เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
A Kiss of the Death and Persephone (DEMO)GIRL WHO WEAR GREY
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน 1
  • กลางดึกของวันธรรมดาภายในบ้านเดี่ยวสองชั้น ลึกเข้าในห้องนอนในสุดคือรังกบดานของเด็กสาววัยบานสะพรั่ง เสียงสะอื้นไห้เล็ดลอดมาจากบานประตูท่ามกลางความเงียบงันของบ้านซึ่งไม่มีใครอยู่ด้วยกิจธุระและภาระส่วนตัว ที่มาของเสียงสะอื้นเกิดจากคมแหลมของแก้วมัคเซรามิกกรีดแทงลึกจากท้องแขนเรียบเนียนสู่ข้อมือเล็กข้างซ้าย โจเซลีน หญิงสาวเรือนผมดำยาวถึงกลางหลังร่ำไห้หน้ากระจกให้กับความเจ็บปวดและเฮงซวยทั้งชีวิต ไม่รู้สึกผิดสักนิดกับการปลิดชีพตัวเองเพราะมันผ่านกระบวนการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว น้ำตาหลั่งรินฟูมฟายและภาวนาให้ความตายมาถึงโดยเร็ว ทว่าโลกความจริงกลับเหนี่ยวรั้งให้ทรมานกับความเจ็บปวดและกองเลือดสีแดงฉานซึ่งหลั่งไหลตามแนวกรีดบนแขน

    เมื่อร้องไห้จนแววตาพร่ามัวด้วยแอ่งน้ำแห่งความโศกเศร้าจนแทบขาดใจ ห้องนอนสี่เหลี่ยมแต่งผนังสีครีมขนาดห้าสิบตารางเมตรพลันเย็นเยียบจับขั้วหัวใจเป็นสัญญาณการมาถึงของผู้มาเยือนใต้ผ้าคลุมสีเข้มยาวถึงพื้น นัยน์ตาสีครามจดจ้องมองผู้โหยหาความตายอย่างนิ่งเฉยขณะเดินเข้าใกล้ ต้นไม้ฟอกอากาศใบเขียวชอุ่มพลันแห้งตายและมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะบนกระถาง

    “ทำไมมาช้าจังล่ะ?”

    “ดีใจที่ได้เจอคุณอีกนะ” ยมทูตไม่ตอบคำถาม ทว่ากลับกระตุกมุมปากยิ้มเยือกเย็น

    เขาแหงนมองนาฬิกาติดผนังในห้องของมนุษย์ที่กำลังทรมานกับการเสียเลือด หล่อนเหลือเวลาอีกไม่ถึงห้านาทีก็จะกลายเป็นเพียงศพแห่งความทรงจำ ผู้เก็บเกี่ยววิญญาณรอคอยอย่างอดทน นัยน์ตาสีครามดั่งมหาสมุทรจดจ้องมองหญิงสาววัยผลิบานขณะเงี่ยหูฟังเสียงเข็มนาฬิกาเลื่อนผ่านหน้าปัด

    ความรู้สึกหลากหลายก่อตัวในห้วงนาทีเนิ่นนานราวกับผีเสื้อกระพือบินในช่องท้องของผู้ใกล้ถึงฆาต “คุณทรมานมาเยอะแล้ว ผมจะช่วยทำให้มันจบ” ยมทูตกล่าวเสียบแหบทุ้มพลางวางมือใหญ่บนไหล่ข้างหนึ่งเพื่อคลายกังวลและทุเลาความเจ็บปวด ร่างกายเหนื่อยล้ายอมรับสัมผัสหวังดีจากความตาย ไหล่แคบผ่อนคลายและตัวเบาลง “ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วนะ” ว่าแล้วผู้ซ่อนตัวตนใต้ผ้าคลุมยื่นใบหน้าขาวทาบริมฝีปากนุ่มกับกลีบกุหลาบซีดของหญิงสาวเพื่อดูดกลืนลมหายใจและความรู้สึกทั้งปวงจนสิ้น

    มันหนักอึ้งด้วยเลือดและน้ำตาจนขมปร่าไม่เหมือนกับจูบหอมหวานอย่างในเทพนิยาย ยมทูตกดย้ำบนริมฝีปากคู่นั้นเมื่อภาพทรงจำเริ่มล้นทะลัก เมื่อทำแบบนั้นทำให้ไม่มีช่วงเวลาใดในชีวิตของผู้ตายหล่นหาย เขาเห็นใบหน้าของเด็กชายและผู้กระทำชำเรากระจ่างชัดผ่านมุมมองของหญิงสาว ทั้งสองเคยพบกันแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสองปีก่อนในวันที่แฟนคนเก่าขืนใจแล้วแพร่งพรายเรื่องหญิงสาวไม่สวมยกทรงเพื่อให้ท่าใครต่อใครและรอยสักลึกลับใต้ร่มผ้า หล่อนโหยหาความตายตั้งแต่ตอนนั้นเพื่อความทรมานจบลง

    ยมทูตปรากฏตัวที่หัวเตียงของชายเดรัจฉาน ลูกแก้วดำสนิทเอ่อล้นด้วยน้ำตาเห็นเงาทะมึนสวมผ้าคลุมสีเข้มพร้อมกับเคียวด้ามยาว เรือนผมดำย้อมปลายสีเทาเล็ดลอดให้เห็นจากผ้าคลุมหัวและริมฝีปากซีดบางขยับเป็นคำพูดซึ่งมีเพียงหล่อนเท่านั้นที่ได้ยิน “ใจเย็นที่รัก ยังไม่ถึงวันของคุณ แต่อีกไม่นานเศษสวะนี่จะได้ชดใช้สิ่งที่ตัวเองทำ แล้วเราจะได้เจอกันอีก” และหนึ่งเดือนต่อมาชายชั่วก็ถูกไล่ออกจากโรงเรียนเนื่องจากพฤติกรรมอนาจาร เขาหายสาปสูญเมื่อข่าวลือว่าเขาเป็นนักล่าแต้มแพร่กระจายไปทั้งโรงเรียน

    นอกจากนี้ยังมีเรื่องครอบครัวห่วยแตกของเธอที่เห็นลูก ๆ ของตนเป็นถ้วยรางวัลไว้อวดใครต่อใคร พวกท่านปฏิบัติตนกับหล่อนเหมือนลูกจ้างบริษัทรับจ้างเรียน แม้พวกท่านบอกว่าไม่จำเป็นต้องเรียนเก่งแต่ก็เปรียบเทียบกับพี่ทั้งสองไม่หยุดปากเมื่อผลสอบออก พี่ ๆ ของหล่อนคือที่พึ่งเดียวบนโลกโหดร้ายแต่พวกเขาก็มีบาดแผลของตัวเอง มนุษย์ผู้หวังความตายแบกความเจ็บปวดเหล่านี้เป็นแรมปีอย่างน่าสงสารจนกระทั่งมันแปรเปลี่ยนเป็นเนื้อร้ายลุกลามกัดกินหัวใจจนจบชีวิตลงอย่างที่เห็น

    ยมทูตเก็บเกี่ยววิญญาณได้ทันเวลาเหมือนภารกิจที่ผ่านมา เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ยมทูตถอนริมฝีปากและกลั่นความทรงจำทั้งหมดออกมาเป็นน้ำตาหยดหนึ่งเก็บไว้ในขวดแก้วจิ๋วเพื่อบันทึกการตาย เขาเช็ดเลือดที่เปื้อนขอบปาก วิญญาณสาวหัวเราะในลำคอพึงใจเมื่อยมทูตนำพาความสบายใจมาให้ สภาพของเธอสวยงามไม่ต่างจากคราวที่มีชีวิตเพียงแต่เป็นร่างผ่ายผอมโปร่งแสงสวมอาภรณ์เบาบางและมีนัยน์ตาขาวโพลนไร้แวว

    “เพิ่งรู้ว่ายมทูตร้องไห้ด้วย”

    “หึ แซวแบบนี้ แปลว่าสบายใจแล้วสิ” ยมทูตเก็บขวดแก้วไว้ในกระเป๋าถืออย่างระมัดระวัง เขาแหงนหน้ามองนาฬิกาติดผนังอีกครั้งแล้วสนทนาต่อกับวิญญาณมือใหม่ “แต่ว่าคุณจะยังติดอยู่ที่นี่สักพักนะ ไม่นานมากหรอก มันเป็นกฎน่ะที่รับวิญญาณฆ่าตัวตายไปโลกล่างทันทีไม่ได้ เมื่อถึงเวลา ผมจะมารับไปที่บ้านหลังใหม่ของคุณ”

    “เฮ้อ แย่ชะมัด” วิญญาณสาวบ่นอุบ “แล้วฉันจะได้เจอคุณอีกไหม”

    “ถ้ามีคนตายแถวนี้ เราอาจจะได้เจอกันอีก ทำไมเหรอ”

    “คือว่า… จูบของคุณ” วิญญาณสาวอ้ำอึ้งเขินอายขึ้นมาอย่างนั้น ยมทูตเห็นว่าหน้าและหูของหล่อนแดงไปหมดซึ่งทำให้น่าสนใจไม่น้อย “เอ่อ ฉันพูดได้ใช่ไหม”

    “พูดมาเถอะ อย่าทำให้ผมทรมานเพราะความอยากรู้เลย”

    “จูบของคุณ… มันอบอุ่น เต็มไปด้วยเจตนาและความหวังดี ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้จากจูบของใคร จนกระทั่งเป็นคุณ”

    ความตายคว้าวิญญาณโฉมงามมาจุมพิตอีกครั้งเพื่อบอกหล่อนว่า งานของความตายมันซื่อตรงและจริงใจเพราะไม่มีใครได้ประโยชน์จากการโกหกแสร้งทำ ผมช่วยคุณจากความทรมานแล้วดังนั้นคุณจะไม่เสียใจอีก จูบครั้งนี้ดูดดื่มกว่าครั้งก่อนเพราะมันไม่ใช่การเก็บเกี่ยว ทว่าเป็นการแสดงความรักอย่างอ่อนโยนเท่าที่วิญญาณปวดร้าวควรได้รับ

    “คุณมีธุระต่อจากนี้หรือเปล่า”

    “ผมจะต้องกลับสู่ภพแห่งความตายทันทีที่ทำงานเสร็จ แต่ดูเหมือนคุณยังมีอะไรค้างคาอยู่” ยมทูตกล่าวขณะที่ลูกแก้วสีครามรีดเค้นให้วิญญาณสาวสำรอกความจริงเพื่อย้ำเป็นนัยว่า อย่าทรมานเขาด้วยความอยากรู้เลย ความตายไม่มีความรู้สึกซับซ้อนและเขาไม่อยากไปไหนจนกว่าโจเซลีนจะสบายใจ

    “ฉันแค่ไม่อยากอยู่คนเดียวในวังวนการฆ่าตัวตายนี้ พอจะรู้บ้างว่าอาจจะต้องกรีดแขนตัวเองหน้ากระจกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนครบวาระแล้วเป็นอิสระ แต่ฉันอยากให้คุณอยู่ด้วย อย่างน้อยก็ในคืนนี้ แค่ตอนนี้ก็ได้” นั่นมันแค่เหตุผลรองของวิญญาณสาวผู้เปี่ยมล้นด้วยความรู้สึก ยมทูตมองนิ่งไม่โต้ตอบเพื่อให้หล่อนคายความจริงอีกชุดหนึ่ง “ฉันต้องการคุณ เซฟทิส”

    เซฟทิสรับรู้ได้ตั้งแต่จูบแรก เพียงแต่ต้องการฟังจากเจ้าตัว ผู้เปลี่ยวเหงาถูกทรยศมาทั้งชีวิตโหยหาความอบอุ่นและต้องการครอบครองไว้นานเท่านาน ยมทูตหนุ่มโอบกอดวิญญาณสาวตามที่หล่อนร้องขอ เขาอุ้มร่างผอมลงบนโซฟาโดยใช้ปีกอีกาขนาดใหญ่กั้นระหว่างโลกความจริงซึ่งเป็นภาพไม่น่ามอง เพื่อให้หล่อนมีเพียงเขาในสายตาเท่านั้น

    เพราะคุณคือความอบอุ่นเดียวในโลก ฉันจึงอยากรั้งคุณไว้ด้วยสัมผัสเย็นชืดก่อนที่เราต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าต้องแยกย้ายสู่ที่ของตัวเอง จูบของคุณทำให้ความกลวงเปล่าของวิญญาณพลันมีดอกไม้เติบโตกลางใจ เสียงความคิดของโจเซลีนเพรียกหาแต่คุณยมทูตอย่างหมกมุ่น อ้อนวอนให้เขาสัมผัสและโอบกอดอย่างนี้จนกระทั่งถึงกาลต้องลาจาก

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in