ไปมาแล้วเป็นไง?
บอกเลยว่าชอบบบบบบบบบบมากกกกกกก ชอบบบบบบบบบบโคตรรรรรรรรร ชอบจนอยากกรี๊ดๆๆๆๆ ชอบจนเดินวนสองรอบ ดีงามมากกกกกกกกกกกกกก
เดี๋ยวจะบอกว่าทำไม ขอบอกรายละเอียดคร่าวๆก่อน
ที่นี่จะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนนิทรรศการหมุนเวียน กับส่วนของ House Museum ที่โชว์ความเป็นอยู่ของครอบครัว แล้วก็Art Collection
ส่วนแรกต้องเสียค่าเข้า 12 ยูโร ส่วนที่สองฟรีค่ะ
แต่เพราะเรามีMuseum Card ตั๋วทองคำเข้าสู่มิวเซียม เราเลยไม่ต้องเสียสักยูโร เอาบัตรไปโชว์ที่เคาน์เตอร์ ก็จะได้สติกเกอร์มาติด อ้อ ที่นี่ต้องฝากเป้ใบใหญ่เหมือนกันค่ะ
เริ่มที่งานนิทรรศการที่เราตั้งใจมาดูกันเลย
The Lure of Italy and the Orient – Ippolito Caffi
นิทรรศการมีถึงวันที่ 27 พ.ค. งานทั้งหมด ทางพิพิธภัณฑ์ขอยืมมาจาก Fondazione Musei Civici di Venezia ในอิตาลีค่ะ
ขอเล่าเรื่องศิลปินเล็กน้อย
Ippolito Caffi เป็นศิลปินชาวอิตาเลียน เกิดเมื่อปี 1806 ที่เมือง Belluno ชิ้นงานของเขาส่วนใหญ่จะเป็นแนว landscape หรือพวกตึก อาคารต่างๆ สไตล์เด่นๆก็คือการวาดให้มีหมอกฟุ้งๆ แสงนัวๆ อ่านในเว็บของมิวเซียมมา เขาอธิบายว่า In Caffi’s hands, a nocturnal cityscape could be transformed into a theatrical stage where the main role was played not by the buildings but by a mysterious and dream-like glow of light.
เห็นด้วยทุกประการค่ะ งานเขาสวยเหมือนฝันจริงๆ
โลเคชั่นของงานก็จะเป็นเมืองต่างๆในอิตาลี (Venice, Rome, Naples) Athens, Constantinople และเมืองทางตะวันออก (Syria, Egypt, Malta, Jerusalem)
ด้วยความที่คุณ Caffi เป็นคนรักชาติอย่างยิ่ง (Patriot) เขาเลยเข้าร่วมขบวนการต่อต้านออสเตรีย (ตอนนั้นเวนิสเป็นของจักรวรรดิออสเตรียค่ะ) งานบางงานก็จะเกี่ยวข้องกับธีมนี้ค่ะ
และเพราะความรักชาตินี้เอง ที่ทำให้ในปี1866 เขาเข้าร่วมItalian War of Independenceครั้งที่สาม โดยไปกับเรือRe d’Italia เพื่อวาดภาพบันทึกสงคราม
สุดท้ายเรือลำนั้นก็จม พร้อมกับผู้โดยสารทั้งหมดอีกกว่า400คน รวมถึงคุณCaffiด้วย
แต่ถึงอย่างนั้น งานศิลปะของเขาก็อยู่ต่อมายาวนานให้เด็กแลกเปลี่ยนจากประเทศไทยคนนี้ได้ไปดูและชื่นชมในปี2018นี้
นึกถึงคำพูดของอ. ศิลป์ พีระศรี
'ชีวิตนั้นสั้น แต่ศิลปะยืนยาว'
เราเห็นด้วยที่สุดเลยค่ะ
ในส่วนของนิทรรศการ เขาจะแบ่งเป็นห้องๆตามโลเคชั่นของภาพวาด เมืองต่างๆในอิตาลี / Rome / Athens / The Orient
เราจะไม่แยกรูปเป็นห้องๆนะคะ จะลงให้ดูกันทีเดียวเลย จะได้ดูงานโดยไม่ต้องมีคำบรรยายของเรามาแทรกเนอะ
มา เริ่มกันเลย
เหมือนภาพฝันอย่างที่เขาบอกจริงๆเนอะ
ไม่รู้จะบรรยายยังไง แต่ว่าของจริง สวยมาก สวยจนตอนเดินเข้าห้องแรกไปแล้วต้องหามุมนั่งทำใจ สวยจนไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบายจริงๆค่ะ
อย่างที่บอก เราชอบภาพที่แสงนัวๆ แล้วตัวเราเองก็เป็นคนชอบถ่ายรูปlandscape เน้นท้องฟ้า เน้นตึก คนเป็นแค่ส่วนประกอบ เลยรู้สึกอิมแพคกับใจมากๆ
ชอบรายละเอียดทั้งหลายในรูปด้วย อิฐเป็นก้อนๆ เมฆเป็นปุยๆ วาดละเอียดไปถึงชายกระโปรงของคนในรูป
สวยจนเราเข้าใจเลยอ่ะว่าคนดูงานอาร์ทแล้วเขาจะร้องไห้มันเป็นแบบไหน
เราเดินอยู่ในนิทรรศการส่วนนี้นานมากๆ ตั้งใจดูทีละรูป มองหารายละเอียด เดินเสร็จก็เดินวนอีกรอบ เดินไปดูส่วนอื่นแล้วก็ยังเดินกลับมาอีก เดินจนมิวเซียมปิด
ชอบและประทับใจมากจริงๆค่ะ ไม่รู้จะขอบคุณอะไรที่ดลบันดาลให้เราเห็นป้ายโฆษณาอันนั้น มัน beyond ความคาดหมายทั้งหมดมากๆจริงๆ
ต้องกลับมาซ้ำก่อนกลับไทยแน่นอน!
มาถึงส่วนที่สอง House Museum
อย่างที่บอก ส่วนนี้เข้าฟรีค่ะ ถ้าใครจะมาแล้วไม่อยากดูนิทรรศการ (แต่ถ้ามาทันของคุณ Caffi เราขอร้องว่ามาดูเถอะ55555555555) ก็เดินขึ้นชั้นสองได้เลย
ตรงส่วนนี้ก็จะจัดเป็นห้องต่างๆในบ้าน เฟอนิเจอร์ก็จะเป็นที่ใช้กันจริงๆในสมัยต้นศตวรรษที่20 ตอนที่คุณ Paul กับ Fanny Sinebrychoff ยังอาศัยอยู่ แล้วก็มีงานอาร์ทติดอยู่บนผนัง
แต่ละห้องก็จะตกแต่งเป็นสไตล์ที่กำลังฮิตๆในยุโรปตอนนั้น มีแผ่นคำบรรยายที่มาที่ไปของเฟอนิเจอร์ชิ้นเด่นๆในห้อง ชื่อรูปภาพและศิลปิน ปีที่วาด ให้หยิบมาอ่านได้ถ้าสนใจ มีทั้งภาษาอังกฤษ ฟินนิช และรัสเซียนค่ะ
บอกก่อนว่าอาจจะจำรายละเอียดทั้งหมดไม่ได้นะคะ ไปมาสองอาทิตย์แล้วก่อนจะมาเขียน ไม่ได้ถ่ายรูปเอกสารมาด้วย ถ้าผิดถูกตรงไหนทักท้วงได้เลยนะคะ
เริ่มที่ห้องแรก
รูปแรกเป็นห้องนั่งเล่น ตกแต่งในสไตล์รัสเซีย จริงๆทุกอย่างในห้องมีประวัติหมด แต่เราจำได้นิดเดียว55555555555 ชิ้นเด่นในห้องคือโซฟา ซึ่งเป็นแบบ Straight back และมีการตกแต่งที่ที่เท้าแขน
ผ้าม่านลูกไม้นั่นก็ทำจากสวิสเซอร์แลนด์ค่ะ
ห้องนี้เขาบอกว่าตกแต่งสไตล์พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แต่เรียกชื่อตามคิงสวีเดนในตอนนั้น (ตอนนั้นฟินแลนด์ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดนค่ะ) เลยเรียกว่าสไตล์ Gustavian แทน
ในห้องนี้ก็มีรูปบุคคลสำคัญๆหลายคนเลย แต่จำไม่ค่อยได้แล้วว่าใครเป็นใคร แต่จำได้ว่ามีรูปQueen Christina of Sweden ในมิวเซียมนี้หลายรูปเหมือนกันค่ะ
อ้อ โต๊ะเขียนหนังสือตรงกลางห้อง เคยเป็นของควีนสวีเดนพระองค์หนึ่งมาก่อน เป็นโต๊ะที่เก็บความลับได้เยอะมากกกกกก มีลิ้นชักลับๆเต็มไปหมด มีคลิปให้ดูตอนเปิดโต๊ะด้วย แต่เป็นภาษาฟินนิชล้วน ไร้ซับอังกฤษ ;_;
ถ้าเราได้มีโต๊ะแบบนี้ แน่นอนว่าจะต้องลืมว่าเก็บอะไรไว้ตรงไหนแน่นอน5555555555555555555
ห้องต่อๆมาก็จะเป็นห้องทำงาน ห้องอาหาร แต่เราจำรายละเอียดอะไรแทบไม่ได้เลย เลยขอแค่ลงรูป (ที่ถ่ายออกมาไม่ค่อยจะสวย) พอนะคะ
ทั้งหมดก็ประมาณนี้ ก็จะเห็นว่า เป็นบ้านคนรวยจริงๆ55555555555 ข้าวของงี้ ถ้าอ่านประวัติก็คือทำในฝรั่งเศสมั่ง สวีเดนมั่ง ยิ่งงานอาร์ทบนผนัง มีตั้งแต่ปี1800กว่าๆยันปี1500
หมดจากส่วนบ้าน ก็จะเป็นส่วนArt Collectionแล้ว
ถ้าพูดถึงแค่การตกแต่งห้องแสดงงาน เราชอบนะ พิ้นไม้ โคมไฟระย้า บางห้องก็มีheaterแบบโบราณ ฟีลลิ่งเหมือนไปเดินในบ้านคนรวยที่สะสมงานอาร์ทอ่ะค่ะ
ก็ เออ มิวเซียมนี้มันก็เป็นแบบนั้นนี่นา555555555555
ยังไงดี รู้สึกมันเหมือนบ้านมากกว่า Ateneum อ่ะ ประมาณนั้น
ในส่วนของรูป เราถ่ายมาไม่ค่อยเยอะ เพราะตอนนั้นชักเหนื่อยๆ แล้วก็ จากงานคุณCaffi เราก็อิ่มอกอิ่มใจพอจนไม่ค่อยอินกับงานอื่นแล้ว
แต่มีเยอะมากกกกกจริงๆค่ะ อย่างที่บอก เก่าจนยุคศตวรรษที่16ก็ยังมี ถ้าใครที่เรียนประวัติศาสตร์ศิลป์อะไรแบบนี้คงชอบมากเลยแหละ
ส่วนเรา เรียนสายวิทย์แล้วมาต่อบัญชี และมีความรู้ทางนี้เป็นศูนย์ ก็ขออนุญาตดูผ่านๆ แล้วไปตั้งใจตามหาสิ่งที่ทำให้เรามาถึงที่นี่
งานของRembrandt!
แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้น มาดูรูปกันก่อนดีกว่าค่ะ
Antoine Watteau - The Swing
อ่ะ มาถึงงานที่ทำให้เราตั้งใจมาที่นี่วันนี้ งานของคุณ Rembrandt
เออ ขอเล่าแทรก ว่าเรามีประวัติกันมา นี่กะคุณRembrandt
เราโตมากะต่วย'ตูนพิเศษค่ะ พ่ออ่าน เราก็อ่าน ก็เลยได้รู้เรื่องประวัติศาสตร์อะไรต่างๆมาบ้าง และก็ได้รู้จักกันจากตรงนี้แหละ
จนตอนมอสอง วิชาศิลปะ อาจารย์ให้โจทย์มาว่า ให้หารูปภาพอะไรก็ได้มาหนึ่งภาพ เอามาทำใบงานวิจารณ์งานศิลป์ในคาบ นี่ก็อยากโชว์เหนือไง เลือก The Night Watch ไปเลย เท่แน่ๆ
Rembrandt van Rijn - The Night Watch, 1642
ปรากฏ วันนั้น อาจารย์บอกว่า ห้ามใช้รูปซ้ำ ผ่าง!
แล้วคือเกินครึ่งห้องแม่งเอาMona Lisaมาเว้ย55555555555555555555555555 แต่เรารอด พร้อมได้รับคำชมมาว่า เธอรู้จักRembrandtด้วยเหรอ
ก็เลยรู้สึกมีความผูกพันทางใจอะไรบางอย่างกับคุณเขาด้วยประการฉะนี้
อ่ะ กลับมาๆ
คือจริงๆก็อยากเขียนเท่ๆแหละ ว่า โห ในฐานะแฟนคลับ ผู้ชื่นชม เราrecognizeงานนี้ได้แต่แรกเลยว่าต้องเป็นของRembrandtแน่ๆ ดูจากการใช้แสงเงาต่างๆก็รู้ บลาๆ
แต่ความจริงมันไม่ใช่ไง555555555555555555
บอกแล้วว่าเรามันเซนส์หยาบ ความรู้ทางงานศิลป์เท่าหางอึ่ง
คือในหัวคิดไว้ว่า มันน่าจะต้องอลังการงานสร้าง เป็นชิ้นใหญ่ๆ รายละเอียดเยอะๆ งานแสงอลังการ ไรงี้ แต่เดินวนรอบนึงแล้ว ยังไม่เจองานแบบนั้นเลย
จะให้เดินหาอีกรอบก็กลัวไม่ทัน เพราะมิวเซียมใกล้ปิดแล้ว อยากลงไปดูงานคุณ Caffi อีกรอบด้วย ก็เลยเปิดกูเกิ้ล เสิร์ชมันตรงนั้นเลย Rembrandt Finland
และพบว่า เห้ย เรายืนอยู่ตรงหน้างานนั้นเลยว่ะ!
(ก็ว่าทำไมงานนี้เป็นงานเดียวที่มีเชือกกั้น)
โง่ในโง่จริงๆ
คือรูปนี้ค่ะ
Rembrandt Harmensz. van Rijn - Monk Reading, 1661
อืม จะว่าสวยก็สวยแหละ พอมองดีๆก็ อ๋อ การใช้โทนสีน้ำตาลทั้งรูป แล้วก็แสงที่ตกกระทบกระดาษในมือจนทำให้ดูเด่นขึ้นมาไง
ก็เป็นบุญตาแหละที่ได้เห็นงานของศิลปินที่เรารู้จักกันแค่ชื่อมาเป็นสิบปี
แต่ก็ นะ ได้เรียนรู้ว่า Keep your expectation low ไว้บ้างก็ดี555555555555555
(ตอนนี้ก็ ทดเนเธอร์แลนด์ไว้ในใจเลย จะไปดูThe Night Watchให้ได้!)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in