ตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปหา หมอจิตวินิจฉัยเราว่าเป็นซึมเศร้าเรื้อรังมาเป็นเวลาน่าจะนานอยู่ หมอไม่ได้บอกว่านานเท่าไหร่ แต่วันนั้น เราบอกหมอว่าเราปวดขามาหลายปีแล้วก่อนที่จะมาหาหมอ หมอก็อาจจะเอาตรงนั้นมานับเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง
ถ้าหมอคิดแบบนั้น เราก็อยากจะบอกหมอว่า หมอคิดผิด
เราเป็นเด็กที่ร่าเริง แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาหลังจากที่แม่ตาย เราก็ยังคงร่าเริงอยู่ เราคิดมาตลอดว่าเหตุการณ์วันนั้น เหตุการณ์ที่ทำให้แม่เราตาย มันไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับเรา ตอนนั้นเรายังเด็ก เราแค่ 7 ขวบ จบป.1 กำลังขึ้น ป.2 หลังจากเหตุการณ์วันนั้นเราร้องไห้นับครั้งได้ ตอนงานศพแม่ ตอนกลับไปที่บ้าน แล้วก็ตอนที่พ่อบวช หลังจากนั้น เราก็ไม่ยอมให้เรื่องนี้มาทำร้ายเราอีกต่อไป แต่เราคิดผิด
หลายวันก่อน เรามีเหตุต้องข้องแวะกับปืนกระบอกนึง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้ยุ่งเกี่ยวกับทะเบียนปืนอยู่บ่อยๆ แต่เราไม่เคยเห็นปืนใกล้ขนาดนี้ เราเคยยืนใกล้ตำรวจ เรามีพี่เป็นทหาร เราเคยเห็นปืนผ่านๆ แต่มันก็ไม่ทำให้เรารู้สึกอะไร จนครั้งนี้ มีคนเอาปืนมาให้ดู บอกว่าเป็นปืนไม่มีทะเบียน ถามว่าจะทำไงดี หัวหน้าเป็นคนรับปืนมา หัวหน้าเอาปืนออกจากซอง แล้วก็ทำอะไรก๊อกแก๊กๆ เพื่อดูว่ามันยังมีลูกคาอยู่ไหม เรารู้สึกไม่สบายใจ เราเกลียดเสียงของมัน หัวหน้าทำไรไม่รู้ก๊อกแก๊กๆ อยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็วางปืนนั้นตรงหน้าเรา ให้เราจดเลข เราจำได้ว่าตอนนั้นมือเราสั่น เรารู้สึกว่าเราอยากออกไปจากตรงนั้น อยู่ให้ไกลๆ จากปืนนั่น เราไม่ชอบ เรากลัว ใช่ เราคิดว่าเรากลัว
เรารอดออกมากได้โดยที่สติยังดีอยู่ หัวหน้าไม่รู้ว่าเราเพิ่งจะสติแตกไปเมื่อกี้ เราเก่งมากกับการแสร้งทำเป็นว่าเราโอเค keep cool เราไม่ได้กลัว ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ปวด เราฝึกมาจนเราสามารถแสดงได้อย่างแนบเนียนมาก ไม่มีใครรู้อะไรเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเราตั้งใจให้เค้ารู้กัน ก็ไม่เคยมีใครรู้อะไรเลย ไม่เคยมีใครคิดอะไรได้เอง ทุกคนอาจจะโง่ เชื่ออะไรง่ายๆ ตามที่ตาพวกเค้าเห็น ไม่รู้จักฉุกคิดหรือสังเกตสิ่งผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ กันบ้างเลย ไม่สิ เราคิดว่าทุกคนคงแค่ไม่แคร์ เค้าไม่ได้โง่หรอก เค้าแค่ไม่แคร์
เรามีชีวิตช่วงประถมที่มีความสุขดี (แหละมั้ง) ทุกข์ทรมานช่วงวันแม่ของทุกปี แต่ก็แค่วันเดียว กิจกรรมลากแม่มาโรงเรียนมาให้ลูกกราบเท้า แล้วก็พูดอะไรเศร้าๆ บิวด์อารมณ์ให้เด็กเกิดความรู้สึกรักแม่แล้วร้องไห้กันอะไรกัน กิจกรรมไร้ประโยชน์ที่ไม่สนใจความรู้สึกของเด็กที่ไม่มีแม่ เราก็รอดมาได้ทุกปี เราไม่ตาย แล้วเราก็ไม่เคยกลับมาร้องไห้ที่บ้าน
เราเริ่มไม่มีความสุขตอนขึ้นม.1 ด้วยความจำเป็นของที่บ้าน เราถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ เราไม่อยากไป แต่มันเหมือนไม่มีใครได้ยินเสียงของเรา เรานอนร้องไห้แทบทุกคืน ชีิวิตที่โรงเรียนเป็นอะไรที่แย่มาก เราไม่เคยไม่มีความสุขมากขนาดนั้นมาก่อนเลยในชีวิต จบม.1 เราถามพ่อว่าเราออกจากประจำได้รึยัง พ่อก็บอกว่ายัง พอจบม.2 เราก็ถามพ่ออีก พ่อก็บอกว่ายัง แล้วก็บ่นแบบรำคาญๆ พอจบม.3 เราไม่ได้ถามแล้ว เราไม่มีสิทธิตัดสินใจอะไรอยู่แล้วนี่ ถามไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แต่สุดท้ายพ่อก็ให้ออกตอนจบม.3 เรามาอยู่ไป-กลับตอนม.ปลาย ก็เหมือนจะมีความสุขขึ้นนะ แต่เราก็ยังรู้สึกไม่มีความสุข แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร เวลาที่เราเกลียดชีวิตตัวเอง เราจะอ่านหนังสือ แล้วจินตนาการว่าเรามีชีวิตแบบในหนังสือ ไม่ใช่แบบที่เรากำลังเผชิญอยู่ ถ้าไม่อ่านหนังสือ เราก็จะนั่งแชทกับเพื่อนหน้าคอม ชีวิตเรามีแค่นี้ เราเป็นแบบนี้จนถึงช่วงมหาลัย น่าจะประมาณปี 3 หรือปี 4 วันนั้น เรากำลังจะออกไปเรียน เราได้ยินคนที่บ้านคุยกัน ‘เจนมันเป็นอะไร ทำไมโตมามันไม่พูด เด็กๆ ไม่เห็นเป็นแบบนี้’ เรารีบออกมาก่อนเพราะไม่อยากรู้ว่าเค้าจะพูดอะไรกันต่อ
ฟังดูอาจจะเหลือเชื่อ แต่เราเพิ่งจะมารู้ตัววันนั้น ตลอดเวลาตั้งแต่ม.1 จนถึงวันนั้น เราไม่เคยรู้ตัวเลย ไม่รู้เลยจริงๆ เราอยู่กับมันมานานจนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเรา ไม่สิ มันคือตัวเรา เราคือคนเงียบ คนไม่พูด คนมองโลกในแง่ร้าย เราพยายามอย่างมากที่สุดที่จะไม่เป็นจุดสนใจ เราไม่ชอบคุยกับใคร แล้วก็ไม่ชอบให้ใครมาคุยด้วย นี่คือตัวเรา เราถูกบ่มเพาะมาให้เป็นคนแบบนี้โดยสารพัดสิ่งที่เราได้พบได้เจอมา เราไม่เคยรู้สึกเลยว่ามันเป็นปัญหา จนถึงตอนนี้ เราก็ยังไม่รู้สึก
…ถ้ามีคนมาบอกให้เราแก้ปัญหาชีวิตซะ แล้วเราก็จะหายซึมเศร้า เราคงหัวเราะใส่เค้า แล้วก็บอกเค้าไปว่า ปัญหาชีวิตอะไร ชั้นไม่มีปัญหาชีวิต ฮ่าฮ่าฮ่า
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in