ย้อนกลับมาที่หมอจิต... เริ่มจากการที่รพ.โทรมาจิกขณะที่เรากำลังนั่งซดกาแฟอย่างสบายใจเฉิบอยู่ที่ร้านกาแฟในรพ. ตอนนั้นเป็นเวลาก่อนเวลานัดตั้งครึ่งชั่วโมง นี่ก็คิดไงว่าไปก่อนก็ไปรอ จะรีบไปทำไม ก็เลยหาเรื่องลองกาแฟใหม่ซะเลย ก็กะว่าจะนั่งกินกาแฟสวยๆ รอเวลา แต่กินยังไม่ทันจะถึงสองอึก รพ.ก็โทรมาถามว่าเราอยู่ไหน (ด้วยคำพูดที่สุภาพมากๆ) แล้วก็จิกให้เราเดินไปหาหมอเดี๋ยวนี้!!!!!!!! (ด้วยคำพูดที่สุภาพมากๆ อีกเช่นกัน—สุภาพจริงๆ นะ ไม่ได้ประชด) ด้วยความที่เราเป็นคนขี้เกรงใจ /ยิ้มอ่อน ก็เลยต้องรีบเดินไปเพราะกลัวหมอจะรอ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ผิดเลยนะ เรามาก่อนเวลา อะไรอ่ะ ทีครั้งก่อนๆ เราไปตรงเวลาแต่เราต้องนั่งรอหมอตั้งนานล่ะ ถ่อววววว
แล้วก็มีเรื่องให้ได้ตื่นเต้น หากใครเคยมาหาหมอจิตที่ศิริราชปิยฯ ก็จะรู้ว่าคลีนิกจิตเวชของที่นี่มันอยู่รวมกับคลีนิกอายุรกรรม คนมันก็จะพลุกพล่านหน่อยๆ ที่ไม่ค่อยจะมีนั่ง ห้องตรวจเยอะ พยาบาลก็เยอะ คนไข้ก็โคตรจะเยอะ เยอะไปหมด ในทุกๆ ครั้งที่มาหาหมอจิต เราก็จะภาวนาตลอดว่าขอให้อย่าเจอคนรู้จักตรงนี้ ซึ่งเราก็โชคดีมาตลอด ยกเว้นวันนี้
ขณะที่เรากำลังเดินไปเคาน์เตอร์พยาบาลเพื่อยื่นใบนัด เราก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนนึงพูดอะไรก็ไม่รู้เสียงดังเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงจีน คือเสียงมันคุ้นมาก เราเลยหันไปดู แล้วก็ฉิบหายในทันใด เพราะเค้าคือลูกความเรา เรานี่รีบเดินไปยื่นใบนัดแล้วรีบนั่งลงตรงซอกมุมที่อับที่สุด นั่งก้มหน้าภาวนากับโทรศัพท์ไม่ให้เค้าเห็นเรา แต่ก็เหมือนสวรรค์แกล้ง ตานั่นดันเดินมาคุยโทรศัพท์วนไปวนมาอยู่ตรงหน้าเราแล้วก็ไม่ยอมไปไหนสักที บอกตรงๆ ว่าเครียดมากตอนนั้น พอพยาบาลเรียกไปวัดความดันปุ๊บ นี่ก็รีบเด้งออกไปเลย ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นางคุยโทรศัพท์อยู่ นางไม่เรียกเราหรอก เราคิดในใจ พอวัดความดันเสร็จเราก็รีบเดินอย่างเร็วมากไปนั่งรอหน้าห้องหมอจิตซึ่งเป็นเขตแดนที่เงียบเหงาที่สุดของคลีนิกอายุรกรรม — ส่วนนี่คือคำแนะนำจากเพื่อนผู้น่ารักของเรา หากเกิดเหตุการณ์ลูกความเดินมาทัก...
...และนี่ก็คือตัวอย่างของเพื่อนชั่ว อย่าทำตามนะคะเด็กๆ
พอหนีมานั่งรอคิวที่หน้าห้องหมอจิตได้ จิตใจเราก็สงบขึ้นมาซะดื้อๆ ตาลูกความจะเห็นหรือไม่เห็นก็ช่างนาง อยู่ๆ ก็ไม่แคร์ซะงั้น นี่ก็งงว่าเมื่อกี้จะตื่นเต้นไปทำไม ไม่เข้าใจ ฮ่าๆๆ
ขอคั่นโฆษณาด้วยการด่าเพื่อนแป๊บนะ (ใช่ค่ะ เพื่อนคนเดิม) เมื่อกี้เพื่อนไลน์มาถามว่าวันนี้เราหยุดงานมั้ย เราก็ถามกลับไปด้วยความงงว่าวันอะไร ทำไมต้องหยุด มันบอกวันครู แฟนมัน (ซึ่งเป็นอาจารย์) ได้หยุด ...นี่อยากตบเพื่อนมาก อห วันทนายกูยังไม่ได้หยุดเลย จะมาหยุดอะไรกะวันครู อีบ้า
โอเค ตัดมาตอนเจอหมอ — หมอก็ทักเหมือนเดิมว่าเป็นไงบ้าง “ก็โอเคคคค” เราบอก หมอก็ยิ้มแล้วบอกว่าฟลูอ๊อกดูจะถูกโรคกับเรานะ “กินตัวนี้แล้วดูดีสุดเลย” นี่ก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ ไป เพราะก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันดีเลิศอะไรมากมาย
“มันก็แค่ดีขึ้นมานิดนึง” เราพยายามทำมือให้หมอดู หวังจะให้หมอเห็นภาพ
“มันไม่มีความสุขใช่ไหม” หมอถาม
ฮืออออ หมอเก่งจัง เข้าใจอะไรง่ายดีจัง — แล้วหมอก็สั่งให้เพิ่มโดส fluoxetine เป็น 2 เม็ด จากเดิม 1 เม็ด
หมอถามเรื่องการนอน เราก็บอกเรื่องที่เราฝันร้ายเมื่ออาทิตย์ก่อน วันนั้นเราไม่ได้กินยานอนหลับ เราก็เลยนอนไม่หลับ ฟังดูมีเหตุมีผล แต่ที่ไม่มีเหตุผลคือ เรานอนร้องไห้ตั้งแต่ห้าทุ่มยันตีหนึ่ง คือจำได้ว่าหลับไปทั้งๆ ที่ยังร้องไห้อยู่อ่ะ หมอนเปียกแฉะ ตื่นมาตางี้แดงฉ่ำ แถมบวมไม่เท่ากันอีก เก๋สุดอะไรสุด เช้าวันนั้นพยายามคิดว่าตัวเองเป็นปู ไปรยา แล้วนะ แต่ก็ไม่ได้ อินเนอร์มันไม่มา ดิ่งค้างจากฝันร้าย องค์เลยไม่ลง
กลับมาที่ความฝัน นี่ทำไมชอบนอกเรื่อง คืนนั้นเราฝันว่าเราต้องไปไหนสักที่ เหมือนจะเป็นงานอะไรสักงานที่เราก็ไม่ได้อยากจะไป พ่อก็ไม่อยากให้ไปด้วย แต่มันจำเป็นเลยต้องไป ไปเสร็จ จะกลับบ้าน กลับไม่ได้ มีระเบิดห่าเหวไรไม่รู้ เราพยายามจะเรียกแท็กซี่ แต่ก็มีคนเลือดท่วมตัวนอนอยู่บนทางเท้าเต็มหมด ในฝันก็รู้สึกกลัวนะ แต่ที่รู้สึกแย่กว่าความกลัวคือ รู้สึกว่าเรากำลังทำให้พ่อห่วง ในฝันคืออยากรีบกลับบ้าน อะไรจะเกิดก็ช่างแม่ง กูจะกลับบ้านไปหาพ่อ กลับช้าเดี๋ยวพ่อห่วง คิดแค่นั้น แล้วก็ตื่น
หมอถามว่าวันที่กินยาเราฝันมั้ย เราบอกฝัน แต่จำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ที่แน่ๆ คือไม่ฝันร้ายแบบนี้ หมอก็ทำหน้าเห็นใจแล้วก็บอกว่าเราควรจะกินยานอนหลับนะ เราเลยบอกหมอว่า lorazepam มันกินแล้วไม่ค่อยง่วง เราไม่ชอบ อยากได้ clonazepam ที่หมอให้คราวก่อน หมอก็ยอมให้มาแต่โดยดี ไม่มีการท้วงติงใดๆ เออ วันนี้หมอมาแปลก ทำไมยอมง่ายจัง — หมอถามว่าเรายังห่วงพ่อมากๆ อยู่มั้ย เรานั่งนึกสักพักก็บอกไปว่าน้อยลง เพราะเมื่อวันก่อนเราปล่อยพ่อเดินไป 7-11 คนเดียวโดยที่เรามีคิดห่วงเค้ามาแว๊บนึงแล้วก็หยุดคิดได้ ถือว่าดี หมอก็ชื่นชม
“มันเป็นปกติของคนที่เคยเจอเหตุการณ์ร้ายๆ มา ก็เลยจะห่วงจะกังวลมากกว่าคนปกติ”
พอหมอพูดเรื่องนี้เราก็เลยนึกออกว่าเรามีเรื่องกังวลอีกเรื่อง... “คือวันนั้นน่ะค่ะ วันที่เกิดเรื่อง พอมันยิงแม่หนูเสร็จ มันก็ปล่อยหนูออกมา แล้วมันก็เผาบ้าน— แล้วจนถึงตอนนี้ ถ้าวันไหนหนูอยู่ข้างนอก แบบกำลังจะกลับบ้านไรงี้ แล้วเห็นควันไฟใหญ่ๆ ในทิศที่บ้านหนูอยู่ หนูจะต้องคิดว่าไฟไหม้บ้านหนูทุกที”
หมอฟังจบก็ทำหน้าเห็นใจใส่อีกรอบ
“อาการของคุณเค้าเรียกว่า ptsd คือจะมีความกังวล ความกลัว ความฝัน หรือภาพซ้ำของเหตุการณ์ร้ายๆ ที่คุณเคยเจอมา—“
ไหนตอนแรกหมอบอกว่าไม่ใช่ ptsd ไงเล่า เดี๋ยวตีตายเลย!
“—กรณีของคุณมันเป็นอาการซึมเศร้าโดยมีเหตุ มันเกิดจากเหตุการณ์ที่คุณพบเจอมา การกินยามันจะทำให้ดีขึ้น แต่อาจจะไม่ทำให้หายได้นะ มันต้องใช้เวลา เวลาจะทำให้คุณค่อยๆ ดีขึ้น”
“แต่นี่ก็นานแล้วนะคะหมอ นานมากแล้วด้วย”
“บางคน เวลามันช่วยทำให้เค้าดีขึ้นนะ”
อ่าว แล้วในบางคนที่เวลาไม่ช่วยอะไรรรร ถ้าใจฉันยังรอเธออออ ยังคงคิดถึงเธออออ ยังคงรักแต่เธออออ... เออ นี่ก็ชอบต่อเพลงจังว่ะ
เราก็ไม่ได้ถามหมอไปนะว่าถ้าเวลาไม่ช่วยจะทำไง คือขี้เกียจจะถามแล้ว เบื่อ เราก็รู้ว่ามันคือปัญหา เราเคยพยายามปฏิเสธมันก่อนหน้านี้ แต่สุดท้ายเราก็หนีมันไม่พ้น นี่ขนาดเรายังไม่ได้บอกหมอครบทุกเรื่องนะ บอกไปแค่นิดเดียว หมอก็บอกว่าเราเป็น ptsd แล้ว ถ้าหมอรู้เรื่องทั้งหมดในหัวเรา หมอจะต้องจับเราแอดมิทแน่ๆ ฮือออออ
เราบอกหมอเรื่องหัวหน้าเราด้วย เราบอกเหตุผลที่เราร้องไห้คืนนั้น เราไม่ได้บอกเรื่องที่เราปิดประตูทับน้องหอยทากน้อย เรื่องนั้นทำเราร้องไห้ แต่ก็แค่แป๊บเดียว ที่เราร้องไห้ช่วงดึกคืนนั้นเราร้องเพราะเรารู้สึกผิดกับหัวหน้า ตั้งแต่เค้าเข้าใจความป่วยของเรา เค้าก็ห่วงเรามากกว่าเดิม แล้วมันก็ทำให้เรารู้สึกแย่ เราเป็นแค่ลูกน้อง ทำไมเราต้องทำให้เค้าห่วง เราคิดวนไปวนมาว่าเราไม่ควรบอกเค้า เราไม่ควรเอาเรื่องตัวเองไปยัดใส่หัวเค้า เราทำให้ชีวิตดีๆ ของเค้าต้องเป็นทุกข์ พอฟังเราพูดจบ หมอก็ถามเราว่า เรารู้ได้ยังไงว่าเค้ากังวล ว่าเค้าห่วง
“ก็เค้าพูดเอง เค้าบอกเค้าเห็นหนูเป็นลูก เค้าก็ห่วงที่หนูไม่สบายแบบนี้”
“เค้ายังนอนหลับสบายดีมั้ย”
“อันนี้หนูไม่รู้”
“เค้ายังกินข้าวได้ ยังใช้ชีวิตได้ปกติมั้ย”
“ก็ปกติ”
“เค้าห่วงก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับนะ ผมว่าดีซะอีก เค้าจะได้เข้าใจเวลาที่เราทำงานไม่ได้ตามที่เค้าต้องการในบางครั้ง เค้าจะได้ไม่กดดันเรา”
“...”
“แล้วนึกยังไงถึงบอกหัวหน้า”
“ก็หนูลางานมาหาหมอ แล้วหนูก็ขี้เกียจจะโกหกแล้ว ก็เลยบอกๆ ไปซะ”
เราโกหก นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เราตัดสินใจบอกหัวหน้า เหตุผลที่แท้จริงคือความเห็นแก่ตัวของเราล้วนๆ เราอยากใช้เค้ามาเติมเต็มในส่วนที่เราขาด ในเมื่อเราบอกพ่อไม่ได้ว่าเราเป็นโรคนี้ เพราะว่ามันจะทำให้พ่อเราเจ็บปวด เรารับไม่ได้ที่จะทำให้เค้าต้องเจ็บ แต่เราก็รู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน เราอยากบอกใครสักคนที่เราไว้ใจได้แล้วก็เป็นผู้ใหญ่พอที่เราจะพึ่งพาได้เวลาที่เราพัง เราก็เลยหาคนอื่นมาแทนที่พ่อเราในจุดนั้น แล้วหัวหน้าเราก็เป็นคนโชคร้ายคนนั้น ตอนนั้นเราไม่ได้คิดว่าเค้าจะห่วงเราขนาดนี้ เราคิดว่าเค้าจะสามารถแยกแยะได้ว่าเราก็แค่ลูกน้องที่ป่วย แต่เค้ากลับสวมบทพ่ออย่างเนียนมาก เหมือนเค้าเป็นพ่อเรา เหมือนเราเป็นลูกเค้า มันเนียนจนทำให้เรารู้สึกผิด
เค้าใกล้ตัวเกินไป เค้าเหมือนพ่อเรามากเกินไป ความเป็นห่วงของเค้ามันทำให้เราเจ็บปวดไม่ต่างกันเลย ทุกครั้งที่เค้าห่วง มันทำให้เรารู้สึกผิดที่เราเป็นแบบนี้ แต่เราก็ไม่รู้จะทำยังไง เราอ้างว้างเกินกว่าที่จะสู้ต่อไปเพียงคนเดียว เราอยากได้ใครสักคนที่เข้าใจ แต่ทำไมมันถึงยากเหลือเกิน
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราคิด แต่เราไม่ได้บอกหมอไป ซึ่งการคิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้เรารู้สึกตัวหดเล็กลงและอ่อนแอขั้นสุด
“คุณดูเครียดนะ” หมอบอก
ใช่สิ มันเครียดมาก เราคิด แต่เราก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้หมอไป
“แต่วันนี้คุณก็ยังดูดีกว่าทุกวันที่ผ่านมา”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in