หลายวันก่อน เพื่อนเราคนนึงมาบอกเราว่า เพื่อนนางปวดหลังแล้วปวดลงขา ขาชา ก็เลยไปหาหมอที่รพ.ที่เราไปหาประจำอยู่ตอนนี้ นางก็เล่าว่า หมอบอกว่าเพื่อนนางเป็นหมอนรองทับเส้นนะ ที่ข้อนี้ๆ แล้วหมอก็พูดประมาณว่า ‘คนไข้ก็รู้อยู่แล้วเนอะว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ ไม่ต้องเขียนลงใบรับรองแพทย์เนาะ’ แล้วก็ไม่แนะนำให้ผ่า เพราะเห็นว่าอาการยังไม่หนัก ด้วยความที่เราเล่าเรื่องที่เราหาหมอให้เพื่อนคนนี้ฟังตลอด เพื่อนก็เลยเกิดความสงสัยว่ามันหมอคนเดียวกันรึเปล่าวะ ทำไมกวนตีนเหมือนกัน นางก็เลยถามเพื่อนนางว่าหมอออโธที่หาชื่ออะไร ก็สรุปว่าเป็นหมอคนเดียวกันกับเรา โลกกลมไปอีก
เราไม่ได้ตั้งใจจะไปหาหมอคนนี้ตั้งแต่แรก ตอนแรกเรามองรพ.รามา ไว้ เราหาชื่ออาจารย์หมอจากอินเตอร์เน็ต แล้วก็โทรไปนัดที่คลินิกนอกเวลา ปรากฏว่านัดเร็วสุดที่ได้คือต้องรออีก 1 เดือน ซึ่งอันนี้คือไม่ระบุชื่อหมอนะ ถ้าระบุชื่อหมอต้องรอนานไปอีกเกือบ 1 เดือน รวมเป็นเกือบๆ 2 เดือน
“รอไหวไหมคะ” คนปลายสายถาม
เราก็บอกไปตรงๆ ว่า ไม่ไหว ปวดมาก เค้าก็บอกว่าขอโทษด้วยจริงๆ แต่เร็วกว่านี้ไม่มีแล้วค่ะ เราก็เลยตัดสินใจนัดที่รามาไปก่อน กันเหนียว
หลังจากผิดหวังจากรามา เราก็ไปบ่นให้เพื่อนฟัง พี่ของเพื่อนที่เป็นพยาบาลอยู่ที่ออโธปิดิกส์ ศิริราช ก็มากดดันบอกให้เราไปหาหมอด่วน อันตรายงู้นงี้ เราก็บอกว่านัดรามาไปแล้ว ต้องรอเดือนนึง พี่นางก็ถามว่าจะมาศิริราชไหม ก็แนะนำชื่ออาจารย์หมอมาให้ 2 คน คนนึงเป็นถึงหัวหน้าภาคหรืออะไรสักอย่าง
“อาจารย์xxxxเค้าค่อนข้างยุ่ง หาอาจารย์yyyyดีกว่านะ” พี่เพื่อนบอก
…ก็ไม่เข้าใจว่าจะให้ชื่ิอมาสองชื่อแต่แรกทำไม
ต้องขอบคุณฟ้า ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณอะไรก็ตามแต่ ที่ทำให้ศิริราช มีศิริราช ปิยฯ และก็ต้องขอบคุณที่ช่วงนั้น คนยังไม่ค่อยนิยมมาศิริราช ปิยฯ สักเท่าไหร่ เราเลยสามารถนัดอาจารย์หมอคนที่พี่เพื่อนแนะนำมาได้ภายใน 1 สัปดาห์ ดีใจมากตอนนั้น แต่ก็แอบกลัวกับค่ารักษา ไม่รู้ว่ามันจะแพงเบอร์ไหน เพราะรพ.นี้มันหรูในระดับที่รพ.เอกชนยังต้องอายเลยทีเดียว
วันนั้นจำได้ว่าลางานไปหาหมอ พ่อก็ลางานมาขับรถพาเราไป โดยที่พ่อก็คิดในหัวตลอดนะว่า เราไม่ได้เป็นอะไรมาก เราแค่เส้นเอ็นยึดเหมือนที่พ่อเคยเป็น ซึ่งพ่อไปนวดแผนโบราณแล้วมันหาย พ่อก็เลยเอาแต่พูดใส่เราว่า ‘เจน พ่อว่าลองไปนวดดูก่อนมั้ย’ พ่อว่างั้น พ่อว่างี้ อะไรก็ได้ที่ไม่ต้องหาหมอ เราก็งงพ่ออยู่หน่อยๆ ว่าพ่อจะไปด้วยทำไมวันนั้น เพราะพอเข้าไปหาหมอ พ่อก็ไม่เข้าไปด้วย เอาแต่นั่งเล่นโทรศัพท์ ไม่สนใจอะไรสักอย่าง
เจอหมอครั้งแรก หมอให้เราเดินให้ดู ซึ่งเราก็ยังเดินได้แต่จะเป๋นิดหน่อย หมอให้นอนแล้วจับขาเรายกขึ้นทีละข้าง เราก็ทำได้ ไม่เจ็บไม่ปวดอะไร แค่เส้นตึงๆ นิดหน่อย หมอก็ถามอาการว่าปวดแบบไหน
“ปวดข้างในก้น ลงไปที่ขา มันปวดข้างในขา เหมือนในกระดูก บอกไม่ถูก แต่ไม่เหมือนปวดขาทั่วไปที่เดินมากแล้วปวด หรือตะคริวไรงี้ จะไม่ใช่แบบนั้น แล้วก็ชา”
“แล้วปวดตอนไหนบ้าง” หมอถาม
“ตอนที่ยืน ตอนเดิน … ยืนไปสักไม่ถึงสิบนาทีก็ปวด”
“ปวดนี่ทนไหวไหม ต้องหาที่นั่งเลยไหม”
“ก็ทนได้แหละ ถ้าไม่มีเก้าอี้ก็ไม่ลงไปนั่งกับพื้นอ่ะ” เราตอบ
เผอิญนี่เป็นมนุษย์ฟอร์มจัดไง ให้บอกคนอื่นหรือถามหาเก้าอี้หรอ ไม่มีทาง ยิ่งลงไปนั่งกับพื้นนี่ไม่มีวันซะหรอก ‘แกสบายดี’ เราบอกตัวเอง ‘แกต้องทนให้ได้ อย่าให้ใครเห็นว่าแกอ่อนแอ อย่าเด็ดขาด!’
หมอก็สรุปตั้งแต่วันนั้นว่าคงจะหมอนรองกระดูกปลิ้นไปทับเส้นประสาทแหละ แต่ก็ยังไม่สั่งไป x-ray หรือ mri เพราะเราบอกเค้าว่า เราเป็นมาหลายปีแล้ว แล้วเคยหายปวดไปเกือบปี แล้วมันก็กลับมาใหม่แลัวก็ปวดมากกว่าเดิม หมอก็คงคิดมั้งว่าเดี๋ยวมันก็หายได้อีก ก็เลยให้ยา สั่งห้ามยกของหนัก ห้ามนั่งนานๆ แล้วก็สั่งให้ไปว่ายน้ำ … นี่ก็ผ่านมาปีกว่านับจากวันนั้น เราก็ยังคงยกของหนัก (บ้าง เป็นบางครั้ง) ยังคงนั่งรถนานๆ (ก็รถมันติด ออกไปไหนไม่ได้ จะให้ออกไปเต้นนอกรถรึไง บ้า) และยังคงไม่ไปว่ายน้ำ (สระน้ำในหมู่บ้านมันเน่าไง ว่ายไม่ลง แถมพ่อไม่ให้ขับรถด้วย จะให้ไปว่ายที่ไหนล่ะ)
หมอออโธของเราเป็นผู้ชายตี๋ ใส่แว่น เนิร์ดๆ สะอาดๆ พูดเสียงเบาๆ ยิ้มง่าย ใจดี และตลก ตอนแรกเราก็เข้าใจว่าที่หมอกวนตีนใส่เรา (ขอใช้คำว่ากวนตีนนะ เพราะหมอกวนตีนจริงๆ และเราก็ไม่รู้จะใช้คำไหนแทนแล้ว) คงเป็นเพราะเรากวนตีนใส่หมอก่อน ซึ่งเราก็ยอมรับว่าเรากวนตีนใส่หมอจริงๆ อาจจะเป็นเพราะเราแค้นจากวันแรกที่เจอ ที่เราบอกหมอว่า เวลายืนหรือเดินมันจะปวด แล้วหมอได้ตอบเรามาว่า “ก็อย่ายืน อย่าเดินสิ”
…นี่แค้นมาก แค้นสุดๆ
ทุกครั้งที่เจอ หมอจะแฮปปี้ ดี๊ด๊า ใส่เราเสมอ ทักทายอย่างอารมณ์ดี ถามตลอดว่าหายยังๆ ซึ่งเราก็จะแกล้งหมอตลอดด้วยการตอบว่าหายแล้ว ทั้งที่ยังไม่หาย แทบจะทุกครั้งที่ไปหาหมอ มันเหมือนกับเราไปนั่งโอดครวญใส่หมอ ให้หมอปลอบประโลมจิตใจที่บอบช้ำจากความเจ็บป่วยเรื้อรังครั้งนี้ ซึ่งหมอก็ทำได้ดี เราเคยคิดอยากจะให้หมอจิตกับหมอออโธสลับตัวกัน หมอจิตเป็นหมอออโธ หมอออโธเป็นหมอจิต เพราะเรารู้สึกอยากคุยกับหมอออโธมากกว่าหมอจิต รู้สึกว่าคุยด้วยแล้วสบายใจกว่า กับหมอจิตมันจะรู้สึกอึดอัดแปลกๆ แต่หลังๆ มา เราก็เริ่มโอเคกับหมอจิตแล้วนะ เริ่มอยากคุยกับหมอมากขึ้น เปิดใจมากขึ้น
หลายคนบอกให้เราเปลี่ยนหมอออโธ ไปหาหมอคนใหม่ซะ หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องทนปวดอยู่อย่างงี้ แทนที่จะผ่าๆ ซะจะได้จบๆ เรื่องอนาคตก็ปล่อยให้เป็นเรื่องอนาคตไป จะผ่าอีกรอบหรือจะไม่ต้องผ่า มันก็ไม่มีใครรู้ หรือเราอาจจะตายตอนอายุ 50 ก็ได้ ก็ไม่ต้องผ่าใหม่แล้วเพราะตาย จบ เราเข้าใจว่าหมอแต่ละคนมีความเห็นไม่เหมือนกัน สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเลือกที่จะไปรามาหรือศิริราชก็เพราะเราไม่ต้องการการรักษาที่เอะอะผ่า เอะอะผ่า เราเคยไทรอยด์โตข้างเดียว ไปรักษาที่รพ.เอกชนแถวบ้าน กินยาแพงๆ อยู่ปีนึง ไม่หาย สุดท้ายหมอจะจับผ่า เราก็เลยหนีมารามา หมอที่รามาบอกไม่ควรผ่า ก็กินยารักษาไป เจาะเอาน้ำออกอยู่หลายรอบ แล้วมันก็หาย เออ ตลกดี ร่างกายเราคงชอบยาถูกๆ มากกว่ายาแพงๆ สินะ
เรารู้สึกได้ว่าหมอออโธเค้าหวังดีกับเราจริงๆ คือเค้าก็พูดตรงๆ ว่าทำไมไม่อยากให้ผ่า ทำไมอยากให้รักษาตัวไว้ เค้าบอกหมด แล้วเค้าก็ยังบอกด้วยว่าถ้าอยากจะผ่าจริงๆ เค้าก็จะผ่าให้ ซึ่งเราก็ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเลย เราแค่อยากผ่าเพราะรำคาญ เพราะเบื่อ เพราะไม่อยากทรมาน หมอก็จะทำหน้าจริงจังแล้วบอกว่า เราจะไม่ผ่าเพราะรำคาญหรือเพราะเบื่อนะ เราต้องผ่าเพราะมันคือวิธีที่ดีที่สุด ถ้าผ่าเพราะรำคาญ เดี๋ยวผ่าไปมันก็จะมีอะไรให้รำคาญอีก มันก็จะเจ็บแผล เสียวเวลาเอี้ยวตัว หรืออะไรไปอีก ซึ่งอันนี้เราขอชื่นชมหมอเลย หมอเก่งมากในเรื่องการพูดให้เรารู้สึกไม่อยากผ่าตัด ฟังหมอจบมันก็จะเคลิ้มๆ ไปพักนึงเลยว่า เออ ใช่ เราไม่ควรผ่า เราต้องรักษาตัวเอง เราต้องเชื่อหมอ เหมือนไปเข้าคอร์สขายตรงอะไรแบบนั้น passive income ชั้นจะรวย ชั้นจะประสบความสำเร็จ ชั้นจะหิ้วแอร์เมส ชั้นจะขับลัมโบ จะลอยๆ ฝันๆ หน่อย …นี่ชั้นโดนหมอป้ายยาเปล่าวะ
เราไม่อยากไปหาหมอที่อื่นเพราะ 1 เราขี้เกียจ และ 2 หมอคนเดิมก็ดีกับเรา ทำไมเราต้องเปลี่ยน เราคิดแค่นี้จริงๆ second or third opinion หรอ ยิ่งขี้เกียจเข้าไปใหญ่ ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร มันอาจจะเป็นเพราะใจเราไม่อยากผ่าด้วยมั้ง ไอ้ความรู้สึกที่อยากผ่าให้แม่งจบๆ ไป มันอาจจะเป็นเพราะเราเป็นซึมเศร้าด้วยรึเปล่า เราไม่อยากตัดสินใจอะไรตอนนี้ เราควรตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ ในช่วงที่เราจิตใจปกติ หมอจิตเองก็เคยบอกว่าเราอายุน้อยไปที่จะผ่าอะไรแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละ หมอไม่ได้มีพลังวิเศษที่พอมาแตะตัวเราแล้วก็สามารถรับรู้ได้ว่าเรารู้สึกยังไง เจ็บปวดยังไง ไม่มีใครรู้ นอกจากตัวเราเอง
เรายอมรับว่าเราทรมานในระดับมากเลยกับโรคๆ นี้ การใช้ชีวิตของเราลำบากขึ้นเยอะมาก แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมืออะไรแบบนั้นนะ มันจะแบบ เปลี่ยนทีละนิดละหน่อย พอนานๆ เข้า มองย้อนกลับไปดูถึงค่อยรู้สึกว่า เฮ้ย นี่เราต้องเปลี่ยนตัวเองเยอะขนาดนี้เลยหรอ – เราไม่ได้ไปห้างกับเพื่อนมานานมากแล้ว การไปพารากอนครั้งล่าสุดของเราคือการไปประชุมที่โรงแรมข้างหลัง การยืนเลือกหนังสือนานๆ ที่คิโนะเป็นสิ่งที่เราทำไม่ได้อีกต่อไป เราขึ้นรถไฟฟ้าและรถเมล์ไม่ได้ เพราะเราไม่อยากเสี่ยงต้องยืนนานๆ กรณีที่มันไม่มีที่นั่ง เวลาไปรพ. แต่ก่อนเรายังมีอารมณ์ลงรถที่ธรรมศาสตร์ แวะดูหนังสือ แล้วค่อยนั่งเรือมาวังหลัง แล้วก็เดินมาปิยฯ แต่ตอนนี้เรานั่งแทกซี่ตรงมาที่ปิยฯ ขากลับก็ให้รพ.เรียกแทกซี่ให้แล้วก็ตรงกลับบ้าน ไม่มีการเดินไปซื้อหนมปังมาฝากชาวบ้าน หรือชวนเพื่อนไปกินข้าวแถวรพ.อีกต่อไป ถ้าเพื่อนอยากกินข้าวกับเราอะหรอ นี่ค่ะ ในปิยฯ มีร้านเยอะแยะ กินในนี่เอาเนอะ เพื่อนก็เบื่อจนเลิกบ่นเราละ เราโดนพ่อสั่งห้ามขับรถ เพราะที่เราเป็นมันลงขาขวา เราบอกหมอออโธเรื่องนี้ รู้ไหม หมอบอกว่าอะไร
“รถทะเบียนอะไร” หมอถาม
“ห๊ะ!?” ถามทำไม หมอก็ดูหน้าตาไม่น่าจะเล่นหวยนะ
“ก็ถ้าผมเจอบนถนน ผมจะได้รีบขับหนีไง” หมอตอบ
เชื่อรึยังว่าหมอเราเป็นคนกวนตีน
พี่ ได้อ่าน ที่คุณเจนเขียนลงเกี่ยวกับอาการ กระดูกแอล5ปลิ้นไปกดทับเส้นประสาท ทำให้ตอนนี้ขาขวา ปวดร้าวลงน่อง และเท้าชา พี่กำลังหาข้อมูลคะว่ามีที่ไหนรักษา นอกจากการผ่าตัด