เราไม่ได้กินยาต้านเศร้ามาเป็นเดือนแล้ว จำระยะเวลาแน่นอนไม่ได้ ส่วนยานอนหลับกับยาลดความดันที่เอามาใช้แก้ฝันร้าย หลังจากที่หยุดไปสองเกือบสามเดือนเพราะนอนเองได้แล้วก็ฝันไม่โหดมาก เราเพิ่งจะกลับมากินช่วงหลังนี้ แล้วก็ไม่ได้กินทุกวัน กินแค่เฉพาะวันที่ไม่สบายใจกับอะไรมากจนนอนไม่หลับ แต่ก็รู้สึกว่ามันจะถี่เหลือเกินช่วงนี้
อย่างที่เราเคยเล่าไป เราติดอยู่กับความคาดหวังของคนอื่น ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นคนที่เรารักหรือไม่ เขาอาจจะเป็นคนที่เราไม่ชอบเลยก็ได้ แต่เราก็ยังรู้สึกว่าความคาดหวังหรือความต้องการของคนอื่นนั้นมันทำให้เรารู้สึกต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เหมือนที่เราเป็นอยู่นี่ยังไม่ดีพอ คนอื่นถึงได้คาดหวังนั่นนี่นู่นกับเรา การตำหนิติเตียนจากคนทุกคนมันมีพลังอันร้ายกาจกับตัวเรามาก โดยเฉพาะจากคนที่เรารักหรือให้ความสำคัญ
เราไม่ได้รักคนทุกคนบนโลก 'รัก' ในที่นี้หมายถึงความรู้สึกรักจริงๆ ที่ไม่ใช่รักหมา รักแมว หรือรักชานมไข่มุก แต่ก่อนเรารักแต่เพียงแค่พ่อ เพราะพ่อคือคนที่แสดงให้เราเห็นได้ว่าพ่อรักเรา เราเลยรักเขากลับ พอเราคบแฟนคนนี้ เราว่าเราก็รู้สึกรักเขาแหละ แต่เพราะทุกอย่างมันรวดเร็วมาก เราเลยรู้สึกงงๆ กับความรู้สึกในตอนนี้อยู่ เราชอบกันเร็ว เราคบกันเร็ว จีบกันอยู่ไม่ถึงสัปดาห์ แล้วก็คบกันเฉย ไม่มีใครไม่งงกับเรื่องนี้ และแน่นอนว่า เราไม่ได้คุยเรื่องนี้กับหมอ
ช่วงเวลาที่เราหายไปจากที่นี่คือช่วงเวลาที่เราไปมีความสุขกับความสัมพันธ์อันใหม่เอี่ยมนี้ ทุกอย่างมันไม่ได้ดี มันมีช่วงเวลาแย่ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เกิดจากความงี่เง่าของเรา ช่วงแรกๆ ที่คบ เราก็ยังกินยาทุกอย่าง ยังหาหมอ แต่เราไม่ได้บอกหมอว่ามีแฟนแล้ว (ตามที่หมอแนะนำ แล้วมันก็ทำให้เราดีขึ้น) แฟนเรามีอดีตที่ไม่ค่อยดีนักในตอนเด็ก เขาเคยลองทุกอย่าง แล้วก็ไม่มีอะไรดีเท่าการทำจิตบำบัด เขาก็เลยแนะนำว่าเราไม่ควรเอาแต่กินยากับหาหมอจิต เราควรหานักจิตทำจิตบำบัดควบคู่ไปด้วย ซึ่งเราก็เห็นด้วย แล้วก็ตามที่เราเคยคุยกับหมอเรื่องจิตบำบัด หมอบอกว่าอาจจะต้องไปทำทุกอาทิตย์ และค่าใช้จ่ายก็ขั้นต่ำก็พันนึงต่อครั้ง เราเลยคิดว่าจะย้ายรพ. ตอนนั้นในหัวมีรามากับจุฬา แต่เพราะห้องแฟนอยู่ใกล้รถไฟใต้ดินมาก เราก็เลยเลือกจุฬา
นัดแรกก็รอนานในระดับนึง แต่ยายังมีพอก็เลยไม่เป็นไป ถึงวันนัด (วันเสาร์) ได้เจอหมอคนแรกก่อน หมอสอบประวัติเรา เราบอกโดนวินิจฉัยว่าเป็นซึมเศร้าและ PTSD อยากทำจิตบำบัดเลยย้ายมาที่นี่ ประวัติการกินยาทุกอย่างก็ขอปิยะมาเรียบร้อย หมอเอาประวัติเราไปดูแล้วก็บอกว่า "ผมไม่ค่อยถนัดจิตบำบัด เดี๋ยวรอพบคุณหมออีกท่านดีกว่า เขาถนัดมากกว่าผม" ก็ออกมานั่งรอหมออีกคนซึ่งคิวยาวเหลือเกิน เหมือนหมอคนนี้จะฮอตมาก เราได้ไปต่อคิวเกือบสุดท้าย ได้เจอหมอประมาณเที่ยง หมอก็ดูประวัติเก่า ซักประวัติเราเบื้องต้น แล้วก็ให้เรากินยาต่อไป นัด 1 เดือน แล้วบอกให้มาสายๆ จะได้อยู่คิวท้ายๆ มีเวลาคุยนานๆ เราบอกหมอนะว่าเราอยากทำจิตบำบัดคู่ไปกับการกินยา หมอบอกโอเค แล้วก็จบ ก็งงๆ - พอถึงวันนัด เราก็ไปสายตามที่หมอบอก ได้คิวท้ายๆ ตามที่หมอต้องการ แต่หมอก็ไม่คุยไรมาก เราบอกหมอว่าเรารู้สึกโอเค ลดยานอนหลับลง ไม่ได้กินทุกวัน ไม่ได้กิน prazosin เลยเพราะไม่ค่อยฝันร้าย หมอก็ โอเค ดีๆ สั่งยาให้แล้วก็จบ ก็งงขึ้นไปอีกว่ามันคืออะไร ไหนอะจิตบำบัด แต่ก็เออ หมอคงรออะไรสักอย่างอยู่มั้ง - นัดครั้งที่ 3 (ช่วงเดือนตุลา 61) เราไม่ว่าง เราเลยโทรไปขอเลื่อน รพ.บอก "ได้คิวกุมภา 62 นะคะ" นี่แบบ อะไรนะ!? เราถามว่าถ้าไปแบบไม่นัดได้ไหม รพ.ก็บอกว่า "ก็มาได้นะคะ แต่ไม่ยืนยันว่าคุณหมอจะรับตรวจรึเปล่า" ลาก่อนจิตเวชจุฬา สวัสดี
หลังจากนั้นเราก็กินยาบ้างไม่กินบ้าง เห็นว่าตัวเองโอเคแล้วก็เลยขี้เกียจ หมอก็ไม่ไปหา แฟนก็เริ่มสงสัยว่าไหนบอกจะทำจิตบำบัด นี่ทำไมไม่ไปหาหมอเลย พอบอกเพื่อนว่าไม่ได้กินยาทุกวันแล้วเพื่อนก็เริ่มด่าแล้วไล่ให้กลับไปหาหมอเก่าที่ปิยะ นี่ก็คิดว่าไปทำไม เรายังโอเค เราคงหายแล้วมั้ง ก็เลยไม่สนใจ อีกอย่าง เราคิดด้วยว่าเรารำคาญ ทั้งอิที่ปวดหลัง ทั้งซึมเศร้า ทั้งซีสต์ บ้าบอทั้งหลาย แม่งรักษาไม่หายสักอย่าง มีแต่จะกินเงินค่าหมอค่ายาเราไปเรื่อยๆ ก็เลยช่างแม่ง เททุกนัดหมอ
จนมาช่วงปลายเดือนพฤศจิ เราเริ่มอ่อนไหวผิดปกติ เอาจริงๆ มันก็คือปกติของเราก่อนหาหมอจิตนะ
ที่แบบน้อยใจทุกคน เก็บทุกเรื่องมาคิด นอนร้อนไห้แทบทุกคืน งอนพ่อ งอนหัวหน้า งอนแฟน งอนแม่งไปหมด แม้ว่าจะเจอหัวหน้าบ่อยกว่าพ่อกับแฟน แต่งอนหัวหน้าไปก็ไม่ได้รับการง้อกลับมา คนที่ดูจะเดือดร้อนจากอารมณ์เรามากที่สุดเลยเป็นแฟนเรา
สาเหตุหนึ่งที่เราชอบแฟนคนนี้ เราเดาว่าเป็นเพราะเขาเหมือนพ่อเรามาก ยิ่งคบก็ยิ่งรู้สึกว่าสองคนนี้มันมีอะไรที่คล้ายกันเยอะมาก เราก็เลยชอบ...มั้ง หลักๆ คือมันรู้สึกสบายใจ ปลอดภัยเวลาที่อยู่กับเขา เราเงียบๆ เหมือนกัน เวลาอยู่ด้วยกันก็ต่างคนต่างทำอะไรของตัวเองไป ไม่ต้องมาหาเรื่องคุยกัน แค่รู้ว่ามีอีกคนอยู่ด้วยกับเราคือโอเคแล้ว - เขาไม่ใช่คนพูดเยอะ ส่วนใหญ่มันคือการกระทำที่ทำให้รู้ว่า เขารักและเป็นห่วงเรามาก - เขาดีกับเราจนทำเราให้เรารู้สึกว่า เราไม่คู่ควรกับสิ่งดีๆ ที่เขาทำให้เรา เราดีไม่พอสำหรับเขา
เราไม่ดีพอสำหรับความรักของใครทั้งนั้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in