ ว่าเราจะเป็นยังไง
จากเดิมที่เรามีพ่อคนเดียวที่เราห่วงมากๆ ตอนนี้ก็มีแฟนมาให้ห่วงเพิ่ม เราถามหมอว่าทำไมความห่วงความกังวลนี้มันไม่หมดไปเมื่อเรามีแฟนมาช่วยแชร์ความกังวลของเราที่มีต่อพ่อ หมอก็บอกว่ามันไม่มีวันหายไปหรอก ยังไงคุณก็ต้องห่วงคนที่คุณรัก ไม่ห่วงไม่ได้หรอก จบ
ที่มาเขียนนี่คือแค่จะมาอัพเดทที่ไปเจอหมอครั้งล่าสุดว่าลืมบอกอะไรหมอ แล้วก็เล่าความกังวลข้างบนนั้นให้หมอฟัง (แต่ไม่ได้ละเอียดขนาดนี้) หมอก็สนใจจะถามแต่เรื่องแฟน ไม่ได้ถามอะไรอื่นมาก นี่ก็ไม่รู้จะเล่าอะไรเรื่องแฟน เพราะนางทำให้ชีวิตเราดีขึ้นจริงๆ แต่ถามว่าความเครียดความกังวลมันหายไปไหม ก็ไม่ มันลดลงไหม ก็ไม่ มันแค่เหมือนเราได้พัก ได้มีเวลาผ่อนคลายจากการคิดวนๆ ที่เราชอบทำ การอยู่กับแฟนทำให้เราสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับเราได้ปล่อยและวางทุกอย่างไว้ชั่วคราวแล้วไปอยู่ในดินแดนที่เราสามารถที่จะเข้าไปใกล้ความสุขได้ เราไม่รู้ว่าสิ่งที่เรารู้สึกตอนนี้คือความสุขไหม เหมือนกับที่เราไม่รู้ว่าเรารักแฟนเราไหม เราบอกได้แค่ว่าเราสบายใจเวลาที่เรามีแฟนอยู่ข้างๆ และเราก็รู้สึกขอบคุณอะไรก็ตามแต่ (รวมถึงตัวเราเองด้วย) ที่ทำให้เราสองคนได้เจอกัน
อ่อ หมอให้เรากินยาเหมือนเดิม แต่ไม่ให้ยานอนหลับเพิ่มเพราะเราบอกว่าเรายังมีเหลือเยอะ แล้วก็รู้สึกว่าหมอจะขึ้นค่าแพทย์จากเดิม 800 เป็น 1,000 แล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in