#หนอนชาเขียวเกี้ยวนางอาย #โจรสลัดฟันเป็ดน้อย #บัวลอยทับทิมกรอบ
#Snook_me
----------------------------------
"สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ" ภพธรยิ้มหลังจากรายงานการประชุมเสร็จ พนักงานลูกค้าก็เริ่มแยกย้ายกันออกจากห้อง ชายอายุ30กว่าลูบท้องตัวเองด้วยความหิว ในขณะที่เขายืนเก็บเอกสาร ลูกค้าคนหนึ่งก็เดินมาข้างๆ
"อ้าว คุณโต้ง ยังไม่กลับเหรอครับ?" ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมาพบกับชายที่มีทรงสกินเฮดใส่แว่นตาดำกรอบทองสไตล์ฮิปฮอป
"ผมชอบงานของคุณมาก ชอบจนอยากพาไปเลี้ยงข้าวเลย" โต้ง พิทวัสพูดยิ้มๆ ในขณะที่ภพธรก็หัวเราะอย่างไม่คิดอะไร เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงแซวเล่นสนุกๆ
"เดี๋ยวผมไปกินเองก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะคุณโต้ง"
"ไม่หรอก ผมอยากเลี้ยง ถ้าไม่สะดวกตอนนี้ ตอนเย็นสะดวกมั้ยครับ?"
"ผมมีนัดแล้วน่ะสิครับ ยังไงก็ขอบคุ-----"
ก๊อกก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะบทสนทนาของชายสองคน ภพธรหันไปก็พบกับธนกฤตที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูพร้อมกับถือถุงอาหารสองถุง
"พี่ตู่ ผมซื้อข้าวเที่ยงมาฝาก"
"ขอบใจนะว่าน" ภพธรยิ้มให้ ก่อนจะหันไปหาพิทวัสที่มองหน้าธนกฤตนิ่งๆแล้วหันกลับมายิ้มให้เขาดังเดิมเหมือนไม่ได้สนใจชายที่เพิ่งเข้ามามากสักเท่าไหร่
"ไว้ค่อยคุยกันนะครับคุณโต้ง สวัสดีครับ"
"ครับผม เจอกันครับ" โต้งตอบยิ้มๆ ก่อนจะเดินสวนออกไปยังประตูที่คนตัวสูงยืนอยู่ ทั้งคู่สบตาผ่านกันครู่หนึ่ง ก่อนจะต่างคนต่างแยกย้ายกันออกไป
คิดจะมาจีบแฟนกูเหรอไอ้ฮิปฮอป ฝันไปเถอะ
"ขอบคุณนะว่าน ไม่เห็นต้องลำบากซื้อมาให้ผมเลย" ภพธรยิ้มแต่คนตรงหน้ากลับมองไปทางอื่นอย่างไม่พอใจ
"เป็นอะไร?"
"เปล่า"
"แน่ใจนะ"
"อืม ไปกินข้าวกันเถอะ" ธนกฤตตัดบทแล้วหันหลังเดินออกไป ตั้งแต่เที่ยงเขาก็ยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกันเพราะเขาต้องการจะกินข้าวกับอีกคน แต่ตอนนี้เขากำลังอารมณ์ไม่ดีจนกินอะไรไม่ค่อยจะลงแล้วล่ะ
จีบกันต่อหน้ากูเลยนะ
ไอ้ฮิปฮอป มึ๊งงงง!!!!!
----------------------------------
"กลับมาแล้ว" ภพธรเปิดไฟแล้วเดินเข้าบ้านก็พบว่าน้องชายของเขานอนอยู่ที่โซฟา คล้ายกับว่านอนค้างอยู่อย่างนั้นไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงแล้ว
"หวัดดีฮะ"
"ลุกมากินข้าวได้ละ"
"ผมกิ---"
"อย่าโกหก" ภพธรพูดดักทางน้องชายของเขา
"หม้อก็ยังไม่ร้อน จานก็วางที่เดิม จะกินแล้วได้ไง พี่รู้ พี่มองออก ลุกมาเดี๋ยวนี้เลย เร็วๆ" พี่คนโตพูดเสียงแข็งเรียกให้อะตอมลุกจากโซฟาอย่างเอื่อยเฉื่อย ซึ่งอีกคนก็ดูจะไม่ขัดขืนอะไร
"นี่เป็นอะไรเนี่ย เห็นนอยด์ตั้งแต่เช้าแล้วนะ" ภพธรถามพร้อมกับทอดไข่ดาวไปพลางๆ ส่วนคนถูกถามก็ไม่ตอบแต่นั่งเล่นมือถือไปเรื่อยๆ
ข้าวเย็นวันนี้ค่อนข้างจะเย็นชืดไปหน่อยสำหรับชนกันต์
ส่วนคนเป็นพี่อย่างภพธรก็ทำได้เพียงอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ เขาก็พอเดาทางออกว่าทำไมชนกันต์ถึงนอยด์ขนาดนั้น ถ้าเป็นเขาเจอรูปถ่ายแบบนั้น เขาคงจะรู้สึกแย่มากกว่าอาการนอยด์ธรรมดาด้วยซ้ำไป
"นี่อะตอม"
"หื้อ"
"ทำไมไม่ไปแจ้งตำรวจล่ะ" ภพธรถาม
"ช่างมันเหอะ มันไม่ได้อันตรายอะไรหรอก ก็แค่คนโรคจิต"
"พี่เป็นห่วงไง ถึงเราจะมีบอดี้การ์ดก็ไม่ใช่ว่าเราจะปลอดภัยนะ"
"ผมรู้ มันก็แค่แฟนเก่าพี่บอยแอบถ่ายผมกับพี่บอยนั่นแหละ ช่างเหอะ ผมไม่ได้อะไรกับพี่บอยแล้วล่ะ" ชนกันต์พูดพร้อมกับทานข้าว จู่ๆไลน์ก็เด้งขึ้นบนจอมือถือพร้อมกับชื่อของคนที่ชนกันต์กำลังไม่อยากเจอที่สุด
"ไม่ตอบเหรอ?"
"หือ?"
"ตอมไม่ตอบพี่บอยเหรอ?"
"ตอบทำไมล่ะ" อะตอมพูดเสียงนิ่งแล้วกดปิดจอก่อนจะจัดการกับข้าวเย็นตรงหน้าให้เสร็จ เขาลุกขึ้นไปล้างจานแล้วหยิบมือถือตัวเองเดินขึ้นห้องไปเงียบๆ ปล่อยให้ภพธรนั่งถอนหายใจเงียบๆคนเดียว
เฮ้อ แล้วแต่แกละกัน
------------------------------------
3 วันต่อมา
ธนนท์นั่งอยู่ในร้านอาหารหรูร้านหนึ่งด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก ภายในอกของเขาสั่นและเต้นแรงจนเขาต้องงอตัวลงมาเพื่อหวังว่าจะคลายความเกร็ง ความตึงเครียดลงไปได้บ้าง ซองสีน้ำตาลอ่อนที่เขาได้รับเมื่อสองวันก่อนวางอยู่บนตัก เพื่อจะใช้ในบทสนทนาที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
จะทำยังไงดี
"มาไวจังเลยเรา" เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นจนเด็กหนุ่มสะดุ้ง รณเดชเห็นดังนั้นก็หัวเราะเบาๆแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
"ตกใจเหรอ? เหม่อเชียว"
"เปล่าครับเปล่า" นนท์พูดเสียงเบาจนแหนมรู้สึกถึงนอาการที่ผิดปกติของอีกค
"เป็นอะไรรึเปล่า? สีหน้านายไม่ค่อยสู้ดีเลย"
"ผมขอโทษที่รบกวนเวลาทำงานนะครับ เพราะงั้นผมจะรีบๆพูด.." ธนนท์สูดลมหายใจ เขาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาผู้ชายอีกคนเลยแม้แต่น้อย
"ไม่เห็นต้องรีบเลย พี่ว่างถึงพรุ่งนี้เช้า" แหนมพูดยิ้มๆอย่างที่ตัวเองชอบทำ ในขณะที่อีกคนไม่ได้ยิ้มตามเลยแม้แต่น้อย
"...อ่า.."
"แล้วเรามีอะไรรึเปล่า? เห็นบอกว่าจะมีเรื่องพูดกับพี่" รณเดชถามพร้อมกับเปิดเมนูอาหารดูพลางๆ ในขณะที่ธนนท์ก็ก้มหน้านำถุงกระดาษสีน้ำตาลเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองไปก่อนจะปั้นหน้ายิ้มเหมือนปกติ
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"เดี๋ยวค่อยคุยก็ได้ฮะ ร้านนี้สเต็กปลาทอดอร่อยมากครับพี่ ผมชอบกินมากๆเลย"
"จริงเหรอ งั้นพี่คงต้องลองบ้างแล้วล่ะ" คนอายุมากกว่ายิ้มแล้วยกมือเรียกพนักงานสั่งอาหาร ส่วนธนนท์ก็ยังคงยิ้มเหมือนเดิม แม้ว่าฝ่ามือของเขาทั้งสองข้างกำลังเย็นชืดและกำแน่นเพื่อลดความประหม่าที่เกิดขึ้น
เขาควรจะกอบโกยความสุขให้ได้มากที่สุดก่อนสิ
เพราะนี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ที่เขาจะได้พบกับคนที่เขารัก
-----------------------------------
22:00
"ขอบคุณนะครับที่มาส่งผมอีกแล้ว" ธนนท์ยิ้มแล้วหันไปพูดกับชายผมดัดที่ยื่นมือมาลูบหัวของเขาเบาๆ
"พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องขอบคุณ" รณเดชตอบก่อนจะมองหน้าอีกคนที่กำลังกอดกระเป๋าเป้ของตัวเองแน่นพร้อมกับรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้า
แต่มันช่างเป็นรอยยิ้มที่เศร้าเหลือเกิน
"พี่แหนม ผมมีอะไรจะบอกพี่ครับ" นนท์พูดแล้วหยิบถุงกระดาษสีน้ำตาลยื่นให้อีกคนด้วยมือที่สั่นจนเก็บอาการไม่อยู่ แม้ว่าเขาจะตัวสูงกว่า แต่รณเดชกลับไม่สามารถมองหน้าอีกคนชัดๆได้เลย เนื่องจากนนท์ก้มหน้าหนีแทบจะชิดอกของตัวเองอยู่แล้ว
"หลังจากวันนี้ไป.."
"...."
"...เรากลับไปเป็นคนไม่รู้จักกันได้มั้ยครับ"
"...ห๊ะ" แน่นอนว่าน้ำเสียงที่เคยอบอุ่นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มันเป็นน้ำเสียงที่สับสน เสียใจ และไม่พอใจจนธนนท์ไม่กล้าจะเงยหน้ามองอีกคนอีกต่อไปแล้ว
ไม่ใช่กลัวโดนต่อยนะ
แต่เขากลัวจะร้องไห้ออกมาต่างหากล่ะ
"......"
"เลิกกับผมนะพี่"
"ขอเหตุผล" รณเดชยังไม่รับถุงกระดาษสีน้ำตาลที่นนท์ยื่นให้ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา จนเด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่าอีกคนกำลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก เด็กตัวสูงเงียบไปพักหนึ่งเหมือนตั้งสติก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย แสงไฟจากรถที่ขับผ่านไปมาสะท้อนเข้าที่เลนส์แว่นช่วยให้รณเดชไม่เห็นดวงตาของอีกคนว่ามันกำลังสั่นเครือมากแค่ไหน
"มีคนจากบ้านพี่ส่งเงินมาบอกว่าเป็นสินสอดให้ผมเป็นสะใภ้อะไรก็ไม่รู้ ผม..ผมไม่ได้อยากเป็นสะใภ้บ้านใคร ผมไม่ได้ชอบพี่ขนาดนั้นอะ เรื่องระหว่างเรามันก็แค่ poppy love..."
"....."
"พี่เอาเงินคืนไปเหอะครับ ผมไม่ได้ต้องกา..."
"ก็คือที่ผ่านมาเราไม่ได้คิดจริงจังกับพี่ใช่มั้ย?" รณเดชถามแทรกขึ้นมา ธนนท์ได้ยินดังนั้นก็กลืนน้ำลายเผื่อว่าจะช่วยให้ความชุ่มชื้นกับลำคอแห้งๆของเขาตอนนี้ได้บ้าง เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บที่อยู่ในประโยคคำถามพวกนั้นได้อย่างชัดเจน
"เราไม่เคยรักพี่จริงๆเลย..ใช่มั้ย?" รณเดชถามต่อ แต่ธนนท์ก็ยังคงยืนเงียบดังเดิม
การที่เขาเงียบไม่ตอบ ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีคำตอบ
เพียงแต่เขาพูดไม่ออกแล้วก็เท่านั้นเอง
"....."
"....."
"ใช่" ธนนท์สูดลมหายใจแล้วกลืนน้ำลายอีกครั้งก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกคนกำลังทำหน้ายังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกคนกำลังเจ็บแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ภายในของเขากำลังแตกเป็นเสี่ยงๆเหมือนกับแจกันสีสดใสตกลงบนพื้นจนไม่อาจประกอบให้เป็นเหมือนเดิม หูของเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกต่อไปนอกจากเสียงหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นช้าลง แต่แรงและหนักจนปวดหนึบในอก
สลาย
คำนี้คงเป็นคำสั้นๆที่บรรยายความรู้สึกในตอนนี้ได้ดีที่สุดแล้ว
"เข้าใจแล้ว" คนอายุมากกว่าพูดแค่นั้นแล้วเดินหันหลังกลับไปที่รถ โดยไม่ได้สนใจเงินหนึ่งล้านบาทในถุงที่เด็กหนุ่มยื่นมาให้ ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองด้วยซ้ำว่าเด็กหนุ่มอายุ 22 กำลังร้องไห้จนน้ำตาไหลอาบสองแก้ม รถยนต์คันหรูขับออกไปเป็นสัญญาณว่ารณเดชคงไม่กลับมาที่นี้อีก เสียงสะอื้นเปล่งออกมาดังลั่น หลังจากเขาเห็นว่าคนที่เขารักจากไปแล้ว น้ำตาที่เขากลั้นมันมาตลอดทั้งวัน บัดนี้มันระเบิดออกมาอย่างไม่อายสายตาของใครอีกแล้ว ธนนท์ทำได้เพียงยืนร้องไห้จนตัวโยนอยู่ที่เดิมพร้อมกับกำถุงกระดาษสีน้ำตาลในมือแน่นด้วยความเจ็บใจพร้อมกับถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่า เขาดีไม่พอเหรอ? ทำไมเขาถึงรักคนที่เขารักไม่ได้? ทำไม ทำไม และทำไม
หัวใจที่แตกสลายของเขาวิ่งตามรถหรูคันนั้นไป
แต่ร่ายกายเขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้
เขาทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว
tbc
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in