เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Janie Is Not So Welljanieishappy
A Year Of Depression
  • วันนี้วันศุกร์ที่ 29 ธันวาคม นี่ไม่เข้าใจว่าทำไมหัวหน้าไม่หยุดสักที ถ้าไม่นับที่เรามีศาลเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา อาทิตย์นี้เราก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ใช่ว่าไม่มีงานนะ มีดองไว้เพียบเลยแหละ เปิดมาหลังปีใหม่ได้ปั่นงานหัวหลุดแน่ๆ แต่เราก็ยังมีความสุขที่จะดอง ไม่สิ ใช้คำว่าความสุขไม่ได้ เพราะเราไม่มีความสุข

    หลังจากหาหมอจิตมาเมื่อวันจันทร์ที่ 18 ทุกอย่างก็ดูเหมือนว่าจะดี ไม่สิ มันดีมาตลอดแหละ จนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ขณะที่กำลังนั่งรถไปไหนสักแห่งกับหัวหน้า อ่อ ใช่ ไปศาลสมุทรสาคร ออกจากออฟฟิศมายังไม่ทันจะได้ขึ้นทางด่วน หัวหน้าก็ถามว่าไปหาหมอมา หมอว่าไงบ้าง เราก็ตอบหัวหน้าไปว่า เราไปหาหมอจิตนะ ไม่ได้ไปหาหมอออโธ หัวหน้าก็พูดกลับมาว่า “ยังต้องไปหาอยู่อีกหรอ” ... “แล้วสรุปเจนเป็นอะไร” ... “แล้วไอ้ซึมเศร้าเนี่ยมันเป็นยังไง” คือแก... นี่รอบที่ล้านได้แล้วมั้งกับคำถามพวกนี้ เราคิดว่าหัวหน้าก็รู้ดีอยู่แล้วนะว่าเราเป็นซึมเศร้า เราบอกไปหลายรอบแล้ว แต่เค้าก็ยังทำเหมือนเค้าไม่รู้ทุกครั้ง เพื่ออะไร? นี่ไม่เข้าใจ

    เราพยายามอธิบายความรู้สึกของเราโดยไม่ทำให้หัวหน้าสติแตก เราจะพูดว่าเราอยากฆ่าตัวตายไม่ได้ หัวหน้าต้องรับไม่ได้แน่ๆ “มันเบื่อๆ เซ็งๆ ไม่มีความหวัง ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร” เราบอกหัวหน้าไป แล้วหัวหน้าก็ดูเหมือนจะสติแตก นางบอก “เจนก็อยู่เพื่อพ่อไง” เออ ก็ใช่ไง อันนี้รู้ แต่ชีวิตตอนนี้มันคิดได้แค่นั้นไง เราบอกไป แต่หัวหน้าก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจ พยายามพูดให้เราเห็นถึงความจำเป็นของพ่อที่ต้องมีเรา พยายามบอกเราว่าเราสำคัญสำหรับพ่อเราขนาดไหน ความเป็นพ่อมาเต็มเลย นี่ไง เหตุผลที่เราไม่บอกพ่อ คือก็เข้าใจแหละ ถ้าลูกนางมาพูดแบบนี้ นางก็คงสติแตกยิ่งกว่านี้ นี่ขนาดเป็นคนอื่นนางยังสติแตกเบอร์แรง เราน้ำตาซึมด้วยตอนนั้น แม้ว่าหัวหน้าจะขับรถอยู่แต่เราก็รู้ว่าเค้ารู้ว่าเค้าทำเราร้องไห้ พอเค้าพูดจบเราก็ไม่พูดอะไรต่อ แล้วหัวหน้าก็ไม่พูดถึงเรื่องความป่วยของเราไปตลอดทางจนถึงศาลสมุทรสาคร แม้กระทั่งขากลับหัวหน้าก็ยังไม่พูดอะไรกับเรามากนัก นางพยายามพูดไรตลกๆ ให้เราหัวเราะแล้วเราก็ฝืนขำใส่ไป นางคงรู้ว่ามันเป็นการหัวเราะที่โคตรจะตอแหล นางก็เลยไม่พูดอะไรอีกเลย

    เรากลับบ้านมาวันนั้นด้วยความรู้สึกดิ่งที่สุดในชีวิต เราไม่รู้สึกอะไรเลย มันมีแต่ความว่างเปล่า เราเศร้า แต่เราไม่รู้ว่าเราเศร้าเรื่องอะไร ใช่แหละ มันเป็นเพราะหัวหน้ามาสะกิดต่อมเศร้าของเราแน่ๆ ล่ะ แต่เราก็ไม่ควรจะเศร้าขนาดนี้ไง เรารีบกลับบ้านมาแล้วก็วิ่งขึ้นไปร้องไห้ในห้อง เราร้องไห้จนเราไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป ตอนนั้นทุกอย่างมันเข้ามาในหัวหมด ตั้งแต่ ‘กินยาทั้งหมดที่มีสิ มันจะจบทุกอย่าง’ ... ‘อยากรู้สึกอะไรไหม ลองเอาคัตเตอร์มากรีดต้นขาดูสิ ไม่มีใครเห็นหรอก’ ... ‘เสียดายที่บ้านนี้ไม่มีเชือกและไม่มีคาน’ ... ‘ลองโดดจากระเบียงดูไหมแก เผื่อจะตาย’ 

    วันนั้นพ่อเรากลับบ้านดึก แม่เลี้ยงเราก็กลับดึกอีกเช่นกัน เราอยู่บ้านคนเดียวด้วยความรู้สึกแบบนั้นอยู่ประมาณสองชั่วโมง เราพยายามทำทุกอย่างให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่มันก็มีแต่จะแย่ลง ความคิดพวกนั้นมันแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ในหัวเรา เราไม่รู้จะทำยังไง แต่สุดท้ายก็มีคนช่วยชีวิตเรา — วันนั้นเรานัดน้องคนนึงไว้พอดี น้องอยากได้คนเป็นโรคซึมเศร้าไปทำวิจัยอะไรก็ไม่รู้ของน้อง เราลงชื่อไว้ น้องติดต่อมา นางก็นัดขอโทรมาสัมภาษณ์เราวันนั้น — ด้วยความที่เราสติแตกอยู่ตอนนั้น เราเลยระบายทุกอย่างใส่น้องเค้าไป น้องเค้าเป็นใครก็ไม่รู้ เราไม่รู้จักเค้า เค้าไม่รู้จักเรา เล่าๆ ไปเถอะ ระบายออกไป พูดมันออกไปให้หมด เราคิดแค่นี้ เราเล่าแทบทุกอย่างในชีวิตของเราให้น้องฟัง เราร้องไห้จนตาบวมจนแทบจะลืมไม่ขึ้น จำได้ว่าหลังจากที่วางสาย เรารู้สึกเหมือนเราไปยืนแก้ผ้ากลางสี่แยกอโศก เรารู้สึกว่าเราเล่ามากเกินไป แต่ทำไงได้ เราเล่าไปแล้ว

    ตื่นเช้ามาวันเสาร์เราก็ยังคงดิ่ง แล้วก็ดิ่งต่อเนื่องมาเรื่อยๆ อาทิตย์ จันทร์ — แล้วเราก็ทนตัวเองไม่ไหว เราพยายามทำทุกอย่างให้เราดีขึ้น แต่มันก็ไม่ดีขึ้นแม้แต่นิดเดียว เหลืออย่างเดียวที่เรายังไม่ได้ทำคือออกกำลังกาย เย็นวันจันทร์ พอกลับถึงบ้านเราเลยไปออกกำลังกาย แล้วมันก็ดีขึ้น มันดีขึ้นจริงๆ มันดึงเราขึ้นมาจากหลุมดำนั่นได้ แม้จะไม่มากเท่าไหร่แต่มันก็ดีขึ้น หมอจิตพูดถูกจริงๆ ด้วย การออกกำลังกายมันช่วยเราได้จริงๆ

    แต่การออกกำลังของเราก็โดนขัดจังหวะด้วยอาการปวดหลังที่กลับมาทักทาย หลังจากที่เมื่อวันอังคารเราซ่าขึ้นรถไฟฟ้าจากศาลแพ่งใต้กลับออฟฟิศ แล้วคนแน่นมากเลยต้องยืนแบกสำนวนและชุดครุยตลอดทางตั้งแต่สะพานตากสินจนถึงสยาม ถึงออฟฟิศนี่คือหมดสภาพ แล้วยา ultracet ก็หมด แล้วก็เสือกซ่าเลื่อนนัดหมอออโธไปกลางเดือนมกรา นี่อุตส่าห์มีความหวังว่าจะหา ultracet ได้จากเภสัชใกล้ๆ ตัวสักคน แต่ก็หาไม่ได้ celebrex 200 mg แม่งก็ไม่สามารถช่วยอะไรเราได้อีกต่อไป ก็ประทังชีวิตด้วยพาราสองเม็ดไปละกันนะเจนนะ อยากเลื่อนหมอเองทำไมล่ะแก
  • จะครบ 1 ปี แล้วที่เราหาหมอจิต แต่มันก็เป็นระยะเวลานานกว่า 1 ปี แล้วที่เรามีอาการซึมเศร้า ตอนนี้เราหมดหวังแล้วว่าเราจะหายจากอิโรคเวรนี่ ตอนรักษาแรกๆ มันก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังอยู่นะ แต่หลังจากโดนลองยามาล้านแปด เจอ side effects มามากมาย จนกลับมากินยาเก่าก็ดูจะยังไม่ดีขึ้น เราก็เริ่มจะสิ้นหวัง ‘แกไม่มีวันหายหรอก’ เราคิดกับตัวเองทุกวัน — fluoxetine มันดึงเราขึ้นมาได้ในตอนแรก แต่ตอนนี้มันดูเหมือนจะไร้ประสิทธิภาพไปแล้ว เรายังคงรู้สึกเศร้าและเบื่ออยู่ การออกกำลังกายก็พอจะช่วยเราได้บ้าง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีอะไรมากมาย แค่ทำเพื่อไม่ให้เราดิ่งลึกลงไปมากกว่านี้ ก็แค่นั้น 

    เราไม่มีอารมณ์ทำงาน มันตื้อ มันคิดอะไรไม่ออก สติสตังก็ไม่ค่อยจะมี นี่ล่าสุดลืมยื่นขยายฎีกาไปคดีนึง ดีที่คดีนี้หัวหน้าไม่ได้ตั้งใจจะฎีกา แต่หัวหน้าก็บ่นว่าเราควรจะยื่น เราก็ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรนอกจากว่าเราลืม ทำคดีอื่นจนลืม มานึกได้ก็ตอนสี่โมงครึ่งของวันสุดท้าย ไม่ทันแล้วไง หมดสิทธิฎีกา อดค่ะ บัย!

    เราไม่อยากลองยาใหม่แล้วด้วย เราเบื่อกับความดิ่งและอาการไม่สบายตัวประหลาดๆ ที่เกิดจากการเริ่มยาใหม่ เราเบื่อกับผลข้างเคียงของยาใหม่ที่ดูจะแรงขึ้น ชื่อแปลกขึ้น และราคาแพงขึ้นทุกครั้งที่หมอเปลี่ยนยาให้ใหม่ ซึ่งมันก็ไม่มีตัวไหนที่ทำให้เรากลับไปรู้สึกดีเหมือนตอนก่อนหยุดยาได้ 

    เราเคยชอบกิน การกินมันเคยทำให้เราลืมความห่วยแตกต่างๆ ในชีวิตเราได้ แต่ตอนนี้การกินมันไม่ทำให้เรามีความสุขอีกต่อไป การกินมันกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ เราเบื่อที่จะกิน เราเบื่อที่จะต้องทำทุกอย่าง เบื่อกับการที่จะต้องมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรก็ไม่รู้ เบื่ออออออออ

    ตามปกติปีใหม่เค้าก็ต้องอยากเริ่มอะไรใหม่ๆ กันเนาะ ปีที่ผ่านมานี้เราเริ่มต้นปีด้วยการถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าอย่างเป็นทางการโดยจิตแพทย์ผู้ที่มีคลิปให้สัมภาษณ์ในยูทูบจำนวนหลายคลิป นั่งดูไปก็ขำ เออ หมอเราก็ตลกดีนี่นา เค้าไม่เห็นจะเศร้าอย่างที่เราเคยคิดเลย เค้าก็ปกติดี เราควรจะห่วงตัวเองมากกว่าห่วงเค้านะ — เราไม่รู้จะหวังอะไรกับปีหน้า เรายังทำงานอยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือมีคดีสืบต่อเนื่องจองคิวรอเราไว้แล้วสี่คดี แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว กระดูกสันหลังเราก็ยังคงไม่รักดีเหมือนเดิม มันยังคงสร้างความทรมานให้เราอยู่เรื่อยๆ ไม่จากเราไปไหน เออ ดูดิ ไม่มีอะไรให้หวังเลย 

    อย่างไรก็ตาม จริงจังทำไมเนี่ย??? เราก็ขอให้ทุกคนที่ตามอ่านเรื่ิองความป่วยของเรามีความสุขกันนะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่าน ขอบคุณที่ให้กำลังใจ ขอบคุณที่มาชวนเราคุยในช่องคอมเมนท์ข้างล่างนี้ มันช่วยแก้เหงาแล้วก็ทำให้เรารู้สึกมีตัวตนมากขึ้นเยอะเลย — เราตั้งใจว่าจะเขียนบันทึกนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะหายจากโรคทุกโรค ซึ่งมันก็คงไม่มีวันเป็นไปได้แล้ว ยิ่งแก่ตัว โรคภัยก็ยิ่งรุมเร้า นี่เมื่อวันก่อนเพิ่งเจอผมหงอกอีกหนึ่งเส้น นับเป็นเส้นที่สามแล้วของปีนี้ แงงงง

    สำหรับใครที่สุขภาพจิตยังดีิอยู่ก็ขอให้สุขภาพจิตของคุณดีแบบนี้ตลอดไปนะ ใครที่กำลังรักษาอยู่ก็ขอให้หายไวๆ ใครที่รู้ตัวว่าป่วยแต่ยังไม่กล้าไปหาหมอก็ไปซะเถอะค่ะ หมอจิตไม่ดุเนอะ แล้วก็ไม่ได้แพงอย่างที่กลัวกันด้วย รักษาเถอะ อย่าทนเลย

    ขอให้ปีหน้าเป็นปีที่ดีสำหรับทุกคนค่ะ :)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
callmejay (@thnnwu)
สวัสดีใหม่นะคุณเจน วันนี้ยังไม่หาย ก็ยังมีพรุ่งนี้แล้วก็วันต่อๆปอีกนะ ยังไงก็ต้องมีซักวันแน่นอน อย่าเพิ่งหมดกำลังใจสิ แค่ผมสีขาวสามเส้นเอง เรายังอีกนานกว่าจะแก่ แก่ไม่แก่มันอยู่ที่ใจไม่ใช่เส้นผม 55555 ดีใจที่วันนั้นน้องคนนั้นเค้าอยู่เป็นเพื่อนคุณเจน ดีจริงๆที่ยังมีชีวิตอยู่ ปีใหม่แล้วก็ขอให้มีความสุขกับทุกๆอย่างที่แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็เถอะ อยากจะอวยพรเยอะๆแต่ก็เลือกไม่ถูก นึกถึงหนังสือเล่มนึงเลย งั้นขอยืมชื่อหนังสือมาอวยพรหน่อยนะ -ขอให้มีชีวิตอยู่ด้วยกัน-
สุดท้ายนี้ขอบคุณที่ยังอยู่นะคะ :)
janieishappy (@janieishappy)
@thnnwu โอยยย ทำไมดีกะเราอย่างงี้ ฮืออออ ขอบคุณนะ T T
callmejay (@thnnwu)
@janieishappy เลิ้บบบบบบบ<3