"การ burnt-out กับงาน มันทำให้เรารู้สึกอึดอัดกับงานที่ต้องทำ รู้สึกว่ามันทนไม่ไหวแล้วที่จะต้องทำงานนี้ แม้จะเป็นเพียงงานง่ายๆ ก็ตาม บางครั้งแค่ทำให้ตัวเองอยากลุกจากเตียงมาทำงานยังยากเลย"
ความรู้สึกอยากพัฒนาตัวเอง การมองหางานที่ท้าทายสนุก หรือแปลกใหม่ อาจเป็นธรรมชาติที่คนวัยเราซึ่งเป็นวัยเริ่มต้นทำงานมองหาเหมือนกันก็ได้ ตอนเริ่มงานใหม่ๆ ทุกอย่างดูสนุก ดูท้าทายเราต้องปรับตัวและพยายามเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา พองานหนึ่งสำเร็จก็ยังมีงานอื่นๆ ที่ท้าทายรอให้เราไปทำอยู่อีก แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก พอเราเริ่มคุ้นชินกับงาน ความรู้สึกท้าทายและสนุกกับงานจะค่อยๆ หายไปยิ่งถ้าเราเริ่มรู้แล้วว่าหัวหน้างานหรือเพื่อนร่วมงานของเราไม่ได้เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีของกันและกันในการทำงานเลย
ของเราอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น อย่างที่เราเคยบอกไปในตอนแรก ทั้งหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานของเราดีมาก ปัญหาอย่างเดียวของเราหลังจากที่ทำงานมาเรื่อยๆ คือ เราเริ่มรู้สึกว่า Learning curve ของเราตกลงและไร้ซึ่งความชันอีกต่อไป ข้อดีอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในสถานการณ์นี้คือเรารู้ตัวเร็ว เรารู้ว่าเราเริ่มต้องใช้ความอดทน เวลา และแรงใจมากขึ้นในการทำงานแต่ละชิ้น ทั้งที่มันก็คืองานที่เราคุ้นเคยและไม่ได้รู้สึกว่ามันยากอะไร แต่การจะโฟกัสในการทำงานนี้กลับยากขึ้นไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ต้องอาศัย Deadline Effect เสียทุกครั้งไป ซึ่งเราไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย
เราเรียกระยะนี้ว่าระยะกำลังมอดไหม้ มันยังไม่ถึงขั้นที่เหลือเพียงเถ้าถ่าน เรายังรู้สึกว่ามันต้องมีทางแก้ลองหาทางดูก่อนสิ เราเริ่มด้วยการทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับงานและเป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าได้ผ่อนคลายหรือพักผ่อนในแต่ละวันหลังเลิกงาน หลังจากนั้นเราใช้วันลาทั้งหมดที่มีหยุดงานติดต่อกันไปเลยจากที่ไม่เคยลาหยุดมาก่อน แล้วไปเที่ยวในที่ที่ไม่เคยไป หยุดติดต่องาน หยุดสื่อสารกับโลกภายนอกทุกอย่าง ซึ่งพอกลับมาแล้วมันดีขึ้นนะ มันเหมือนเริ่มมีไฟกองเล็กๆ ติดขึ้นมา พอกลับมาทำงานแล้วเราสดชื่นขึ้น มีแรงในการทำงานเหมือนเดิมหรืออาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เหมือนทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางดีแล้ว แต่ความรู้สึกนี้กลับอยู่ได้ไม่นานเลย
เพราะผ่านไปสักพัก ความรู้สึกเดิมๆ มันกลับมาวนลูปอีกครั้ง ครั้งนี้เราเลยเลือกที่จะคุยกับหัวหน้าของเราตรงๆ ซึ่งเราไม่รู้ว่าบริษัทอื่นๆ สามารถทำแบบนี้ได้หรือเปล่า แต่โดยส่วนตัวแล้วเรามองว่าถ้าบริษัทไหนใส่ใจกับภาวะหมดไฟของพนักงาน บริษัทนั้นคงเป็นบริษัทที่ดีบริษัทหนึ่งเลย ยิ่งถ้าคนในบริษัทอย่างหัวหน้างานสังเกตเห็นความผิดปกตินี้หรือสามารถป้องกันก่อนที่มันจะเกิดขึ้นมาได้คงดีเยี่ยมเลยแหละ แล้วมันก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อตัวพนักงานเท่านั้น บริษัทเองก็จะได้พนักงานที่มีไฟในการทำงานตลอดเวลาด้วยเหมือนกัน
ในกรณีของเราหัวหน้าของเรารับฟังและพยายามช่วยหาทางแก้ไข แต่ด้วยเงื่อนไขหลายๆ อย่างของทั้งตัวบริษัท ตัวหัวหน้า และตัวเรา มันเลยไม่มีทางแก้ไขได้ในตอนนั้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราตัดสินใจลาออกทั้งๆ ที่เราอยู่บริษัทนี้มาตั้งแต่เริ่มแรก มันเลยเป็นการตัดสินใจที่ยากมากๆ สำหรับเรา
เราตัดสินใจลาออกมาพัก มาหาทางฮีลความรู้สึกตัวเองให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เราโชคดีที่คนรอบข้างเข้าใจและเคารพการตัดสินใจของเรา ถึงแม้จะมีคำพูดที่ไม่เห็นด้วยบ้าง แต่เรารู้ว่าลึกๆ แล้ว มันคือความเป็นห่วงของคนที่รู้จักเราดีที่สุดคนหนึ่ง เพราะเขารู้ว่าเราเป็นคนไม่ชอบอยู่นิ่งชอบผจญภัย ชอบความท้าทาย ชอบออกไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ ข้างนอก การลาออกกลับมาอยู่บ้านของเราเลยทำให้เขากลัวว่าเราจะสูญเสีย Meaning of life ของตัวเองไป
เรารู้ว่าทุกคนมีชีวิตที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็อาจจะเคยรู้สึก burnt-out เหมือนกันกับเราแต่ตอนนี้หายแล้ว บางคนอาจจะกำลังรู้สึกอยู่แต่เงื่อนไขชีวิตมันไม่อำนวยให้ลาออกหรือทำอย่างที่อยากทำได้ หรือบางคนอาจจะยังไม่เคยรู้สึกแบบนี้ เราแค่อยากบอกว่ารักตัวเองให้มากๆ คุยกับตัวเองบ่อยๆ ถามเขาหน่อยว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง รู้สึกอะไรอยู่ ทำยังไงถึงจะยิ้มออกมาได้บ้าง ใจดีกับตัวเองเยอะๆ กอดตัวเองให้แน่นๆ นะ
ปล. สำหรับใครที่เริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังรู้สึก burnt-out อยู่หรือเปล่า ลองเข้าไปทำแบบสอบถามที่นี่ได้นะ http://doh.hpc.go.th/bs/screenBurnOut.php
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in